หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 96
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 96
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 96
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2556
พากันดูดีๆ นะพระเรา พิจารณาปฏิสังขาโย รู้กายรู้ใจ รู้กายรู้ใจ กายหิวใจเกิดความอยากปรุงแต่งหรือไม่ เราก็ต้องดูแล้วก็พิจารณาอาหาร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ถ้าเราจะเอาก็ให้ใจรับรู้ สติปัญญาพิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเรา เขาเรียกว่าปฏิสังขาโย อาหารเข้ามาหล่อเลี้ยงร่างกายของเราไม่ให้รับทุกขเวทนา
พิจารณาทุกเรื่อง ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่มีแล้วก็สร้างขึ้นมา เอาไปใช้กับชีวิต ไม่ใช่ว่ามองข้าม ดูรู้ทุกอย่าง ลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นอย่างไร หายใจยาวหายใจสั้นเป็นอย่างไร ใจของเราก่อตัวอาการของใจของเราเป็นอย่างไร อาการของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดเป็นอย่างไร เขาเกิดอย่างไร เข้าไปอย่างไรมาอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจหมด ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
สมมติอะไรเรายังขาดตกบกพร่อง เราก็ต้องพยายามพิจารณายังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ให้เต็มที่ บางคนบางท่านก็ยังสมมติมาดี สมมติก็ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ลำบากอยู่ ส่วนทางด้านจิตวิญญาณ เราก็รู้จักหมั่นพร่ำสอน ชี้เหตุชี้ผล ทำความเข้าใจ สังเกตให้เห็นจริงๆ รู้ลักษณะ เรารู้อยู่ แต่เราดับ เราควบคุม เราคลายไม่ได้ ทั้งที่รู้ๆ นั่นแหละ เขาเรียกว่าความหลงอยู่ แต่ในหลักของความเป็นจริงนั้น จิตวิญญาณหลงมาตั้งแต่ได้เกิด เพียงแค่หลงเกิด หลง ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด นี่เขาหลงมาเกิดภพของมนุษย์ มาสร้างภพมนุษย์ มีขันธ์ห้ามาห่อหุ้มเอาไว้ ซึ่งมีส่วนรูปส่วนนามที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่จะรู้ความจริงลึกลงไปอีก เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง
ถ้าความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง ไม่รู้เท่าทัน เราก็จะไม่เข้าใจ เพราะว่าปัญญาความคิดที่เกิดจากตัวจิตตัววิญญาณนั้นเขาปิดกั้นเอาไว้หมด อาการของความคิดกับตัวใจนั้นปิดกั้นเอาไว้เลยทีเดียว อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ ในหลักธรรมนั้นต้องสร้างผู้รู้ตัวใหม่ สร้างเจริญสติเข้าไปเห็นการเกิดการดับ เข้าไปคลาย เข้าไปแยก เข้าไปตามดู ให้เขามองเห็นความเป็นจริงทุกอย่าง ตัวจิตตัวใจของเราถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ เพียงแค่แยกแยะได้ ไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม
หลายสิ่งหลายอย่าง คนเราส่วนมากก็อาจจะทำความถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ ยังสมมติให้ประคับประคองได้อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ในระดับของตัววิญญาณในกายของเราแล้ว ต้องรู้ต้องเห็น ต้องทุกขณะ แม้แต่ความทะเยอทะยานอยาก ความไม่อยาก เราต้องหยุดต้องดับให้หมด ต้องคลายให้หมด มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติหมด ธรรมชาติธรรมดา กายทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้
ดูเรื่องของเราให้ดี แก้ไขจัดระบบระเบียบ ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเราให้ดี คลายออกให้มันหมดคนทั่วไปนะ อัดแน่นมาตั้งแต่ก่อนก็เลยคลายได้ยาก ไปเป็นผู้เอาออก ผู้ขัดผู้เกลา ผู้เสียสละ อารมณ์ ความขยันหมั่นเพียรทั้งสมมติ ทั้งความเสียสละ ละกิเลส เป็นผู้ให้ ผู้ให้อภัย เป็นผู้เอาออก มีพรหมวิหาร มีความเมตตา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ถ้าเราจัดการทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
คนทั่วไปนั้น แรงของความทะเยอทะยานอยาก อยากให้ตัวเอง อยากให้คนอื่น ก็เลยปิดกั้นเอาไว้เสียจนแน่นเลยทีเดียว ถ้าเราคลายออกก็เหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของตัวใจ ตัววิญญาณคลายออกแล้วก็ดับความเกิดของตัววิญญาณ ถ้าปล่อยให้เขาเกิด กำลังเขาก็มากขึ้นๆๆ จนเอาไม่อยู่ เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเองเหมือนกัน เขาก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน ถ้ากำลังสติปัญญาของเราไม่แหลมคม แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้ารู้ด้วยเหตุ เห็นด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย เรามีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่ หลายคนก็มีความสุข เอาการเอางานเป็นตัวปฏิบัติ ทำงานไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย ละนิวรณ์ไปด้วย แดดร้อนๆ ก็ไม่ได้ทุกข์ มีความสุขอยู่ตลอด มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด
กิเลสตัวไหนมันยังเหลืออยู่ ตัวไหนมันยังเกิดอยู่ก็รีบจัดการ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลาว่าจะละกิเลสตัวโน้น ละกิเลสตัวนี้ ตัวไหนเกิดก่อนก็ละมันก่อนนั่นแหละ ทำภาระหน้าที่ภายในให้มันจบ ก่อนที่มันจะจบได้ มันก็ต้องเกี่ยวเนื่องกันทั้งภายนอกภายใน ยังสมมติภายนอกให้บริบูรณ์ แล้วก็ละภายในให้มันจบ แล้วก็บริหารสมมติด้วยสติด้วยปัญญา ยังประโยชน์ของสมมติให้เต็มเปี่ยม ทรัพย์ภายในก็เต็ม ทรัพย์ข้างนอกก็ยังประโยชน์ นี่แหละไม่เสียทีเสียเที่ยว
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน นี้รู้สึกว่ามีกันมาตั้งนาน แต่การลงมือจัดการกับตัวจิตวิญญาณภายในของเรานี่มัน ถ้าไม่ก็กำลังสติปัญญาไม่แหลมคม ชี้เหตุชี้ผล ตามรู้เหตุผลจริงๆ ยากอยู่ ยากอยู่ที่จะละที่จะวางได้ แต่ก็อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งบุญ จงพยายามน้อมใจของเราให้อยู่ในกองบุญ ถ้าขยันหมั่นเพียรก็รู้จักลักษณะของคำว่าปัจจุบันธรรม สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรม สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ละได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามเอา
ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราไม่เอาใจของเราให้ไปทุกข์กับสิ่งโน้นสิ่งนี้ แล้วก็มาบริหารกายของเรา แล้วก็ล้นออกไปสู่พี่สู่น้อง สู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ก็จะมีแต่ความสุข มันไม่เหลือวิสัย ส่วนกิเลสภายในก็ละเอา ละให้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องละเอา กิเลสมันมีมากมีน้อยก็ต้องละเอา จะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ ไปอย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องใช้สติใช้ปัญญาชี้เหตุชี้ผลภายในกายในใจของเรา
คำสอนนั้นมีมานาน คำสอนนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านยังชี้เลย บอกว่าถึงพระพุทธเจ้าไม่เกิด ธรรมะก็มีอยู่ประจำโลก แต่คนเราเข้าไม่ถึง ไม่รู้ความจริง พระพุทธเจ้าท่านค้นพบเอามาเปิดเผยแล้วก็มาชี้แนะ บอกวิธีการบอกแนวทาง คนทั่วไปก็ประพฤติปฏิบัติตามได้รับความสงบความสุข แต่คนทั่วไปเนี่ย เพียงแค่สติระลึกรู้ตัวยังสร้างกันไม่ได้ต่อเนื่องสัก 5 นาที 10 นาทีเลย ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี ความหลง หลงมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ กี่ภพกี่ชาติ จะมาคลายแค่ 5 นาที 10 นาที มันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามเอา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายาม
อุปนิสัยเดิมของทุกคนนั้นเป็นใจที่มีบุญ แต่ความไม่รู้ ความหลงเท่านั้นเองทำให้ใจถึงเกิด บางทีก็เกิดในบุญนั่นแหละ บุญก็ยังปิดกั้นความบริสุทธิ์เอาไว้อยู่แต่ก็ยังเป็นฝ่ายดี จะเป็นฝ่ายดี ในหลักธรรมก็ท่านก็ให้สร้างบุญสร้างประโยชน์ แต่ไม่ให้ยึด ไม่ให้หลง ให้อยู่เหนือบุญ อยู่เหนือบาป อยู่เหนือบุญ ละอกุศล สร้างกุศล ดับความเกิด คลายความหลงได้ ละกิเลสได้หมด ใจก็เป็นบุญ ถ้าใจไม่เกิดได้ตลอดนะ ใจก็จะอยู่กับบุญตลอด มีความสุขอยู่ตลอด แต่คนทั่วไปก็แสวงหา แสวงหานอกกาย ก็เลยมี ใจก็เลยไม่สงบ เลยไม่นิ่ง แต่ก็เป็นการสร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมี คอยสร้างสะสมบุญ ถึงวาระเวลามันก็จะต้องนิ่งต้องสงบ
เหมือนกับเราปลูกผลไม้ เราจะเร่งให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็เร่งมันก็ออกไม่ได้ มันก็ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา ใจของเราก็เหมือนกัน เราขัดเกลากิเลสที่นั้นทีนี้ มันก็จะค่อยเหือดแห้งไปๆ มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ใจของเราดี ภายนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าใจของเราไม่ดี ข้างนอกจะดีถึงขนาดไหน ใจของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม ท่านถึงบอกให้แก้ไขที่ใจของเรา ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี
ตื่นขึ้นมาขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร เราขาดตกบกพร่องอะไร ทำหน้าที่ของเราให้จบ ทีนี้ก็ยังประโยชน์สมมติให้เต็มเปี่ยม เท่าที่โอกาสอำนวยให้ พยายามทำกันนะ ชีเราก็ขยันหมั่นเพียร ทั้งพระทั้งชีก็ช่วยกันดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบ ตั้งแต่ปากทางเข้าถึงก้นครัว มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา อะไรที่ไม่ดีเราก็ช่วยกันทำ ขณะที่ทำนั้นก็ดูใจไปด้วย รู้ใจไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย ใจเกิดกิเลสเมื่อไรก็พยายามจัดการกับมันทันที อย่าไปส่งเสริม กิเลสมันก็มีหลายชั้นหลายขั้นหลายตอนเหมือนกัน
กำลังฝ่ายกุศลหรือว่าอกุศลจะแรงกว่ากัน กิเลสมาร ขันธมาร จิตมาร อะไรก็เป็นมารหมด ถ้าใจเป็นธรรม อะไรก็เป็นธรรมหมด มันจะกลับกัน แม้แต่เรื่องอยู่เรื่องกิน ความอยากความไม่อยาก ทุกเรื่องนั่นแหละ ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ไขว่คว้าอยู่ในอากาศ ไม่ดูที่ฐานของใจ จะไปปฏิบัติธรรมที่โน่นปฏิบัติธรรมที่นี่ ไปแสวงหาธรรมที่โน่นที่นี่ ไม่ละที่ใจ มันก็เลยไม่เจอ ต้องละที่ใจ เอาที่ใจ ทำที่ใจ ใจก็อาศัยกายอยู่ กายก็ทำหน้าที่ของเขาอยู่ ตาก็มีหน้าที่ดู หูก็มีหน้าที่ฟัง ก็ห้ามไม่ได้ เขาทำหน้าที่ของเขา เรามีสติอยู่ที่ใจ บริหารให้ถูกต้อง ไม่ยากเลย ธรรมะไม่ยากเลยถ้าคนเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจในที่ถึงจะยาก เพราะว่ามันปกปิดเอาไว้หมด สักเวลาหนึ่งก็คงจะคลาย
มีอะไรก็ช่วยกัน ทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยม มาสร้างอานิสงส์สร้างบารมีกัน อะไรไม่ดี เราก็รีบทำ อย่าไปงอมืองอเท้า ถ้าเกียจคร้านไปที่ไหนก็ลำบาก อยู่คนเดียวก็ลำบาก อยู่หลายคนก็ยิ่งลำบาก ไปที่ไหนก็หนักตัวเอง หนักคนอื่น เพราะว่ากายเป็นของหนัก ถ้าเราเดินปัญญาได้ แยกแยะได้ กายก็เป็นของเบา จิตก็เป็นของว่าง แต่ต้องรู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ถึงจะปรากฏเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ตัวของเราได้
ปีหน้าก็จะได้ฉลองสมโภชน์ใหญ่ ไม่ให้ลำบาก เทวดาก็มาช่วยเหลือกันเต็ม เทวดาที่มีกายเนื้อ เทวดาที่ไม่มีกายเนื้อ ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วย
ตั้งใจรับพร
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่ย้ำ ได้เพียงแค่เตือนให้พวกท่านได้พากันทำ ทำให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ระลึกได้เมื่อไรเราก็รีบทำ ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะไม่เข้าใจ เรื่องการหายใจเข้าหายใจออก บางทีก็อึดอัด บางทีสมองก็ตรึง บางทีหน้าท้องก็แน่น เพราะว่าความไม่เคยชิน เราพยายามฝึกบ่อยๆ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร เราพยายามทำความเพียรบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ความรู้ตัวนี้แหละ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องมันจะเป็นพื้นฐานในการรู้จิต รู้วิญญาณ รู้ความเกิด รู้ความดับ คลายความหลงในขั้นสูงๆ เราก็ต้องพยายาม แต่ส่วนมากปัญญาเก่าความคิดเก่า ของเก่านี่เขาไปกันหมด คิดก็รู้ ทำก็รู้ นี่แหละมันหลง หลงอยู่ในความเกิด มันหลงอยู่ในความรู้ นอกจากบุคคลที่มาสร้างความรู้ตัวเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล รู้เท่าทัน ใจของเราคลายออกจากความคิด เพียงแค่คลาย เพียงแค่แยกได้นั้น เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง
แต่ฐานบุญบารมีตัวอื่นนั้นเรามีมากันหมดทุกคน ความเสียสละ ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี อันนี้ก็เป็นการสร้างบารมีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การสังเกตเห็นตัววิญญาณคลายออกจากความคิด หรือว่าความคิดมันผุดขึ้นมาได้อย่างไร วิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร อยู่ในกายของเรา ตรงนี้แหละ ถ้าไม่กำลังสติปัญญาไม่แหลมคมเร็วไวต่อเนื่อง ก็ยากที่จะเข้าใจ ถึงแม้เราจะเจริญสติ เจริญปัญญาของเราได้ต่อเนื่อง ถ้าไม่เห็น สังเกตไม่เห็นตัววิญญาณคลายออก ความรู้แจ้งเห็นจริงก็ไม่ปรากฏ ถ้าแยกแยะได้ ใจของเราคลายได้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจได้ทุกเรื่องอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม นั่นเป็นของละเอียดมากทีเดียว
ส่วนมากเราก็อยู่ในบุญอยู่ในกุศล สร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์อยู่ในระดับของสมมติ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ลึกๆ ลงไปเราต้องให้รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณ แล้วก็ละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา รอบรู้ในวิญญาณยังไม่พอ รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราจะบริหารชีวิตอย่างไร อยู่กับสมมติอย่างไร จนกว่าจะหมดลมหายใจอย่างมีความสุข บางคนบางท่านก็บริบูรณ์ทั้งภายนอกทั้งภายใน บางคนบางท่านก็บริบูรณ์เฉพาะข้างนอก ข้างในก็ยังพร่อง บางคนบางท่านก็พร่องข้างนอก บริบูรณ์ข้างใน เราก็ต้องพยายามให้ปรับความสมดุลให้ได้ทั้งสองอย่าง ยิ่งจะมีความสุข อยู่กับสมมติ ก็ไม่ให้สมมติเขาครอบงำ อยู่อย่างมีความสงบความสุขกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2556
พากันดูดีๆ นะพระเรา พิจารณาปฏิสังขาโย รู้กายรู้ใจ รู้กายรู้ใจ กายหิวใจเกิดความอยากปรุงแต่งหรือไม่ เราก็ต้องดูแล้วก็พิจารณาอาหาร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ถ้าเราจะเอาก็ให้ใจรับรู้ สติปัญญาพิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเรา เขาเรียกว่าปฏิสังขาโย อาหารเข้ามาหล่อเลี้ยงร่างกายของเราไม่ให้รับทุกขเวทนา
พิจารณาทุกเรื่อง ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่มีแล้วก็สร้างขึ้นมา เอาไปใช้กับชีวิต ไม่ใช่ว่ามองข้าม ดูรู้ทุกอย่าง ลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นอย่างไร หายใจยาวหายใจสั้นเป็นอย่างไร ใจของเราก่อตัวอาการของใจของเราเป็นอย่างไร อาการของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดเป็นอย่างไร เขาเกิดอย่างไร เข้าไปอย่างไรมาอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจหมด ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
สมมติอะไรเรายังขาดตกบกพร่อง เราก็ต้องพยายามพิจารณายังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ให้เต็มที่ บางคนบางท่านก็ยังสมมติมาดี สมมติก็ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ลำบากอยู่ ส่วนทางด้านจิตวิญญาณ เราก็รู้จักหมั่นพร่ำสอน ชี้เหตุชี้ผล ทำความเข้าใจ สังเกตให้เห็นจริงๆ รู้ลักษณะ เรารู้อยู่ แต่เราดับ เราควบคุม เราคลายไม่ได้ ทั้งที่รู้ๆ นั่นแหละ เขาเรียกว่าความหลงอยู่ แต่ในหลักของความเป็นจริงนั้น จิตวิญญาณหลงมาตั้งแต่ได้เกิด เพียงแค่หลงเกิด หลง ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด นี่เขาหลงมาเกิดภพของมนุษย์ มาสร้างภพมนุษย์ มีขันธ์ห้ามาห่อหุ้มเอาไว้ ซึ่งมีส่วนรูปส่วนนามที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่จะรู้ความจริงลึกลงไปอีก เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง
ถ้าความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง ไม่รู้เท่าทัน เราก็จะไม่เข้าใจ เพราะว่าปัญญาความคิดที่เกิดจากตัวจิตตัววิญญาณนั้นเขาปิดกั้นเอาไว้หมด อาการของความคิดกับตัวใจนั้นปิดกั้นเอาไว้เลยทีเดียว อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติ ในหลักธรรมนั้นต้องสร้างผู้รู้ตัวใหม่ สร้างเจริญสติเข้าไปเห็นการเกิดการดับ เข้าไปคลาย เข้าไปแยก เข้าไปตามดู ให้เขามองเห็นความเป็นจริงทุกอย่าง ตัวจิตตัวใจของเราถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ เพียงแค่แยกแยะได้ ไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม
หลายสิ่งหลายอย่าง คนเราส่วนมากก็อาจจะทำความถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ ยังสมมติให้ประคับประคองได้อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ในระดับของตัววิญญาณในกายของเราแล้ว ต้องรู้ต้องเห็น ต้องทุกขณะ แม้แต่ความทะเยอทะยานอยาก ความไม่อยาก เราต้องหยุดต้องดับให้หมด ต้องคลายให้หมด มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติหมด ธรรมชาติธรรมดา กายทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้
ดูเรื่องของเราให้ดี แก้ไขจัดระบบระเบียบ ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเราให้ดี คลายออกให้มันหมดคนทั่วไปนะ อัดแน่นมาตั้งแต่ก่อนก็เลยคลายได้ยาก ไปเป็นผู้เอาออก ผู้ขัดผู้เกลา ผู้เสียสละ อารมณ์ ความขยันหมั่นเพียรทั้งสมมติ ทั้งความเสียสละ ละกิเลส เป็นผู้ให้ ผู้ให้อภัย เป็นผู้เอาออก มีพรหมวิหาร มีความเมตตา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ถ้าเราจัดการทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
คนทั่วไปนั้น แรงของความทะเยอทะยานอยาก อยากให้ตัวเอง อยากให้คนอื่น ก็เลยปิดกั้นเอาไว้เสียจนแน่นเลยทีเดียว ถ้าเราคลายออกก็เหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของตัวใจ ตัววิญญาณคลายออกแล้วก็ดับความเกิดของตัววิญญาณ ถ้าปล่อยให้เขาเกิด กำลังเขาก็มากขึ้นๆๆ จนเอาไม่อยู่ เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเองเหมือนกัน เขาก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน ถ้ากำลังสติปัญญาของเราไม่แหลมคม แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้ารู้ด้วยเหตุ เห็นด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย เรามีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่ หลายคนก็มีความสุข เอาการเอางานเป็นตัวปฏิบัติ ทำงานไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย ละนิวรณ์ไปด้วย แดดร้อนๆ ก็ไม่ได้ทุกข์ มีความสุขอยู่ตลอด มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด
กิเลสตัวไหนมันยังเหลืออยู่ ตัวไหนมันยังเกิดอยู่ก็รีบจัดการ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลาว่าจะละกิเลสตัวโน้น ละกิเลสตัวนี้ ตัวไหนเกิดก่อนก็ละมันก่อนนั่นแหละ ทำภาระหน้าที่ภายในให้มันจบ ก่อนที่มันจะจบได้ มันก็ต้องเกี่ยวเนื่องกันทั้งภายนอกภายใน ยังสมมติภายนอกให้บริบูรณ์ แล้วก็ละภายในให้มันจบ แล้วก็บริหารสมมติด้วยสติด้วยปัญญา ยังประโยชน์ของสมมติให้เต็มเปี่ยม ทรัพย์ภายในก็เต็ม ทรัพย์ข้างนอกก็ยังประโยชน์ นี่แหละไม่เสียทีเสียเที่ยว
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน นี้รู้สึกว่ามีกันมาตั้งนาน แต่การลงมือจัดการกับตัวจิตวิญญาณภายในของเรานี่มัน ถ้าไม่ก็กำลังสติปัญญาไม่แหลมคม ชี้เหตุชี้ผล ตามรู้เหตุผลจริงๆ ยากอยู่ ยากอยู่ที่จะละที่จะวางได้ แต่ก็อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งบุญ จงพยายามน้อมใจของเราให้อยู่ในกองบุญ ถ้าขยันหมั่นเพียรก็รู้จักลักษณะของคำว่าปัจจุบันธรรม สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรม สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ละได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามเอา
ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราไม่เอาใจของเราให้ไปทุกข์กับสิ่งโน้นสิ่งนี้ แล้วก็มาบริหารกายของเรา แล้วก็ล้นออกไปสู่พี่สู่น้อง สู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ก็จะมีแต่ความสุข มันไม่เหลือวิสัย ส่วนกิเลสภายในก็ละเอา ละให้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องละเอา กิเลสมันมีมากมีน้อยก็ต้องละเอา จะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ ไปอย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องใช้สติใช้ปัญญาชี้เหตุชี้ผลภายในกายในใจของเรา
คำสอนนั้นมีมานาน คำสอนนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านยังชี้เลย บอกว่าถึงพระพุทธเจ้าไม่เกิด ธรรมะก็มีอยู่ประจำโลก แต่คนเราเข้าไม่ถึง ไม่รู้ความจริง พระพุทธเจ้าท่านค้นพบเอามาเปิดเผยแล้วก็มาชี้แนะ บอกวิธีการบอกแนวทาง คนทั่วไปก็ประพฤติปฏิบัติตามได้รับความสงบความสุข แต่คนทั่วไปเนี่ย เพียงแค่สติระลึกรู้ตัวยังสร้างกันไม่ได้ต่อเนื่องสัก 5 นาที 10 นาทีเลย ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี ความหลง หลงมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ กี่ภพกี่ชาติ จะมาคลายแค่ 5 นาที 10 นาที มันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามเอา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายาม
อุปนิสัยเดิมของทุกคนนั้นเป็นใจที่มีบุญ แต่ความไม่รู้ ความหลงเท่านั้นเองทำให้ใจถึงเกิด บางทีก็เกิดในบุญนั่นแหละ บุญก็ยังปิดกั้นความบริสุทธิ์เอาไว้อยู่แต่ก็ยังเป็นฝ่ายดี จะเป็นฝ่ายดี ในหลักธรรมก็ท่านก็ให้สร้างบุญสร้างประโยชน์ แต่ไม่ให้ยึด ไม่ให้หลง ให้อยู่เหนือบุญ อยู่เหนือบาป อยู่เหนือบุญ ละอกุศล สร้างกุศล ดับความเกิด คลายความหลงได้ ละกิเลสได้หมด ใจก็เป็นบุญ ถ้าใจไม่เกิดได้ตลอดนะ ใจก็จะอยู่กับบุญตลอด มีความสุขอยู่ตลอด แต่คนทั่วไปก็แสวงหา แสวงหานอกกาย ก็เลยมี ใจก็เลยไม่สงบ เลยไม่นิ่ง แต่ก็เป็นการสร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมี คอยสร้างสะสมบุญ ถึงวาระเวลามันก็จะต้องนิ่งต้องสงบ
เหมือนกับเราปลูกผลไม้ เราจะเร่งให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็เร่งมันก็ออกไม่ได้ มันก็ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา ใจของเราก็เหมือนกัน เราขัดเกลากิเลสที่นั้นทีนี้ มันก็จะค่อยเหือดแห้งไปๆ มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ใจของเราดี ภายนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าใจของเราไม่ดี ข้างนอกจะดีถึงขนาดไหน ใจของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม ท่านถึงบอกให้แก้ไขที่ใจของเรา ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี
ตื่นขึ้นมาขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร เราขาดตกบกพร่องอะไร ทำหน้าที่ของเราให้จบ ทีนี้ก็ยังประโยชน์สมมติให้เต็มเปี่ยม เท่าที่โอกาสอำนวยให้ พยายามทำกันนะ ชีเราก็ขยันหมั่นเพียร ทั้งพระทั้งชีก็ช่วยกันดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบ ตั้งแต่ปากทางเข้าถึงก้นครัว มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา อะไรที่ไม่ดีเราก็ช่วยกันทำ ขณะที่ทำนั้นก็ดูใจไปด้วย รู้ใจไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย ใจเกิดกิเลสเมื่อไรก็พยายามจัดการกับมันทันที อย่าไปส่งเสริม กิเลสมันก็มีหลายชั้นหลายขั้นหลายตอนเหมือนกัน
กำลังฝ่ายกุศลหรือว่าอกุศลจะแรงกว่ากัน กิเลสมาร ขันธมาร จิตมาร อะไรก็เป็นมารหมด ถ้าใจเป็นธรรม อะไรก็เป็นธรรมหมด มันจะกลับกัน แม้แต่เรื่องอยู่เรื่องกิน ความอยากความไม่อยาก ทุกเรื่องนั่นแหละ ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ไขว่คว้าอยู่ในอากาศ ไม่ดูที่ฐานของใจ จะไปปฏิบัติธรรมที่โน่นปฏิบัติธรรมที่นี่ ไปแสวงหาธรรมที่โน่นที่นี่ ไม่ละที่ใจ มันก็เลยไม่เจอ ต้องละที่ใจ เอาที่ใจ ทำที่ใจ ใจก็อาศัยกายอยู่ กายก็ทำหน้าที่ของเขาอยู่ ตาก็มีหน้าที่ดู หูก็มีหน้าที่ฟัง ก็ห้ามไม่ได้ เขาทำหน้าที่ของเขา เรามีสติอยู่ที่ใจ บริหารให้ถูกต้อง ไม่ยากเลย ธรรมะไม่ยากเลยถ้าคนเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจในที่ถึงจะยาก เพราะว่ามันปกปิดเอาไว้หมด สักเวลาหนึ่งก็คงจะคลาย
มีอะไรก็ช่วยกัน ทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยม มาสร้างอานิสงส์สร้างบารมีกัน อะไรไม่ดี เราก็รีบทำ อย่าไปงอมืองอเท้า ถ้าเกียจคร้านไปที่ไหนก็ลำบาก อยู่คนเดียวก็ลำบาก อยู่หลายคนก็ยิ่งลำบาก ไปที่ไหนก็หนักตัวเอง หนักคนอื่น เพราะว่ากายเป็นของหนัก ถ้าเราเดินปัญญาได้ แยกแยะได้ กายก็เป็นของเบา จิตก็เป็นของว่าง แต่ต้องรู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ถึงจะปรากฏเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ตัวของเราได้
ปีหน้าก็จะได้ฉลองสมโภชน์ใหญ่ ไม่ให้ลำบาก เทวดาก็มาช่วยเหลือกันเต็ม เทวดาที่มีกายเนื้อ เทวดาที่ไม่มีกายเนื้อ ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วย
ตั้งใจรับพร
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่ย้ำ ได้เพียงแค่เตือนให้พวกท่านได้พากันทำ ทำให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ระลึกได้เมื่อไรเราก็รีบทำ ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะไม่เข้าใจ เรื่องการหายใจเข้าหายใจออก บางทีก็อึดอัด บางทีสมองก็ตรึง บางทีหน้าท้องก็แน่น เพราะว่าความไม่เคยชิน เราพยายามฝึกบ่อยๆ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร เราพยายามทำความเพียรบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน
ความรู้ตัวนี้แหละ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องมันจะเป็นพื้นฐานในการรู้จิต รู้วิญญาณ รู้ความเกิด รู้ความดับ คลายความหลงในขั้นสูงๆ เราก็ต้องพยายาม แต่ส่วนมากปัญญาเก่าความคิดเก่า ของเก่านี่เขาไปกันหมด คิดก็รู้ ทำก็รู้ นี่แหละมันหลง หลงอยู่ในความเกิด มันหลงอยู่ในความรู้ นอกจากบุคคลที่มาสร้างความรู้ตัวเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล รู้เท่าทัน ใจของเราคลายออกจากความคิด เพียงแค่คลาย เพียงแค่แยกได้นั้น เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง
แต่ฐานบุญบารมีตัวอื่นนั้นเรามีมากันหมดทุกคน ความเสียสละ ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี อันนี้ก็เป็นการสร้างบารมีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การสังเกตเห็นตัววิญญาณคลายออกจากความคิด หรือว่าความคิดมันผุดขึ้นมาได้อย่างไร วิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร อยู่ในกายของเรา ตรงนี้แหละ ถ้าไม่กำลังสติปัญญาไม่แหลมคมเร็วไวต่อเนื่อง ก็ยากที่จะเข้าใจ ถึงแม้เราจะเจริญสติ เจริญปัญญาของเราได้ต่อเนื่อง ถ้าไม่เห็น สังเกตไม่เห็นตัววิญญาณคลายออก ความรู้แจ้งเห็นจริงก็ไม่ปรากฏ ถ้าแยกแยะได้ ใจของเราคลายได้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจได้ทุกเรื่องอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม นั่นเป็นของละเอียดมากทีเดียว
ส่วนมากเราก็อยู่ในบุญอยู่ในกุศล สร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์อยู่ในระดับของสมมติ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ลึกๆ ลงไปเราต้องให้รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณ แล้วก็ละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา รอบรู้ในวิญญาณยังไม่พอ รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราจะบริหารชีวิตอย่างไร อยู่กับสมมติอย่างไร จนกว่าจะหมดลมหายใจอย่างมีความสุข บางคนบางท่านก็บริบูรณ์ทั้งภายนอกทั้งภายใน บางคนบางท่านก็บริบูรณ์เฉพาะข้างนอก ข้างในก็ยังพร่อง บางคนบางท่านก็พร่องข้างนอก บริบูรณ์ข้างใน เราก็ต้องพยายามให้ปรับความสมดุลให้ได้ทั้งสองอย่าง ยิ่งจะมีความสุข อยู่กับสมมติ ก็ไม่ให้สมมติเขาครอบงำ อยู่อย่างมีความสงบความสุขกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ