หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 54

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 54
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 54
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 54
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 เมษายน 2556

ฝนฟ้าก็ตกโปรยลงมาเมื่อคืนนี้ ไม่รู้ว่าสามเณรองค์ไหนร้องไห้ฝนเลยตก สบงจีวรเลยเปียกหมดเลย เณรน้อยองค์ไหนร้องไห้เมื่อคืนนี้ เพราะว่าถ้าเณรองค์ไหนร้องไห้ ฝนตกทันทีเลย ไม่รู้ว่าองค์ไหนร้องมีหรือเปล่า สมัยก่อนสามเณรอะไรหนอตัวใหญ่ๆ สามเณรอะไรนะที่มา สามเณรอะไรทำวัตรสวดมนต์แผ่เมตตาให้พ่อให้แม่แล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้ทำไม ดีใจ ดีใจได้อุทิศบุญให้ให้พ่อให้แม่ คืนนั้นเย็นนั้น ฝนก็เลยตกหนักพอดี ก็เลยบอกว่าสามเณร สามเณรร้องไห้ฝนตกหนักเลยนะ ตามไปที่กุฏิไม่ใช่หรอกหลวงพ่อ แม่ว่ากรมอุตุฯ เขาว่าฝนจะตก ไม่ใช่เพราะผมร้องไห้หรอกนะ ไม่จริงทางนี้เขาใช้กฎไม่เหมือนกับทางกรุงเทพฯ ทางกรุงเทพฯ ก็ใช้กรมอุตุฯ วัด ทางบ้านนอกคอกนาเขาใช้สามเณรวัด สามเณรร้องไห้ทีไร ฝนตกทุกที พอวันหลังมา หลวงพ่อๆ ผมไม่ร้องไห้แล้วนะ ทำไมล่ะ กลัวฝนตกจีวรเปียก ผมไม่มีจีวรใส่ สามเณร สามเณรน้อย

เดี๋ยวนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว เรียนใกล้จะจบแล้ว มีลูกชายคนเดียวเอามาบวชเณร พ่อแม่พาเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่ก็พาฝากทรัพย์ภายในไว้ให้ลูกให้หลาน เหมือนกับพวกเรานี่แหละอยากเอาลูกเอาหลานมาบวช มาอยู่วัด มาฝึก มาศึกษา มาทำความเข้าใจได้เล็กๆ น้อยๆ ก็ค่อยสร้างสะสมไป จนกว่าจะถึงวาระเวลาที่จะเดินปัญญาขั้นสูงได้ ไม่ใช่ว่าเข้ามาวัดแล้วเข้าใจได้เลย ไม่ใช่ เป็นการสร้างสะสมบุญบารมี รู้จักวิธีการเจริญสติ การเจริญสมาธิ รู้จักทำความเข้าใจ ค่อยสะสมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็เต็มอิ่มเต็มเปี่ยม ก็จะเดินปัญญาได้เอง

คนเราสร้างบุญมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็มาสร้างเอาขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ บางคนก็เต็มเปี่ยม บางคนก็ลำบาก บางคนก็สบายเพราะว่าสร้างมาไม่เหมือนกัน แต่ก็อย่าไปทิ้งบุญ ในการทำบุญในการให้ทาน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ใจของเราขอให้เป็นบุญ มีความเสียสละ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มองโลกในทางที่ดี เพราะว่าทุกคนก็มีกิเลสกันหมดทุกคน จะมีมากมีน้อย อันนี้มีมาทีหลัง แต่สภาพเดิมใจนั้นไม่มีอะไร เพราะความหลงเขาถึงได้เกิด หลงในรายละเอียด ในสารพัดอย่างแม้แต่การเกิด เราต้องมาสะสางให้กลับคืนสู่สภาพเดิม แล้วก็ค่อยวางใจของเราอีก ถ้าบุคคลที่มีบุญจริงๆ

ส่วนกิเลสของเรา เราต้องละเอา กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็ต้องพยายามละ พยายามดับ กิเลสก็เกิดขึ้นที่ใจของเรานี้ ไม่ได้เกิดขึ้นที่ไหนหรอก ใจของเรานี่หลงมาตั้งนานนะ ถ้าไม่เกิด เพียงแค่การเกิดเขาก็หลงเข้ามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างภพมนุษย์มาห่อหุ้มปิดบางอำพรางตัวเขาเอาไว้ ธรรมะของพระพุทธองค์ที่ได้ค้นพบ ถึงจะแจง แยกแยะทำความเข้าใจให้กระจ่างได้ แต่คนเรานี่มองในภาพรวมว่าเราเป็นคน แล้วก็อยู่ในการสร้างบุญสร้างบารมี ไม่ได้เจริญสติไปแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจขัดเกลากิเลส ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกให้หมดจด นอกจากบุคคลที่มีความเพียรเท่านั้น ถึงจะถึงทำความเข้าใจถึงจุดนั้นได้

เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยังลำบากอยู่ ตื่นเช้าขึ้นมานี่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องสัก 5 นาทีหรือเปล่าก็ไม่รู้ คำว่าปัจจุบันธรรม ความรู้ตัว จนเป็นเอง จนไม่ได้สร้าง จนเอาไปใช้การใช้งานได้ ส่วนใจก็ส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศลก็ยังไม่รู้ นี่แหละเขาเรียกว่าหลงอยู่ แต่หลงอยู่ในบุญ หลงมาทำบุญมาให้ทาน มานั่งหลงอยู่ในกองกุศลอยู่ แต่ในหลักธรรมแล้วเราต้องคลายจิตออกให้รับรู้ทุกเรื่อง แล้วก็ดับความเกิดให้อยู่เหนือบุญเหนือบาป อยู่เหนือทุกอย่าง ไม่หลงไม่ยึด ไม่เกิด ถึงจะมองเห็นหนทางเดินได้

คนทั่วไปภายในนาทีหนึ่งเกิดไม่รู้สักกี่เรื่อง ขณะนั่งฟังอยู่นี่ไม่รู้ว่าใจมันคิดไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ วิ่งวุ่นไปเรื่องอดีตบ้าง เรื่องอนาคตบ้าง เรื่องภาระหน้าที่การงานบ้าง สารพัดเรื่อง นั่นแหละเขาเรียกว่าวิบากกรรม สมมติมันยังไม่คลาย แต่ก็ขอให้น้อมใจเข้ามาอยู่ในกองบุญ หมั่นสร้างบุญ ระลึกนึกถึงบุญถึงกุศลเอาไว้ เราอาจจะเห็นความถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ ทำความถูกต้อง สร้างบุญอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมเราต้อง คลายใจออกจากขันธ์ห้าของเราให้ได้ในกายของเรา เราก็ดับความ เกิด คลายความหลง ออกจากตัววิญญาณของเราให้เห็นชัดเจนจริงๆ สติปัญญาของเราต้องแหลมคมจริงๆ ไม่ใช่ว่าเป็นสติปัญญาเฉโก สติปัญญาของกิเลส

มีโอกาสก็ให้รีบทำ ขณะที่ยังเกิดเป็นมนุษย์ โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลาเปิดให้ มีบุญ ถึงได้อัตภาพร่างกายของมนุษย์ขึ้นมา ในกายของเรานี้มีอะไรบ้าง พระพุทธองค์ท่านได้แจงออกให้พวกเราเห็นแล้ว การเจริญสติ การควบคุมจิต การเดินปัญญา การแยกรูปแยกนามในกายของเรามีกี่กองกี่ขันธ์เรื่องอะไรบ้าง ท่านแจงเอาไว้หมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมันเกิดขึ้นอย่างไร ทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราเอง หมดความสงสัย หมดความลังเล มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน

การยังประโยชน์ของสมมติ การสร้างประโยชน์สร้างกุศล เราก็ได้สร้างกันเต็มเปี่ยม ในระดับของวัตถุทาน พวกเราก็มีโอกาสได้ทำได้ทานกันตลอด แต่การเจาะชอนไชเข้าไปดูตัววิญญาณว่าลักษณะของวิญญาณ ใจ ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิดใจที่ไม่หลงขันธ์ห้า ลักษณะของการเจริญสติ ลักษณะของนิวรณธรรมมลทินต่างๆ ไม่เคยที่จะเข้าไปถึงตรงจุดโน้นได้เลย มีตั้งแต่ใจอยากจะได้บุญ ใจอยากจะได้ธรรม อยากจะรู้ธรรมก็ทำบุญเป็นช่วงๆ ก็แค่นั้น ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ

แต่การละกิเลสนี่ ละความโลภ ละความโกรธ ละความอยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมาอีก ในหลักธรรม อยากให้ อยากเอา อยากมี อยากเป็น ความอยากให้เกิดจากตัวใจนั้นปิดกั้นไว้หมดเลย มีแต่อยากจะทำบุญ อยากจะได้บุญ แต่ก็เป็นฝ่ายกุศล แต่ก็ยังดี สร้างเข้าพกเข้าห่อ สร้างตบะ สร้างบารมี ถึงเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม ละความเกิดได้ก็ยิ่งสนุก ยิ่งมีความสุขในการสร้างอานิสงส์สร้างบุญให้กับพี่กับน้อง ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม หมั่นพร่ำสอนตัวเราแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เป็นที่พึ่งของตัวเราให้ได้ทุกเรื่อง รู้จักเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา สร้างความกล้าหาญอาจหาญให้ใจของเรา อะไรผิดอะไรถูกรีบแก้ไขเสีย แม้แต่ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ไปวิ่งไปให้ตั้งแต่คนอื่นเขาสอน สอนตัวเราแก้ไขตัวเรา

ตัวเราคือตัวใจนั่นแหละ ตัวที่จะเข้าไปสอนคือสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ สติก็ยังไม่ได้สร้างให้ต่อเนื่อง มันก็ไปพร่ำสอนใจไม่ได้ ก็ปล่อยให้ใจเกิดจนเขาก็หาเหตุหาผล ทางโลกเขาก็มีเหตุมีผล ทางธรรมเขาก็มีเหตุมีผล กิเลสเขาก็มีเหตุมีผลแหลมคมมาปิดกั้นตัวเขาไว้เหมือนกัน เขาก็ไม่ยอมเชื่อง่ายๆ เพราะเขาหลงมานาน เพราะอยู่ด้วยกันมานาน กำลังสติของเราต้องแหลมคมเร็วไว วิเคราะห์พิจารณาทำความเข้าใจ รีบแก้ไข ถ้าเราไม่แก้ไข เราไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอก

การทำบุญให้ทาน พวกเรามีโอกาสได้ทำร่วมกันได้สร้างร่วมกันเท่าที่โอกาสอำนวยให้ ทำให้เต็มเปี่ยมเต็มที่ แต่ละวันตื่นขึ้นมา มองดูใจของเราก่อน ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่คนใกล้เรา ล้นออกไป ส่วนมากจะไปมองเอานอกกาย แล้วก็มองเอาตั้งแต่เรื่องของคนอื่น ไม่สนใจเรื่องใจเกิดอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร กิเลสมันเกิดอย่างไร ไม่มองหาความเป็นจริงให้มันชัดเจน

ความเป็นจริงคือ กฎของไตรลักษณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างมีการพลัดพรากจากกันอยู่ตลอดเวลา ไม่พลัดพรากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะกฎของไตรลักษณ์ กฎของความไม่เที่ยง เรามีโอกาสเราก็มองหาหนทางแก้ไขเสีย กายแตกดับ ใจก็จะไม่ได้เกิดอีกต่อไป ถึงเกิดก็ให้เกิดอยู่ในกองบุญ กองกุศล ยังไม่ถึงเวลาไม่ได้ไป ถ้าถึงเวลาแล้วเอาอะไรผูกมัดเอาไว้ก็มีอยู่ ยิ่งมาอยู่ร่วมกันเยอะๆ ก็สมัครสมานสามัคคี ละความเห็นแก่ตัว ขัดเกลา ตัวเรา สร้างความขยันหมั่นเพียรขึ้นมา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง