หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 98

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 98
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 98
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 98
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 สิงหาคม 2556

พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราต้องวิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา ยิ่งเราได้เสียสละเวลาออกมาศึกษา ออกมาบวช ออกมาวิเคราะห์ตัวเรา ก็ยิ่งทำความเพียรให้ยิ่งยวด อย่าเป็นผู้สะสมกิเลส อย่าเป็นผู้หมักหมมกิเลสทับทมดวงใจของตัวเราเอง พยายามขัดเกลาทำความเข้าใจ แล้วก็สลัดสละกิเลสออก ละความอยากออกให้มันหมดจด อย่าให้เป็นเครื่องหมักดองสันดานในตัวเรา จะได้ไม่ได้เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เข้ามาศึกษา เข้ามาค้นคว้า

ยิ่งพระเรา ยิ่งเพิ่มความเพียรหนัก ถ้ายิ่งบวชเข้ามาดิ้นรนแสวงหา อย่าบวชเสียดีกว่า เสียดายเวลา เหมือนกับการสร้างสะสมวิบากกรรมให้กับตัวเอง พยายามขัดเกลา ละกิเลส อะไรที่จะเป็นกุศล อะไรที่จะเป็นอกุศล เราก็พยายามรีบทำความเข้าใจอยู่ปัจจุบัน ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ ไม่ใช่ว่าบวชเข้ามาแล้ว ก็มาดิ้นรนแสวงหาสร้างวิบากกรรมเพิ่มตัวเราเองอีก ยิ่งหนักเข้าไปอีก อะไรที่ทำให้ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์หมดจดนั่นแหละคือหนทาง อะไรคือความเรียบ เรียบง่าย ก็พยายามทำ จะได้ไม่ได้เสียเวลาในการแสวงหา

วันนี้ก็เป็นวันแรม 15 ค่ำ ปักษ์แรก อุโบสถแรกก็ได้มาลงที่วัดของเรา เรื่องกับข้าวกับปลาก็คงจะพากันเตรียมพร้อมไม่ได้ลำบาก เพราะว่าเป็นความปกติของทางวัด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ช่วยกันทำ ไม่ให้ปล่อยปละละเลย มีงานก็เหมือนเดิม ไม่มีงานก็เหมือนเดิม ให้เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม พร้อมทั้งภายในพร้อมทั้งภายนอก บุญภายนอกเราก็ทำ การชำระสะสางกิเลสเราก็ทำ การเจริญสติเราก็ทำ

วิธีการแนวทางตามหลักของความเป็นจริงนั้น ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาหลายภพหลายชาติ จนกระทั่งได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็มีการพัฒนาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปธรรม ทางด้านร่างกาย ส่วนทางด้านสติปัญญาก็พัฒนามาเรื่อยๆ จากเด็ก จากเด็กได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี มีความเสียสละ มีพรหมวิหารอยู่ในระดับหนึ่ง นั่นแหละคือหลักของการปฏิบัติธรรม อยู่ในระดับของสมมติ

แต่เราขาดการทำความเข้าใจ ขาดการเจริญสติเข้าไปดู รู้ จิตวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ทำไมจิตของเราถึงหลง วิญญาณของเราถึงเกิด เป็นทาสของกิเลส ทาสของอารมณ์ ขาดการจำแนกแจกแจง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยให้พวกเราได้มีสวดได้ท่อง ได้ทำความเข้าใจ แล้วก็พยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา

กายของเราเป็นอย่างไร ขันธ์ห้าของเราเป็นอย่างไร ซึ่งเรียกว่ากองว่าขันธ์ การที่จะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางดำเนินวิธีไหนอย่างไร การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างไร กายวิเวก ใจวิเวก มีอยู่ในกายของเราหมด ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย ขอให้เรามีศรัทธา มีความเสียสละเป็นเยี่ยม มีสัจจะกับตัวเราเอง

ทุกวันนี้แสวงหาธรรมไม่รู้เรื่องธรรม เจริญสติไม่รู้จักการเจริญสติ ทั้งที่ทำอยู่ ทั้งที่ใจก็ปกติอยู่ บางทีใจหรือว่าวิญญาณเราเผยตัวออกมาให้เห็นชัดเจน แต่ก็ไม่รู้จักรักษา ไม่รู้จักประคับประคอง ไม่รู้จักทำความเข้าใจ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมี อยากเป็น อยากไป ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากไป มันจะกลับกัน ความอยากกับความไม่ยาก

กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เราอยู่กับสมมติ ถ้าไม่หลงไม่เกิด ความเกิดนั่นแหละหลงแล้ว เพียงแค่ความเกิดนะ ถ้าไม่หลงไม่เกิด ทีนี้เรามาคลายความหลงเสียก่อน มาเจริญสติไปทำความเข้าใจให้ได้ รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้วก็ให้รู้จักไปทำ ไปดำเนินตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทั้งพระ ทั้งชี ทั้งฆราวาสญาติโยม เข้าวัดปฏิบัติต่างๆ ก็เพื่อขัดเกลากิเลสทั้งนั้น ข้อวัตรของพระ ข้อวัตรของชี ข้อวัตรของโยม ก็เพื่อที่จะละกิเลสให้เบาบาง จุดหมายปลายทางที่แท้จริง

ถ้ายังฝึก ยังศึกษา กิเลสยังหนาอยู่ก็ยิ่งใช้การไม่ได้ ตายเสียยังดีกว่า เสียเวลา พยายามขัดเกลาตัวเราให้มันได้ ใช้ตัวเองให้มันเป็น กายของเราก็หนัก แบกภาระหนักยังไม่พอ ก็ไปโยนภาระให้คนโน้น โยนภาระให้คนนี้ ถ้าเราเข้าใจแล้วก็เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ จนล้นออกไปสู่สังคม ก็จะอยู่ดีมีความสุข คนเราจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว ลืมแก้ไขภายใน ต้องแก้ไขทั้งสองอย่าง ทั้งภายนอกภายใน มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้

อย่าไปมัวเมาเล่นเกียจคร้าน แล้วก็ใช้การไม่ได้ อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง คนเราเกิดมาก็เพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมาย คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ส่วนกายเนื้อ ถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ อย่าไปมัวเมาเล่นทำไม ก็ต้องพยายาม

ให้รู้เรา เข้าใจเรา พิจารณาเรา หน้าที่ของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด การสื่อความหมาย การพูดการจา การอ่านตำราก็เป็นแค่เพียงสื่อความหมายเท่านั้นเอง เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเรารู้จักละ อยากจะรวย เราก็ขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา อยากจะยังสมมติให้บริบูรณ์ เราก็ขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ให้ทำด้วยอำนาจของความอยากของกิเลส ทุกคนก็มีกันหมดนั่นแหละ จะมีมากมีน้อย เราจะทำความเข้าใจให้ถูกต้องได้หรือไม่เท่านั้นเอง

ในหลักธรรม แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวท่านก็ต้องให้ละให้ดับ ความอยาก ความเกิด การปรุงการแต่ง ทีนี้อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในลาภในยศ สารพัดอยาก มันปิดกั้นเอาไว้หมด จะเข้าใจในธรรมได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามขัดเกลาออกให้มันหมด มันก็รู้อยู่

ธรรมมีหลายระดับ ธรรมระดับของสมมติ ระดับวิมุตติ แต่ถึงเราไม่หลุดพ้นก็ต้องพยายามให้อยู่ในคุณงามความดี คิดดี ทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม หมั่นขัดเกลา ส่วนมากก็มีตั้งแต่เรื่องของคนอื่น คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ แทนที่จะดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา ให้มันถึงจุดหมาย จัดการเรื่องของเราให้มันจบ เรื่องของเราจบ จากเหตุการณ์จากภายนอกเข้ามา เราก็แก้ไขด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เท่าที่กำลังของเรามี กำลังของเราเป็น

มีโอกาสหลวงพ่อก็พาสร้างพาทำ อานิสงส์ทั้งสมมติทั้งวิมุตติก็ให้รีบตักตวงเอา อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ยิ่งอยู่หลายคน ยิ่งอยู่รวมกันความรับผิดชอบต้องเป็นทวีคูณ ไม่ใช่ว่าอันนั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน อันนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ไม่ใช่ เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องดูแลช่วยกัน

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ อดทนต่อสักนิดหนึ่ง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย ผ่อนคลายกายของเราด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้สึกรับรู้ที่ชำนาญ ทั้งที่การหายใจเข้าออกของเราก็มีอยู่ตั้งแต่เกิด เป็นเรื่องขั้นพื้นฐานของทุกคนเลยทีเดียว ถ้าหยุดลมหายใจเมื่อไรสภาพร่างกายก็ไป คนเราอยู่เนื่องด้วยลมหายใจ แต่คนเราขาดความสร้างความรู้ตัว ไม่ทำความเข้าใจว่าความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง แล้วก็รู้เห็นใจ แยกใจออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าวิปัสสนา อันนั้นจะตามมาทีหลัง

ความคิดส่วนมากก็เกิดจากจิตวิญญาณของเรา เกิดจากขันธ์ห้าของเรา ตัวเดิมนี่เขาหลงมาตั้งนาน เขาเกิดมาตั้งนาน ถ้าจิตวิญญาณไปหาเหตุหาผลไม่เจอหรอก เพราะว่ามันปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด ทั้งที่ถึงจะพิจารณาในธรรมก็ช่าง การเกิดของเขามีอยู่ ขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจ ใจปรุงแต่งรวมไปด้วยกัน จนเป็นตัวเดียวกัน เราก็มองรู้ด้วยปัญญา รู้อยู่ คิดก็รู้ ทำก็รู้ เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น

นอกจากบุคคลที่มีศรัทธาแล้วก็เจริญสติเข้าไปรู้จักลักษณะของสติ รู้ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง จนกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา จนแยกแยะได้คลายได้ ทำความเข้าใจได้ทุกเรื่อง แล้วก็มาดับความเกิดของวิญญาณให้มันหมดจด เพียงแค่การเกิด ยอมโง่เสียก่อน ปัญญาทั้งโลกมีเก่งกาจถึงขนาดไหน มีร้อยมีก็ต้องคลายออกทั้งร้อย ออกจากวิญญาณของเรา จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์

วิญญาณของเรามันฉลาดด้วยความหลง เราต้องคลายความฉลาดเก่าๆ ออกให้มันหมด มันก็เลยกลายเป็นวิญญาณที่โง่ เพราะไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เราถึงได้มาเจริญสติเป็นที่พึ่งของใจ หรือว่าวิญญาณของเรา อบรมใจของเรา เขาก็จะค่อยเข้มแข็งขึ้นมา พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ รับรู้อะไรผิด อะไรถูก อะไรควรทำ อะไรควรละ สติปัญญาของเราเข้าไปบริหารสมมติได้เร็วได้ไวขึ้น นั้นก็เต็มรอบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน ยิ่งเก่งกว่าเก่าเสียอีก

ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนาที่แท้จริง อยู่กับสมมติ อะไรคือสมมติ สมมติวิมุตติเขาอยู่รวมกัน โลกธรรมก็อยู่รวมกัน เราจะไปทิ้งไม่ได้เลย นอกจากหมดลมหายใจนั่นแหละ เราถึงจะได้วางก้อนโลก ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน จะไปเอาตั้งแต่ธรรม ทิ้งโลก ไม่ยอมทำความเข้าใจกับโลก โลกก็โลกภายในกายของเรา โลกธรรมทั้งแปดอีกด้วย เราต้องให้รู้แจ้งเห็นจริง ทำความเข้าใจ เก็บรายละเอียดให้ได้หมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนใจของเราไม่มีความอยากนั่นแหละ ทีนี้เราจะทำอะไร เราก็ทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา มีได้แต่ประโยชน์ คนส่วนมากก็ยากอยู่นะ ถ้าไม่เอาจริงๆ

ความอยากกับไม่อยาก เพียงแค่ความอยากกับไม่อยาก ความเกิดของวิญญาณนั้นเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ถึงเขาจะเกิดอยู่ ก็ขอให้เกิดในฝ่ายบุญฝ่ายกุศล มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ถ้าบุคคลที่มีความเพียรที่ปรารถนาที่ไม่อยากจะกลับมาเกิด ก็ต้องถอนรากถอนโคนของการเกิดของวิญญาณ คลายความหลง ชี้เหตุชี้ผล นั่นแหละเขาเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน สติปัญญาเป็นที่พึ่งของใจ ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุไม่มีผล

พระพุทธองค์ท่านค้นพบแล้วชี้เหตุชี้ผลให้เดินตาม เดินอย่างนี้ ทำอย่างนี้ จะเข้าถึงอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ มันมีหมด เว้นแต่ว่าพวกเราจะทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราได้หรือไม่ เพียงแค่การละกิเลส ความอยากนั้นเราก็ยังละได้ยาก ท่านถึงว่ากิเลสนี้เป็นยางเหนียว เกาะติดจิตใจของเราเหมือนกับดินพอกหางหมู มันก็ยาก ยากก็ต้องพยายามอดทนเอา ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ถึงได้ไม่ได้เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสก็ให้รีบทำ

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง