หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 38

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 38
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 38
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 38
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 มีนาคม 2556

พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย ก่อนที่จะขบจะฉันกะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในชีวิตของเรา เราต้องเป็นคนหัดช่างสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดพิจารณาด้วยปัญญาที่เกิดจากส่วนสมองส่วนบน หรือว่าความรู้ตัวปัญญาส่วนบน แต่ส่วนมากก็ปัญญาที่เกิดจากวิญญาณ เขาจะเกิด เขาจะไปบงการหมด ก็เลยรู้อยู่ ทำอยู่รู้อยู่ แต่มันหลงอยู่ในความรู้ คือวิญญาณยังเกิดอยู่ เขาไม่ได้นิ่งได้สงบ รับรู้ในสิ่งต่างๆ

เราต้องมาพิจารณา พัฒนาตัวตนของเรา แก้ไขเราปรับปรุง เราแสวงหาธรรมก็แสวงหาที่กายของเรา ไม่ได้แสวงหาที่ไหน แสวงหาที่กาย ถ้าหานอกกายแล้วหาไม่เจอ หาในกายของเรา หาเราให้เจอ หาวิญญาณของเราให้เจอ หาใจของเราให้เจอ แต่วิธีการหาตัวที่จะเข้าไปแสวงหาตรงนี้แหละ ไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง คือสติ ไม่ได้สร้างให้ต่อเนื่องก็เลยไม่เห็น ไม่เข้าใจ อาจจะรู้อยู่ตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวใจ เกิดจากขันธ์ห้า อันนี้เป็นปัญญาอยู่ระดับของโลกียะ ของโลกของสมมติ ไม่ใช่ปัญญาที่อยู่เหนือโลก ปัญญาที่อยู่เหนือโลกเราต้องแยกต้องคลาย ต้องตามทำความเข้าใจ แล้วละ

วิญญาณต้องเป็นเอกเป็นหนึ่งเป็นธาตุรู้ ไม่ให้เกิด ต้องดับความเกิด ก่อนที่จะดับความเกิดได้หมดจด ก็ต้องคลายความหลง แยกรูปแยกนาม ละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ซึ่งห่อหุ้มดวงใจของเราเอาไว้ให้มันหมดจด ส่วนมากก็ไม่ละ มีตั้งแต่สร้างสะสม เป็นดินพอกหางหมู มันก็เลยยาก ถ้าบุคคลที่มีบุญ มีสติ มีปัญญาจะขัดเกลาตัวใจอยู่ตลอดเวลา จนการเกิดไม่มี สติปัญญาไปเกิดแทน ไปคิดแทน ไปทำหน้าที่แทน ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาแก้ไข แม้สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลก็ต้องละอีก ให้เจริญกุศลแต่ไม่ให้ยึด หลายอย่างสลับซับซ้อนในชีวิตของเรา เราจะไปประมาทไม่ได้เด็ดขาด ต้องเป็นคนมีความเพียร มีความขยันหมั่นเพียร

ตราบใดที่เรายังเดินปัญญาขั้นสูงไม่ได้ ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ซึ่งเป็นเข้าพกเข้าห่อ เป็นเครื่องเสบียงเดินทาง จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าไปลืมในการทำบุญในการให้ทาน ทุกคนก็มีกันอยู่ตรงนี้กันเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ปู่ย่าตายายพาฝากพาทำมา แต่การเจริญสติให้ต่อเนื่องภายใน 5 นาที 10 นาทีนี้ก็ยากแสนยากที่จะทำกันไม่ค่อยจะทำ ไม่ค่อยฝักใฝ่ การได้ยินได้ฟังได้อ่าน รู้สึกว่าแสวงหากันมายาวนาน แต่การทำความเข้าใจ การดำเนิน การเจริญสติให้รู้เท่าทันการเกิดของจิตของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้าตรงนี้ทำไมไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไร ให้มันได้ควบคู่หมด

ไล่หมาน้อยออกไปข้างนอกให้หน่อย อย่าให้เข้ามาเกะกะภายใน เดี๋ยวจะติดเป็นนิสัย ไม่รู้ว่าใครเอามาปล่อยหลายชุดแล้ว เลี้ยงไม่ไหวก็เอามาปล่อยวัด ทั้งหมาทั้งแมวเต็มไปหมด คิดจะเลี้ยงก็ต้องเลี้ยงให้ตลอด โยนภาระไปให้คนโน้นบ้างคนนี้บ้าง ตัวเองก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็แบกรับภาระไปให้คนโน้นคนนี้ นั่นแหละถึงไม่เข้าใจในธรรม

การที่ฝึกหัดปฏิบัติธรรมเราต้องดูตัวเราว่ามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ มีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ มีความรับผิดชอบต่อตัวเองหรือเปล่า เราช่วยเหลือตัวเราได้ในระดับไหน ของสมมติ เพียงแค่ระดับของสมมติ ปัจจัยสี่เราก็ยังลำบากอยู่ ก็ในหลักธรรมแล้วท่านให้ช่วยเหลือตัวเองให้ได้เสียก่อนในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ความเป็นอยู่ของเราลำบาก ปากท้องของเราลำบากหรือไม่ เราก็พยายามรีบแก้ไข ถ้าเราแก้ไขตัวเราได้ มันก็จะค่อยเข้มแข็งขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมจะเอาตั้งแต่ธรรม อะไรก็ไม่มี ความเตรียมพร้อมก็ไม่มี

ในหลักธรรมท่านให้เตรียมพร้อม อะไรเราจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันของเรา พวกสาดพวกเสื่อ พวกหมอน สบู่ ยาสีฟัน ต้องเตรียมพร้อม ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะอย่างไร มีกลด มีเต็นท์ ค่ำไหน ตรงไหนที่ประจวบเหมาะ เราก็พักได้ ไม่จำเป็นต้องไปอันโน้นก็ยังไม่มี อันนี้ก็ยังไม่มี เหมือนกับพระธุดงค์ ไปเที่ยว ไปเที่ยวธุดงค์ ไปถึงบ้านไหนก็ไปเที่ยวขอ อันโน้นก็ขาด อันนี้ก็ขาดว่าอย่างนั้น บาตรก็ไม่มี จีวรก็ไม่มี ไปเที่ยวธุดงค์ ไปเที่ยวขอ ญาติโยมจะซื้อผ้าไตรจีวรถวายให้ ไม่เอา อยากจะได้เงิน เห็นเขาออกข่าวกันเยอะ บ่อย ญาติโยมก็เหมือนกัน ให้พากันเตรียมพร้อม อยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม อยากจะได้ธรรม แสวงหาธรรม แต่ไม่ทำความเข้าใจในปัจจัยของสมมติให้มันถูกต้อง ก็เลยไปเป็นภาระให้กับทางสถานที่ เป็นภาระให้กับวัด เข้ามาวัดอันนั้นก็ยังไม่มี อันนี้ก็ยังไม่มี

เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอย่างน้อยๆ ก็ให้ได้ช่วยเหลือตัวเองให้ได้ระดับหนึ่ง ถึงจะเข้าใจในหลักธรรมได้เร็วได้ไว ท่านถึงบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน เราพึ่งไม่ได้ พึ่งตนเองไม่ได้ในระดับหนึ่ง เราก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราก็พยายามแก้ไข ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความเข้มแข็งขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปงอมืองอเท้า ขยันหมั่นเพียรฝักใฝ่สนใจ จนสภาพร่างกายของเราไปไม่ไหวนั่นแหละ ทางด้านจิตใจก็ให้เข้มแข็งหนักแน่นต่อสู้ทางด้านสมมติได้เต็มเปี่ยม ถ้าปากท้องยังหิวโหยอยู่ เขาเรียกว่าสมมติยังไม่บริบูรณ์ ถ้ากายยังหิว ตัวใจที่จะสงบนิ่งนี่ยาก มันก็ต้องวิ่ง ดิ้นรนแสวงหา หามาให้กาย หามาให้สมมติของตัวเอง

บางคนก็สร้างบุญมาดี สมมติก็ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ลำบากทางสมมติอยู่ ก็ต้องช่วยเหลืออนุเคราะห์ให้ขยันหมั่นเพียรขึ้นไป บางคนก็เคยทำบุญมาก่อน สมมติถึงไม่ได้ลำบาก บางคนก็ไม่เคยทำ ไปที่ไหนมันก็เหือดแห้ง เพราะว่าเราไม่เคยทำมาก่อนมันก็เลยลำบาก ถ้าคนที่เคยทำมาไปที่ไหนก็มีหมู่ มีคณะ มีบริวาร มีอานิสงส์ผลบุญทานรองรับเอาไว้ ก็ไม่ได้ลำบาก บุญเก่าก็ได้สร้าง บุญใหม่ก็ได้เสริมเติมเข้าไปเต็มเปี่ยมล้นอีก ยิ่งมากมายเป็นทวีคูณ

การเดินปัญญา การทำความเข้าใจกับการละกิเลสก็จะไปได้ง่าย เพราะว่าไม่ได้มากังวล ดิ้นรนกับปากกับท้องมากเท่าไร เพราะว่าอานิสงส์ผลบุญรองรับเอาไว้ให้ นี่แหละท่านถึงบอกอยากจะให้คนที่ลำบากที่สุดได้ทำบุญให้ทาน เพื่อที่จะได้เป็นเข้าพกเข้าห่อ ท่านถึงบอกว่ายิ่งอดยิ่งอยากยิ่งลำบาก คนที่มีสร้างบุญมาดี ยิ่งมียิ่งมาก ไม่อดไม่อยาก จนล้นเหลือ ถึงกลับกัน ให้พยายาม อย่าไปมองข้ามในการทำบุญ

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เพียงแค่ความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก กระทบปลายจมูกของเรา เราอาจจะรู้อยู่ แต่รู้ไม่ต่อเนื่อง เราพยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ อย่าเอาตัวใจไปจดจ่อ ถ้าเราเอาใจไปจดจ่อ หน้าอกก็แน่น ถ้าเราเอาสมองไปเพ่งสมองก็จะตรึง เพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้เป็นธรรมชาติที่สุด

หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ดับความกังวล ความฟุ้งซ่าน สารพัดเรื่องดับเอาไว้ หยุดเอาไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เกิดความเคยชิน ถ้าความรู้สึกไม่ชัดเจน เราลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก รู้มองเข้าไปในกาย มองกลับหลังเข้าไปในกายของเรา ลองดูซิ ถ้าความรู้ตัวต่อเนื่อง ตัวใจเขาก็จะเกิดมาให้เห็นเอง การก่อตัวของใจ ซึ่งเขามีอยู่ เขามีอยู่แล้ว เพราะเขาหลงเกิดมานาน แล้วก็อาการของความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด ซึ่งเรียกว่าขันธ์ห้า เชาก็จะผุดขึ้นมาเอง ตัวใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง เพราะว่าสิ่งนี้มีอยู่เดิม

เรามาสร้างความรู้ตัวใหม่ เพื่อที่จะเข้าไปรู้เท่าทันตรงจุดนี้ ถ้าเรารู้เท่าทัน เราก็จะเห็นการเกิดการดับของตัวใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรานั้นมีนิดเดียว หรือไม่ค่อยมีเลย มีตั้งแต่ตัวใจมันบงการมันหลอกให้มาปฏิบัติ หลอกให้ไปทำบุญ หลอกไปโน่นหลอกไปนี่ หลอกมาในทางบุญทางกุศลก็ยังดี

ทีนี้เราก็มากลับมาสร้างความรู้ตัวให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย รู้ไม่ทัน ต้นเหตุก็หยุดเอาไว้เสียก่อน ดับเอาไว้เสียก่อน ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด อาจจะฝืน ท่านถึงเรียกว่าเป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตหรือว่าวิญญาณของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว คนเรานี่ปล่อยไปตามอำเภอใจ ถ้าใจสุขก็สุขไปเลย ทุกข์ก็ทุกข์ไปเลย เฉยๆ ก็เฉยๆ ไปเลย ไม่ได้เจริญสติเข้าไปอบรมใจ หมั่นพร่ำสอนใจว่าอะไรผิดอะไรถูก สติของเราตามดู หาเหตุหาผลให้ใจของเรารู้เห็นความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริงได้ นั่นแหละถึงเรียกว่าวิปัสสนา สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา

การละกิเลส กิเลสก็มีหลายชั้น กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กายเนื้อส่วนรูปส่วนนาม กายทวารทั้งหกเขาทำหน้าที่อย่างไร แจงออกให้เห็นชัดเจนหมดทุกเรื่อง ด้วยการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ตามดู ถ้าเจริญสติไม่ต่อเนื่องไม่ทำความเข้าใจ ให้เห็นการเกิดการดับของตัวใจ มันก็แค่ได้การเจริญสติ แต่ไม่รู้จักเอาไปใช้ หาเหตุหาผลไม่เจอ มันก็ยังหลงอยู่เหมือนเดิม แต่ก็หลงอยู่ในกองบุญกองกุศลก็ยังดี ดีกว่าจะให้ จิตวิญญาณของเราไปตกไปสู่ที่ต่ำ

ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา เราต้องหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา จนรู้เห็นจนหมดที่จะพิจารณา จนไม่มีอะไรเหลือที่จะพิจารณาได้นั่นแหละ เพราะเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ถ้าใจไม่เกิด เขาจะเป็นเอง ช่วงใหม่ๆ เนี่ยความรู้ตัวไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมาให้มี แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ทุกเรื่อง เราละกิเลสดับความเกิดให้มันหมดจด แล้วก็วางใจให้เป็นอิสรภาพอีก จนใจไม่เกิดอีก มีแต่ความสุข ดูแลกายเนื้อของเราไปจนกว่าจะแตกจะดับเท่านั้นเอง

พูดง่ายหนอ แต่ต้องพยายามทำให้มันได้ พยายามทำให้มันได้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ อย่าไปน้อยใจตัวเอง ให้แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง จนล้นออกไปสู่สังคมสู่หมู่สู่คณะ จนมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เอาขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี้แหละ ใหม่ๆ นี่เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกันหรอกกิเลส กิเลสมาร ขันธมาร ความหลงอวิชชา การเกิดการดับของขันธ์ห้า การเกิดการดับของจิตอยู่ในกายของเราหมด

ไม่ใช่ว่าจะไปแสวงหาธรรมที่โน่นที่นี่ อันนั้นเป็นการไปหาประสบการณ์ เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ แต่เราต้องเน้นลงที่ฐานของใจของเราให้ได้เสียก่อน ดูว่ามันก่อตัวอย่างไร มันเกิดอย่างไร เราละกิเลสได้ระดับไหน เรารู้จักควบคุมวาจาของเราได้หรือไม่ ควบคุมใจของเราได้หรือไม่ คนทั่วไปแม้แต่วาจาก็ไม่รู้จักที่จะควบคุม เรื่องใจมันวิ่งอยู่ตลอด มันจะไปได้อย่างไร เพราะมันผสมผสานร่วมกันไปหมด เราต้องแจงสติให้ชัดเจนขึ้นมา แล้วก็ควบคุมใจของเราให้ได้ คลายใจของเราออก อันนี้วาจาก็ไม่รู้จักควบคุม ใจก็ไม่รู้จักควบคุม จะไปแจงไปแยกแยะได้อย่างไร สติก็ไม่รู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง อยากจะได้แต่บุญ อยากจะเอาตั้งแต่ธรรม มันก็ได้อยู่นั่นแหละ ก็ได้ธรรมลง ธรรมเมา พยายามเอานะ

วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง