หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 6

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 6
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 6
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 6
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 มกราคม 2556

วันที่ 21 วันที่ 20-21 หลวงพ่อก็จะละเลยขึ้นไปดูที่วัดภูป่าไร่ด้วย พระเราใครอยากจะไปก็ไป ชีเราใครอยากจะไปก็ไปนะ เอารถตู้ไป ถ้าไปหลายคนก็เอารถไปหลายคัน ไปหมดก็ไม่ได้เพราะว่าต้องมีคนคอยทำโรงทานทางนี้อยู่ ช่วยกันทางนี้อยู่ แบ่งกันไป โรงทานทางนี้ก็มอบภาระหน้าที่ก็ให้พวกญาติโยมทางวัดแล้วแม่ชีคอยดูแล ใครพอแบ่งไปได้ก็ไป หรือไม่ไปก็อยู่ช่วยกันโรงทาน ทำโรงทานที่นี่

มีโอกาสเราสนุกทำบุญให้ทานกัน เราต้องยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ ไม่ให้อดไม่ให้อยาก ไม่ให้ลำบาก แล้วก็ล้นออกไปสู่พี่สู่น้องของเรา คนที่ลำบากอยู่ก็เยอะ เราพอช่วยกันได้เราก็ช่วยกัน เพราะว่าเกิดมาทั้งทีก็อย่าให้เสียเที่ยว ทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ แล้วก็สร้างบุญสร้างบารมีของเราให้เต็มเปี่ยม ทานบารมีให้เต็ม ความเสียสละให้เต็ม จิตใจของเราก็จะมีตั้งแต่ความอิ่มความสุข การชำระสะสางกิเลสออกจากใจ การให้ทานก็ละความโลภ ละความโลภมีแต่เอาออก

‘การให้’ ให้อย่างเดียวนี่แหละถึงนิพพาน ให้ทั้งวัตถุทานให้ทั้งอภัยทาน ทานความคิด ทานอารมณ์ ทานกิเลส ทานโดยที่ไม่มีความอยากความหวังอะไร เราก็ได้เต็มอิ่มเต็มเปี่ยม เพียงแค่เรามีสติเข้าไปวิเคราะห์ใจของเราให้ ให้ดูดีๆ อันนี้คือสติปัญญา อันนี้คือใจ ไม่ให้ทานด้วยความหลงนะ ทานด้วยปัญญา ทานด้วยปัญญา เอาออกด้วยปัญญา เพื่อยังประโยชน์ ขณะที่ยังอยู่กับสมมติ ไปที่ไหนก็ไม่อดไม่อยาก ถ้าทานไม่มีปัญญาก็ได้อยู่ แต่มันได้แบบยังเกิดอยู่ ต้องทานแบบชนิดที่ว่า คลายความหลงด้วย ดับความเกิดด้วยให้มันหมดจด ใจของเราก็จะมีตั้งแต่ความอิ่ม ความเต็ม ความเปี่ยม ความหิวโหยไม่มี ความอยากไม่มี

สมัยก่อน 30 ปีก่อน หลวงพ่อเห็นใจของหลวงพ่อคลายออกจากขันธ์ห้า เกิดปีติเกิดสุข สมัยช่วงบวชใหม่ๆ ตั้งแต่ก่อนก็ว่างอยู่ตั้งแต่เป็นเด็กเพราะว่าผลทาน พ่อพาให้ทานแม่พาให้ทานมาตั้งแต่เป็นเด็ก เอาออกให้หมด แต่ใจยังเกิดอยู่ พอมาบวชปุ๊บมารู้ความจริงตรงนี้ แล้วก็ร้องอ๋อ เราว่างมาตั้งแต่เป็นเด็ก กลางคืนหนาวๆ ออกไปเดินเล่นที่ถนนที่ทางรถไฟโน่น ไปเดินดูใจของเรา เดินเล่นไปเรื่อยๆ ตามทางรถไฟ ก็เลยไปเห็นมองเห็น คนเรานี้ไปนั่งดู อากาศก็เย็นๆ เราได้รับความว่างเพราะอะไร เพราะผลทาน เราทานไม่อยากได้อะไรไม่หวังอะไร ใจก็เลยว่าง เรามาดับความเกิดของใจอีก ไม่ให้ใจของเราเกิด ใจของเราปรุงแต่ง ใจของเราก็เลยนิ่ง ทั้งว่าง ทั้งโล่ง ทั้งนิ่ง คนอื่นเขานอนหลับกันหมดเราไปเดินดูใจของเราอยู่คนเดียว มีความสุข

บางวันก็เดินไปถึงขอนแก่นเลย เดินตามทางรถไฟ อยู่คนเดียวหนาวๆ เดินดูใจไป ไล่ความเกียจคร้านไป ละความเกียจคร้านไป เดินไป ไปทานส้มตำอยู่โน่นอยู่ร้านไก่ย่างระเบียบ ตามทางรถไฟไปแล้วก็เดินกลับ คนก็ไม่รู้ เพียงแค่ไปทานส้มตำแล้วก็เดินกลับ ไล่ความเกียจคร้าน สร้างความอดทน ได้ความขยันหมั่นเพียร ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน สมัยอยู่ในบ้าน วัดบ้านนะ กลางคืนหลวงพ่อเล่นถูศาลาเสียมันเรียบ เพราะละความเกียจคร้าน ถูศาลาเอาความขยันหมั่นเพียรเข้าว่า ดูใจไปด้วย ละความเเกียจคร้านไปด้วย ได้ประโยชน์ ตรงไหนไม่สะอาดเราก็ทำ ถ้านิวรณ์จะเข้า ความเกียจคร้านจะเข้า หนาวๆ นี่ก็อาบน้ำ ลุกขึ้นอาบน้ำ มีความสุขนะ มีความสุข ยิ่งฝึกเห็นใหม่ๆ เห็นความจริงใหม่ๆ กิเลสตัวนี้มันจะหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน เราก็จะได้แก้ไข จัดระบบระเบียบ กำจัดกิเลสออกจากใจของเรา

อยู่อย่างไม่มีความอยาก อยู่ด้วยปัญญา อยู่อย่างมีความสุข สนุกเอาออกสนุกให้ เป็นสะพาน เป็นทางผ่านให้คนได้ทำบุญ มีความสุข เราพยายามทำใจของเราให้เป็นบุญ ทำกายของเราให้เป็นบุญ ทำใจของเราให้เป็นบุญ อยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ดูใจรู้ใจ เดินออกไปเที่ยวธุดงค์ อยู่ตามป่าตามเขา ไปเจอภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ มากมาย บางทีเขาก็มาเล่นงาน มาเล่นงานก็ไม่สู้ มีแต่แผ่เมตตาให้ บางทีเขาก็มาเล่นงานเสียจนหนักเข้าสิงร่างเราก็มี เราก็ดูตั้งแต่ใจ แผ่เมตตาให้ วันแรกๆ นี่เจอหนัก วันที่สองนี่ภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ ยอมแพ้ราบคาบ เอาของมาบูชาหมด ไปเจอแทบทุกที่ บางทีก็เป็นรูปร่างวิญญาณมายืนตะบันหน้าอยู่หน้ากุฎิเลยก็มี บางทีก็เป็นงูเหลือมมาลูบตั้งแต่ขาถึงเอว งูเหลือมใหญ่มันอยากจะกินก็ให้กิน แต่ไม่กล้ากิน เจอหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย แต่ก็ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ได้ หนทางดับทุกข์ได้ก็เจริญสติเข้าไปละกิเลส สร้างกำลังใจของเราให้เต็มเปี่ยม

สมัยก่อนลำบากนะ อยู่ที่นี่ลำบาก พวกท่านอาจจะมามองเห็นตั้งแต่ผลของมัน คนสมัยเก่าก็คงจะรู้ก็คงจะเข้าใจ สมัยก่อนมีแต่ต้นเพ็กต้นหนาม เข้ามานี่ขาถลอกปอกเปิกหมดนะ น้ำจะดื่มจะใช้ก็ไม่มี ถนนหนทางที่พักที่อาศัยอย่าพูดถึงเลย ไม่น่าดูน่าอยู่ ต้นไม้พวกนี้หลวงพ่อกว่าจะปลูกได้ก็ต้องเอารากเพ็กออก ต้นหญ้าคาออก รากหญ้าออก นั่งฉันข้าวจะไม่ได้นั่งฉันดี นั่งฉันข้าวมีแต่กองกระดูกทั้งนั้นเลย ไม่ใช่ว่าได้มานั่งฉันข้าวสบายๆ อย่างนี้ บางวันก็ไปนั่งตามถนนโน่น ไปฉันข้าวตามถนน ไอ้พวกแม่ออกที่มาวัด 2 - 3 คนช่วยกันขุดลากเพ็ก ลากต้นเพ็กออกไปด้วย นั่งฉันข้าวตรงที่ขุดรากเพ็กออกแต่ละจุดๆ แต่ละทาง

แต่ละวันได้ตังค์มาเล็กๆ น้อยๆ ก็มาจ้างให้คนเอารากเพ็กออก ช่วยกันกว่าจะปลูกต้นไม้ได้ กว่าจะรักษาได้ กว่าจะทำความเพียรได้ ให้พวกท่านได้อยู่ดีมีความสุขถึงขนาดนี้ แม้แต่ถ้วยชามก็เอาขุดเอาตามหลุมศพมาเอาไว้ใส่กับข้าวกับปลา มันลำบากมาก ทุกวันนี้สะดวกสบายแล้วยังพากันเกียจคร้านก็ช่วยเหลือไม่ได้นะ ก็ยังช่วยเหลือไม่ได้ ต้องขยันหมั่นเพียร ความเพียรต้องเป็นเลิศ ความอดทนต้องเป็นเลิศ ความเสียสละต้องเป็นเลิศ ไม่ใช่ว่ามาฝึกแล้วมาคอยทะเลาะเบาะแว้งกัน คอยอคติ คอยเพ่งโทษกัน อย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องมาแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเราเอง อะไรไม่ดีก็รีบแก้ไข ความเกียจคร้านของเรามีก็ละ ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบของเรามี เราก็พยายามเพิ่มให้มันสูงขึ้นไปอีกทั้งกลางวันกลางคืน กลางคืนเราก็ออกเดินดูใจของเรา

สมัยก่อนหลวงพ่อก็ต้องตะลอนๆ ๆ อยู่มุมโน้นบ้างมุมนี้บ้างตามหลุมศพ อยู่กับโลงศพเลยทีเดียว หลุมศพตายใหม่ๆ เอากลดเอาเต็นท์ไปกางอยู่กับหลุมศพอยู่ในป่า ทั้งฟ้าทั้งฝน อยู่คนเดียวลำบากก็ลำบาก บางทีใจมันก็หวนกลับไปสู่สมมติว่าเรามาทรมานอยู่กลางป่าช้าอยู่คนเดียว อยู่กับลมทั้งฝนทั้งลม คนอื่นเขานอนหลับสบาย ใจเราก็เห็นแล้ว ความว่างเราก็เห็นแล้ว ก็น่าจะกลับขึ้นไปสู่บ้านได้แล้วนะบอกว่าอย่างนั้น มันวนหวนกลับขึ้นสู่สมมติ เอามันก็ไม่เอาไม่ไป มันก็ไล่ทำความเพียร ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน อดอาหารทีละสิบกว่าวัน ทีละ 7 วัน สิบกว่าวันอดหลับอดนอน 8-9 คืน ทั้งกลางคืนกลางวัน ดูใจ ตามดูใจ ที่เอามาเล่านี่ต้องผ่านมาหมดถึงจะเล่าให้พวกท่านฟังได้

อย่าพากันมัวเกียจคร้าน คอยมาตั้งแต่ระวังระแวงอคติเพ่งโทษ อันนั้นนะธรรมอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่ใจของเรา เราต้องพยายาม ธรรมชาติภายในธรรมชาติภายนอก ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป มันติดขัดตรงไหนก็รีบแก้ไข ค่อยประคับประคองกัน ไม่ใช่ว่าค่อยขัดแข้งขัดขา คอยฉุดคอยรั้ง ก็จะยังสมมติให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เล็กน้อยแหละทุกจุด ทุกตารางนิ้ว ต้องทำทั้งกลางคืนกลางวัน ทำให้ สมมติให้ กระทบคนไม่ให้ได้ลำบาก คือทางด้านจิตทางด้านเจริญสติปัญญาก็ชี้แนะให้ ก็พากันทำความเพียร ยิ่งทุกวันนี้มองเห็นตั้งแต่ผลเลย มีแต่ผลก็เลยลืม ลืมดูใจของตัวเอง มีความสุข เข้ามาก็ได้รับความสงบ ความทุกข์ก็เลยลืมดูใจ ไม่ใช่นะ ต้องรีบดูรีบแก้ไข จะได้อยู่เหนือทุกอย่าง จะได้ไม่กลับมาเกิดกัน

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็มีศรัทธาอยู่ในกองบุญ น้อมเข้ามา น้อมเข้ามาในกองบุญกองกุศลอยู่ แต่การเจริญสติที่ต่อเนื่องแล้วรู้จักเอาสติปัญญาไปสังเกต ไปวิเคราะห์ไปใช้ ตรงนี้จะทำกันไม่ชำนาญกัน อาจจะได้บังกระท่อนกระแท่น

จิตของเรานี่ถ้ากำลังสติปัญญาหาเหตุหาผลไม่ถึงที่สิ้นสุด เขาก็ไม่ยอมคลายง่ายๆ เหมือนกันนะ ท่านถึงบอกว่าเป็นการ ทวนกระแส เป็นการสวนกระแสโลก เพราะว่าใจของทุกคนชอบคิดชอบเที่ยว ขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่งใจ ใจของเราก็เป็นทาสของอารมณ์ทาสของกิเลส ทำอย่างไรใจของเราถึงจะคลายออกจากสิ่งพวกนี้ได้

เราต้องมาเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจของเราก็จะว่าง โล่ง โปร่ง กายของเราก็จะเบา การละกิเลสต้องเด็ดขาดอีกให้ถึงจุดหมายปลายทางอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเต็มที่ มีความเพียร ตายเป็นตาย ถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ถ้าถึงจุดหมายปลายทางได้แล้วก็นั่งดูสบาย ทำอะไรก็ทำเพื่อยังประโยชน์ของสมมติของวิมุตติๆ เราต้องเดินให้ถึงคือ ‘หลุดพ้น’ หลุดพ้นให้เด็ดขาด แต่มันก็ไม่เหลือวิสัยหรอก อันนี้สำหรับบุคคลที่มีความเพียร มีความเสียสละ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ต้องไปกลัวว่าจะอดตาย ไม่ตายหรอก ต้องพยายามกัน

สร้างสะสมบุญ อย่าไปทิ้งบุญ แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ คิดดีทำดี ความเสียสละ ทั้งภายนอก เสียสละ ทั้งความคิดอารมณ์ เสียสละทั้งทุกอย่าง ใจมันก็จะคลายโดยปริยาย ทีนี้ก็ไปคลายเอาใจออกจากขันธ์ห้า เอาใจออกจากความคิดซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน ส่วนกายก็เป็นส่วนรูป ส่วนความคิดอารมณ์ก็เป็นนาม นาม ตัวใจก็เป็นนาม มันมีความว่าง ในความว่างมีใจรับรู้อยู่ การเกิดเขามีอยู่ เราคลายออกจากอาการของใจแล้วก็ดับความเกิด ละกิเลสให้มันได้ที่นั่น ทีนี้ก็จะเหือดแห้งไปเรื่อยๆ ขอให้ทำให้ต่อเนื่อง ขยันให้ต่อเนื่อง มันไม่เหลือวิสัยหรอก พยายามเอา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี

การปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็เพื่อที่จะละกิเลส เพื่อที่จะคลายความหลง ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ใจของเราก็ไม่ตกกระแสธรรม ถ้าแยกรูปแยกนามได้ เหมือนกับเราขึ้นบันไดขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงตัวเรือน เราก็ชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ก่อนที่จะถึงตัวเรือนได้เราก็ต้องละทั้งความโลภ ละทั้งความโกรธ สร้างความเพียรอย่างยิ่งยวด มีความจริงใจ มีความเสียสละ มีความอดทน อดพูด อดคิด สังเกตวิเคราะห์ทุกอย่างเลยในตัวของเรา ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าจะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

เราต้องเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ใจของเราคลายออก ตามดู ตามดูตามรู้เหตุรู้ผล ชี้ให้ชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ส่วนใจมองเห็นความเป็นจริงแล้วเขาไม่เอาหรอก การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเกิดกิเลสเขาก็ไม่เอา แต่ส่วนมากมีตั้งแต่หากิเลสมาทับถมลงใจของตัวเอง ใจมันสร้างกายขึ้นมาทับผม สร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเอง แล้วก็ใจปรุงแต่งหาเรื่องมาปิดกั้นตัวเอง ทั้งขันธ์ห้าก็หาเรื่องมาปิดกั้นตัวเอง เพราะว่าเขาหลงมานาน

บุคคลที่มีกำลังสติ มีกำลังปัญญา มีกำลังตบะบารมีอย่างแรงกล้า ถึงจะแยกถึงจะคลาย เราก็มองหาเหตุหาผล ตามดู ชี้เหตุชี้ผลให้ใจยอมรับความเป็นจริง ได้นั่นแหละจึงจะถึงจุดหมาย ถ้ามันไม่ถึงจุดหมายจริงๆ ก็ค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ มันไม่ถึงวันนี้ ก็ถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็มะรืนนี้ ไม่ถึงเดือนนี้เดือนหน้า ถ้ามันไม่ถึงจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าสิ่งไหนที่เราสร้างเอาไว้มันก็ต้องไปสานต่อ เพราะว่าใจมันยังเกิด วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนนี้มี ปีหน้ามี ภพหน้ามี เมื่อวานนี้ก็มี พ่อแม่มี พระพุทธเจ้ามี มีจริงหมด

ขอให้เราเข้าให้ถึงคำสอนของท่าน เราถึง เราถึงจะมองเห็นชัดเจนว่าท่านสอนอะไร ท่านสอนเรื่องอัตตาอนัตตา สอนหลักของอริยสัจ คำว่าการเกิดการดับ ใจที่ส่งออกไปภายนอก ใจหลงอะไร มีหมด ต่อให้เราเดินให้เห็นภายในจริงๆ แล้วจะหมดความสงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์ มีตั้งแต่จะเดินตามให้ถึงจุดหมาย หมดความสงสัย หมดจด แล้วก็อยู่อย่างมีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่กับสมมติ ไม่ได้ทิ้งสมมติ กายของเราเป็นก้อนสมมติ ให้รับรู้ความเป็นจริงโน่นแหละถึงจะได้ทิ้งจริงๆ หมดลมหายใจ แต่เราจำแนกแจกแจงด้วยปัญญา ให้อยู่ด้วยปัญญา เห็นด้วยปัญญา สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วทิ้งสมมติ หนีสมมติอยู่ตลอด อย่างนั้นไม่รู้เรื่องอะไร เราต้องอยู่กับสมมติ ทำความเข้าใจสมมติ เคารพสมมติ

กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร เราห้ามไม่ได้หรอก ทวารทั้งหกเป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง ภาษาธรรมท่านว่า สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจตัววิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างไร ทำไมมันถึงเกิด ทำไมมันถึงหลง กำลังสติปัญญาของเราต้องชี้เหตุชี้ผล หาเหตุหาผล คลายออกตามดูให้เขาเห็นความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าจะทำเหลาะๆ แหละๆ ไม่ใช่ว่าไปฝึกหัดเพื่อจะมาถกมาเถียงกัน หมดความสงสัยในตัวของเราในกายของเรา ไม่ต้อง กระทำความเพียรให้มันถึงจุดหมาย

ช่วงใหม่ๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมรับง่ายๆ เขาก็หาเหตุ หาผลมาปิดกั้นตัวเอง สารพัดอย่าง กำลังสติของเราจะค้นคว้าให้มันเห็นเหตุเห็นผลได้หรือไม่ ใหม่ๆ ก็ทั้งยาก ทั้งสารพัดอย่างเพราะว่าเขาไม่ยอม จนกว่าเขาจะยอมแล้วอะไรก็จะง่าย ง่ายขึ้น ใจยอมเห็นความเป็นจริงว่าความไม่เที่ยง เห็นความเกิดความดับ เห็นกองสังขารของตัวเองที่ท่านเปรียบว่าเหมือนกับลูกคลื่น เหมือนกับพยับแดด อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา มีหมด อะไรกุศล อะไรอกุศล อะไรเป็นกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด จนกว่าจะข้ามพ้นเข้าสู่อริยะ เข้าสู่ความบริสุทธิ์ ความหลุด มองเห็นหนทางเดินไม่ต้องกลับมาเกิดกัน พยายามนะ ไม่ถึงช้าก็ถึงเร็ว

เอาล่ะ วันนี้ เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง