หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 99
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 99
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 99
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 สิงหาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่านขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว เราได้พิจารณากายพิจารณาใจ รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ รอบรู้ในดวงวิญญาณของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล
แต่ละวัน เราหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราปกติ ใจของเราสงบ หรือว่าใจของเรามีความทะเยอทะยานอยาก มีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ เอาไปหมั่นพร่ำสอนใจ รู้จักทำหน้าที่ให้ถูกต้อง การฝึกหัดปฏิบัติธรรมก็เป็นการขัดเกลาตัวเรา เป็นการทำความเข้าใจกับชีวิตของเราให้ถูกต้อง ไม่ให้ใจของเราเกิดความทุกข์ เกิดความยึดมั่นถือมั่นอะไรในสิ่งต่างๆ
ความยึดมั่นถือมั่นอยู่ที่ตรงไหน การปล่อยการวางอยู่ที่ตรงไหน นี่แหละตรงนี้แหละ เราถึงให้มาสร้างสติ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ ในหลักของความเป็นจริง ใจของเราเป็นธาตุรู้ แต่เขายังหลงอยู่ เขาหลงมาตั้งนาน หลงเกิด เกิดในภพน้อย เกิดในภพใหญ่ เกิดในสังสารวัฏ ทีนี้ก็ได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มีกายเนื้อหรือว่ามีขันธ์ห้า ซึ่งเขาสร้างขันธ์ห้าขึ้นมาห่อหุ้มเอาไว้ แล้วก็ส่วนจิต ส่วนวิญญาณนั้นก็เที่ยวต่อ แต่เขาก็ยังอาศัยกายอยู่ ยังคิดสารพัดเรื่อง เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยาก
เราก็ถึงได้มาเจริญสติเน้นลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ลมหายใจบ้าง อยู่ที่การเคลื่อนไหวบ้าง ก็เพื่อทีจะให้มีกำลังสติที่ต่อเนื่อง แล้วก็ไปหมั่นอบรมใจ เอาไปผูกใจของเราให้อยู่ อยู่ในกายไม่ให้หนีไปเที่ยว ไม่ให้เป็นทาสของกิเลส ไม่ให้เป็นทาสของอารมณ์ ก่อนที่จะควบคุมเขาอยู่ได้ กำลังสติของเราต้องเข้มแข็ง แล้วก็รู้เหตุรู้ผล ชี้เหตุชี้ผล ให้จิตของเราคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน เขาก็จะมองเห็นความเป็นจริง เพียงแค่แยกได้เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจ ดู รู้ทุกเรื่อง แล้วก็ละอีก มันก็ยากอีก จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร ง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเสียสละในชีวิตประจำวันของเรา
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราต้องพยายาม พยายามให้ได้ ไม่ได้มากก็ได้น้อย แต่เวลานี้เพียงแค่เรื่องการเจริญสติให้ต่อเนื่อง ก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ จะเอาตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวใจหรือเกิดจากขันธ์ห้าเป็นตัวตั้งตัวตีเอาไว้ก่อน เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ เขาหลงมานาน เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดบังอำพรางตัวเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาเหมือนกัน กำลังฝ่ายไหนจะมาก กำลังตัวจิตวิญญาณหรือขันธ์ห้า หรือว่ากำลังฝ่ายสติที่เราสร้างขึ้นมาใหม่
ตัวสร้างขึ้นมาใหม่นี้แหละจะพลั้งเผลอได้ส่วนมาก เผลอเมื่อไร หลุดเมื่อไรก็เริ่มใหม่ เผลอเมื่อไร หลุดเมื่อไร ก็เริ่มใหม่ จนกำลังสติมีมากมาย พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนมองเห็นความเป็นจริง อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ ในกายของเรานี้มีอะไรบ้าง ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ภาษาธรรมะท่านเรียกว่าอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร กายของเราทำหน้าที่อย่างไร โลกธรรมเขามีอะไรบ้าง ลาภยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา สารพัดอย่าง
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ในหลักความของความเป็นจริง ถ้าเรารู้จักการเจริญสติไปหมั่นพร่ำสอนใจเรา ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย แสวงหาที่ตัวของเรานี่แหละส่วนอานิสงส์บุญกุศลต่างๆ ทางสมมติเรามีโอกาสได้สร้างร่วมกัน ได้ทำร่วมกันอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็พากันสร้างกันทำมา แต่การชำระสะสางกิเลสก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา อย่าไปเที่ยวถามคนโน้นคนนี้ว่าฉันเป็นอย่างไร ผมเป็นอย่างไร เราต้องถามตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง ถ้าจะถามก็วิธีการเจริญสติเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร แล้วไปทำ รู้จักแล้วไปทำ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ทุกอิริยาบถ
มีสติรู้กาย รู้ใจ ความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากปรุง อยากแต่ง อยากเกิด อยากคิด หรือไม่อยาก มันจะกลับกันทันที ถ้าเรารู้เราเห็น รู้เห็นลักษณะการเกิดของจิต รู้ลักษณะของจิต หรือว่ารู้ลักษณะของใจของวิญญาณอยู่ในกายของเรา ถ้าใจไม่มีกิเลส ใจไม่ยึดมั่นถือมั่น ใจไม่เกิดเขาก็สงบ เขาก็ว่าง ว่างจากกิเลส เพราะว่าความเป็นจริงมันมีอยู่ แต่ความหมายของคนทั่วไปนึกว่าความว่างนั้นมันไม่มีอะไร มันก็มีวิญญาณอยู่ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเราศึกษาให้ละเอียด เราจะเห็นอะไรดีๆ เยอะอยู่ในกายของเรา เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนโน้น เรื่องของคนนี้
การพูดการจา การชี้แนะแนวทาง ก็เป็นแค่เพียงอุบายเท่านั้นแหละ ถ้าพวกเราไม่ไปทำไปสร้างขึ้นมา เราก็ยากที่จะเข้าใจ เราไม่ละกิเลส ขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา อยู่กับสมมติก็เคารพสมมติ หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งสมมติ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดเสีย ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน ก็ต้องพยายามนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้เป็นธรรมชาติที่สุด
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 สิงหาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่านขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว เราได้พิจารณากายพิจารณาใจ รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ รอบรู้ในดวงวิญญาณของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล
แต่ละวัน เราหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราปกติ ใจของเราสงบ หรือว่าใจของเรามีความทะเยอทะยานอยาก มีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ เอาไปหมั่นพร่ำสอนใจ รู้จักทำหน้าที่ให้ถูกต้อง การฝึกหัดปฏิบัติธรรมก็เป็นการขัดเกลาตัวเรา เป็นการทำความเข้าใจกับชีวิตของเราให้ถูกต้อง ไม่ให้ใจของเราเกิดความทุกข์ เกิดความยึดมั่นถือมั่นอะไรในสิ่งต่างๆ
ความยึดมั่นถือมั่นอยู่ที่ตรงไหน การปล่อยการวางอยู่ที่ตรงไหน นี่แหละตรงนี้แหละ เราถึงให้มาสร้างสติ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ ในหลักของความเป็นจริง ใจของเราเป็นธาตุรู้ แต่เขายังหลงอยู่ เขาหลงมาตั้งนาน หลงเกิด เกิดในภพน้อย เกิดในภพใหญ่ เกิดในสังสารวัฏ ทีนี้ก็ได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มีกายเนื้อหรือว่ามีขันธ์ห้า ซึ่งเขาสร้างขันธ์ห้าขึ้นมาห่อหุ้มเอาไว้ แล้วก็ส่วนจิต ส่วนวิญญาณนั้นก็เที่ยวต่อ แต่เขาก็ยังอาศัยกายอยู่ ยังคิดสารพัดเรื่อง เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยาก
เราก็ถึงได้มาเจริญสติเน้นลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ลมหายใจบ้าง อยู่ที่การเคลื่อนไหวบ้าง ก็เพื่อทีจะให้มีกำลังสติที่ต่อเนื่อง แล้วก็ไปหมั่นอบรมใจ เอาไปผูกใจของเราให้อยู่ อยู่ในกายไม่ให้หนีไปเที่ยว ไม่ให้เป็นทาสของกิเลส ไม่ให้เป็นทาสของอารมณ์ ก่อนที่จะควบคุมเขาอยู่ได้ กำลังสติของเราต้องเข้มแข็ง แล้วก็รู้เหตุรู้ผล ชี้เหตุชี้ผล ให้จิตของเราคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน เขาก็จะมองเห็นความเป็นจริง เพียงแค่แยกได้เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจ ดู รู้ทุกเรื่อง แล้วก็ละอีก มันก็ยากอีก จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย จะง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียร ง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเสียสละในชีวิตประจำวันของเรา
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราต้องพยายาม พยายามให้ได้ ไม่ได้มากก็ได้น้อย แต่เวลานี้เพียงแค่เรื่องการเจริญสติให้ต่อเนื่อง ก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ จะเอาตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวใจหรือเกิดจากขันธ์ห้าเป็นตัวตั้งตัวตีเอาไว้ก่อน เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ เขาหลงมานาน เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดบังอำพรางตัวเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาเหมือนกัน กำลังฝ่ายไหนจะมาก กำลังตัวจิตวิญญาณหรือขันธ์ห้า หรือว่ากำลังฝ่ายสติที่เราสร้างขึ้นมาใหม่
ตัวสร้างขึ้นมาใหม่นี้แหละจะพลั้งเผลอได้ส่วนมาก เผลอเมื่อไร หลุดเมื่อไรก็เริ่มใหม่ เผลอเมื่อไร หลุดเมื่อไร ก็เริ่มใหม่ จนกำลังสติมีมากมาย พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนมองเห็นความเป็นจริง อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ ในกายของเรานี้มีอะไรบ้าง ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ภาษาธรรมะท่านเรียกว่าอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร กายของเราทำหน้าที่อย่างไร โลกธรรมเขามีอะไรบ้าง ลาภยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา สารพัดอย่าง
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ในหลักความของความเป็นจริง ถ้าเรารู้จักการเจริญสติไปหมั่นพร่ำสอนใจเรา ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย แสวงหาที่ตัวของเรานี่แหละส่วนอานิสงส์บุญกุศลต่างๆ ทางสมมติเรามีโอกาสได้สร้างร่วมกัน ได้ทำร่วมกันอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็พากันสร้างกันทำมา แต่การชำระสะสางกิเลสก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา อย่าไปเที่ยวถามคนโน้นคนนี้ว่าฉันเป็นอย่างไร ผมเป็นอย่างไร เราต้องถามตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง ถ้าจะถามก็วิธีการเจริญสติเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร แล้วไปทำ รู้จักแล้วไปทำ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ทุกอิริยาบถ
มีสติรู้กาย รู้ใจ ความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากปรุง อยากแต่ง อยากเกิด อยากคิด หรือไม่อยาก มันจะกลับกันทันที ถ้าเรารู้เราเห็น รู้เห็นลักษณะการเกิดของจิต รู้ลักษณะของจิต หรือว่ารู้ลักษณะของใจของวิญญาณอยู่ในกายของเรา ถ้าใจไม่มีกิเลส ใจไม่ยึดมั่นถือมั่น ใจไม่เกิดเขาก็สงบ เขาก็ว่าง ว่างจากกิเลส เพราะว่าความเป็นจริงมันมีอยู่ แต่ความหมายของคนทั่วไปนึกว่าความว่างนั้นมันไม่มีอะไร มันก็มีวิญญาณอยู่ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเราศึกษาให้ละเอียด เราจะเห็นอะไรดีๆ เยอะอยู่ในกายของเรา เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนโน้น เรื่องของคนนี้
การพูดการจา การชี้แนะแนวทาง ก็เป็นแค่เพียงอุบายเท่านั้นแหละ ถ้าพวกเราไม่ไปทำไปสร้างขึ้นมา เราก็ยากที่จะเข้าใจ เราไม่ละกิเลส ขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา อยู่กับสมมติก็เคารพสมมติ หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งสมมติ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดเสีย ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน ก็ต้องพยายามนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้เป็นธรรมชาติที่สุด
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ