หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 72
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 72
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 72
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พระบวชใหม่เราต้องพยายามทั้งพระใหม่ พระเก่านั่นแหละต้องเป็นผู้ใหม่ตลอดเวลา ดูรู้ใจของเราเกิดความอยาก เราก็พยายามควบคุม ยิ่งบวชใหม่ๆ เคยรับประทานข้าวปลาอาหารหลายมื้อ มื้อเช้า มื้อเย็น มื้อเที่ยง บางทีมื้อดึก ทีนี้เรามาอด มาลด มาละ กายก็หิว ใจจะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว เราก็รู้จักควบคุมใจ การควบคุมใจนั่นแหละคือตัวสติปัญญา ตัวใจมันเกิดความอยาก กายมันหิว จะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อยากอาหารมาให้กาย มาหล่อเลี้ยงร่างกาย อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม มันจะสั่งการทันที กายของเราต้องการอย่างโน้น กายของเราต้องการอย่างนี้ ใจมันเกิดความอยาก แต่เราขาดการสังเกต ก็เลยไม่เห็น ความอยากก็เลยปิดกั้นเอาไว้เสีย ความหิวก็ปิดกั้นเอาไว้เสีย ก็เลยไม่เห็น ถ้าเราไม่รู้จักสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องทุกเรื่องในชีวิต
ความรู้ตัวหรือว่าสติ รู้ตัวแล้วก็รู้ใจ ความรู้ตัวก็เน้นลงอยู่ที่กายของเรานั่นแหละ อยู่ที่ความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกบ้าง การเคลื่อนไหวของกายบ้าง พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน อานิสงส์บุญทาน บุญมีกันทุกคน อยากจะได้บุญ อยากทำบุญ อยากให้ทาน ตรงนี้มีกันทุกคน ความเกิดความดับของจิต ของวิญญาณ ของอาการของขันธ์ห้า ของความคิดมีกันทุกคน มีอยู่เดิม เพราะว่าเขาเกิดมา เขาเกิดมาตั้งนาน ทีนี้ก็ตกมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างร่างกายขันธ์ห้ามาห่อหุ้มปิดกั้นดวงใจเอาไว้ ดวงใจ ตัวจิตก็เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้าตัวสุดท้าย ถ้าไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มข้น ชี้เหตุชี้ผลให้ใจแยกคลายออกก็ยากที่จะปล่อยที่จะวางได้ ก็ต้องพยายามเอา อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง
บุญเก่าก็มี บุญใหม่ก็ได้สร้าง การเจริญปัญญาละกิเลสเราก็ทำเอา มาให้เจ้าคุณละให้ไม่ได้นะ เราต้องละเอา จะไปที่โน่นที่นี่ไปละกิเลสให้ฉันหน่อย อย่างนั้นใช้การไม่ได้ ช่วยสอนฉันหน่อยอย่างนั้น ก็ใช้การไม่ได้ เพียงแค่รู้จักวิธีชี้แนะ อุบาย แนวทาง แล้วก็ไปทำความเพียรให้มีให้เกิดขึ้น ไปที่โน่นที่โน่นไม่ดี ที่นี่ไม่ดี แล้วใจของเราไม่ดี มันถึงไปว่าที่โน่นไม่ดี ที่นี่ไม่ดี ถ้าใจของเราดีแล้ว ภายนอกดีอย่างไร ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ภายนอกไม่ดีอย่างไร ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม เราต้องมาแก้ไขที่ใจของเรา
ใจของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร สติปัญญารู้เท่าทันให้ใจรับรู้หรือเปล่า ต้องหมั่นวิเคราะห์ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ถ้าคนเข้าใจไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาสอนเลย สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เป็นคนคอยตรวจสอบ เป็นคนคอยพร่ำสอนใจของเรา อยู่กับใจเป็นมิตรกับใจของเรา มีเพื่อน เพื่อนเดินทาง สติกับใจเป็นเพื่อนกัน สติก็หมั่นพร่ำสอนใจ ทำโน่นทำนี่ก็ไม่ให้ใจเกิดกิเลส จะทำมากทำน้อย ก็เป็นความขยันของปัญญา ยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์ เราต้องแยกให้ออก
แต่เวลานี้สติของเรามีน้อย มีน้อย เราพยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาต่อเนื่องกันได้สัก 5 นาทีหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แค่ 5 นาที 2 นาที 3 นาที ก็มาปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าเราจะสร้างไปตลอดหรอก เราสร้างเพื่อที่จะทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนใจ รู้เห็นความเป็นจริง สติที่เราสร้างขึ้นมานี้ก็จะกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนเป็นอัตโนมัติ จนเป็นเองโดยที่ไม่ได้สร้าง จนสติปัญญารักษาเราได้ นั่นแหละเขาเรียกว่าธรรมรักษา ความว่างรักษา พูดง่ายหนอ แต่การกระทำต้องมาจากรากฐาน ความเสียสละ ความอ่อนโยน ความอ่อนน้อม ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ มันต้องเต็มเปี่ยมหมด จะมาเอาแค่รับรู้รับฟังมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามแก้ไขเรา
พระเราก็เหมือนกันเพิ่มความขยันให้ได้ทุกอิริยาบถ อย่าไปเกียจคร้าน อย่าไปงอมืองอเท้า บวชเข้ามาเพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว บวชเข้ามาแล้วก็ไปมัวเมาเล่นก็เสียดายเวลานะ เสียดายเวลา ถ้าเราเข้าใจเราก็เอาการงาน เป็นการฝึกทำงานไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย มีประโยชน์ ได้ประโยชน์มากมาย ประโยชน์สมมติเราก็ได้อาศัย เพราะว่าคนเราเกิดมาก็ยังอาศัยสมมติ อาศัยปัจจัยสี่อยู่ ถ้าปัจจัยสี่ไม่บริบูรณ์ มันก็ยากที่จะเดินทางได้ ถ้ากายยังหิวโหยอยู่ จะไปปฏิบัติอันโน้นอันนี่มันก็ทำไม่ได้ ที่อยู่ที่อาศัย ที่หลับที่นอน ถ้าไม่บริบูรณ์ จะไปเอาตั้งแต่ปฏิบัติ ตั้งแต่ทำ ก็ลองดูซิ มันไปไม่ได้ ต้องเป็นคนที่พร้อมมูลหมด พร้อมมูลหมด ถึงจะไม่มีค่ามีราคามากมาย ก็ขอให้สะดวก ไม่ได้ลำบาก นั่นแหละท่านถึงบอกว่ายังปัจจัยสี่ สมมติให้บริบูรณ์ ถึงจะมีไม่มากก็ไม่ได้ลำบาก การปฏิบัติจิตก็ไปได้เร็วได้ไว บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น พึ่งตัวเราให้ได้ อยู่ที่ตัวของเราเองตื่นขึ้นมาเราก็รีบสังเกตวิเคราะห์ใจของเรา ไม่ใช่ว่าไปวัดเราถึงจะได้บุญ ไปวัดเราถึงจะได้ปฏิบัติ อันนั้นยังเข้าใจกันผิดมากทีเดียว
ตื่นขึ้นมานะ เอากายนี่แหละเป็นวัด ดูใจของเรา รู้ใจของเรา ทำไมใจถึงเกิด ทำไมความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ความรู้ตัว ความรู้สึกรับรู้ตัวใหม่ที่เราสร้างขึ้นมานี้ต่อเนื่องกันหรือเปล่า เราต้องวิเคราะห์ใจ รู้ไม่ทัน รู้จักควบคุม รู้จักดับ หยุดเอาไว้ เขาเรียกว่าสมถะ ตากระทบรูปใจของเราเกิดปรุงแต่งหรือไม่ หูกระทบเสียงใจเกิดปรุงแต่งหรือไม่ ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร ความสำเหนียก ความน้อมไปใส่ใจของเรา ไปเทียบเคียงใจของเรา ทำโน่นทำนี่ เห็นคนอื่นเขาทำไม่ดี ใจของเราเป็นอย่างไร มีความอคติเพ่งโทษหรือไม่ เห็นคนอื่นเขาทำดี ใจของเราอิจฉาหรือไม่ เรามีความสุขพลอยยินดีอนุโมทนาสาธุหรือไม่ ใจของเราเกิดอคติเพ่งโทษคนโน้นคนนี้หรือเปล่า เวลารับประทานข้าวปลาอาหาร กายมันหิวหรือใจมันอยาก อยู่คนเดียวเรามีความรับผิดชอบ อยู่หลายคนเรามีความรับผิดชอบต่อหมู่ต่อคณะต่อส่วนรวมหรือไม่ ถ้าคนเราถ้าไม่มีความเสียสละ ยากที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้
ในหลักธรรมท่านให้เอาออกให้หมด คลายออกให้หมด เหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของใจ ละทั้งความอยาก ละทั้งความไม่อยาก ความเกิดกับความไม่เกิด ผลักไสหรือดึงเข้ามา ต้องให้อยู่ในความเป็นกลาง ความว่าง มาทำความเข้าใจกับกายก้อนเนื้อของเรา อีกสักหน่อยก็มันก็แตกก็ดับกายก้อนเนื้อ เพราะว่ามันเป็นกฎของไตรลักษณ์ เราก็เลยไปเหมารวมกันไปหมดว่าเป็นตัวตนของเรา ในหลักธรรมท่านก็ให้ทำความเข้าใจว่าเป็นตัวตนของเรา อยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง
ถ้ากายแตกดับ แล้วก็ตัวจิตตัววิญญาณมันต้องไปต่อ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ แต่ก็อย่าไปทิ้งบุญ อานิสงส์ผลบุญผลทานนั่นแหละจะเป็นเครื่องนำทาง ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ถึงดับความเกิดได้ แล้วก็สร้างบุญสร้างกุศลแต่ไม่ยึดไม่หลง เราก็จะอยู่กับบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ พร่ำสอนตัวเราทุกอิริยาบถ ทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าจะไปวัดนุ่งขาวห่มขาวเราถึงเป็นการปฏิบัติ ต้องลงที่ใจเป็นหลัก ลงที่ใจเป็นหลัก ใจมีความสะอาด มีความบริสุทธิ์ ถึงจะอยู่กลางป่ากลางเขากลางดง ก็เข้าถึงธรรมชาติของภายในได้ ถึงจะมีสติเป็นปัญญามากมายล้นฟ้า มีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก มันก็ยิ่งห่างไกล มีอะไรเราก็ช่วยกันทำ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน วางความคิด ไม่ได้ วางและหยุดความคิดนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้เสียก่อน ให้วางนั้นมันวางไม่ได้หรอก นอกจากบุคคลที่มีความเพียรสติปัญญาที่ต่อเนื่องกันจริงๆ ถึงจะวางได้ แยกแยะได้ ตอนนี้เราหยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือวางกายให้สบาย วางใจให้สบาย
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี้ก็รู้สึกว่ากายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ความนึกคิดที่เกิดจากจิตจากวิญญาณก็จะหยุดระงับยับยั้งลงไป หายใจยาวๆ กายก็สบายขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา ชัดเจนขึ้น อย่าไปบังคับ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตรงนี้ จะไปเอาตั้งแต่ปัญญา เอาตั้งแต่ความนึกคิดปรุงแต่งอันโน้นผิดอันนี้ถูก อันนี้ใช่หรือไม่ใช่ อันนั้นมันยังหลงอยู่ ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง อยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก เขาเรียกว่าปัจจุบันธรรม ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเราต้องรู้ให้หมด ไม่ต้องไปรู้อะไรมากมายหรอก รู้อยู่ในกายของเรานี่แหละให้หมด กายของเรานี้ อะไรส่วนรูปธรรม อะไรส่วนนามธรรม ความคิดเขาเกิดอย่างไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศลเขาเริ่มก่อตัวอย่างไร ทำไมขันธ์ห้าท่านถึงเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิต การที่ชี้แนะหมั่นพร่ำสอนจิตของเรา หาอุบายแนวทาง มองให้เห็นความเป็นจริงในกายเนื้อของเรา ว่าทำไมกายถึงเกิดๆ ดับๆ ดับๆ เกิดๆ อันนี้ส่วนรูป อันนี้ส่วนนาม มันมีหมดกันทุกคน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะไม่สนใจดูรู้ให้ต่อเนื่อง สนใจอยู่ สนใจเพียงแค่กระท่อนกระแท่น ก็เลยไม่รู้ความจริง ความจริงก็ได้อยู่ในระดับหนึ่งของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วต้องแยกต้องคลาย ต้องมองเห็นให้ชัดเจน ดับความเกิด ละกิเลสให้หมดจด สติ เหตุปัจจุบันธรรมต้องเข้มแข็งจนกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา จนเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เวลาโน้นถึงจะทำเวลานี้ถึงจะทำ เรารู้ตัวรู้ใจทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกนอกจากเราจะนอนหลับเท่านั้นแหละ
ตื่นขึ้นมาเราก็รีบดู อยู่ที่ไหนก็เป็นวัด เพราะว่าเราทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ทำเรื่องง่ายให้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก แต่คนทั่วไปมีตั้งแต่ยังเหตุผล เหตุการณ์ต่างๆ เข้ามาทับถมดวงใจของตัวเอง ความโลภ ความโกรธ ความพยายาม ความอยาก ความหวัง สารพัดอย่าง เอามาปิดกั้นตัวเรา แม้แต่สมมติก็ยังเอามาครอบงำ มันก็เลยห่างไกล ความบริสุทธิ์ ห่างไกลดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ แม้แต่ตัวจิตตัววิญญาณเขายังหลอกตัวเอง เพราะว่าเขาเกิด เขาหลงเขาเที่ยวมานาน กำลังสติปัญญาของเราต้องคอยอบรม คอยหมั่นสั่งสอนเขา หาเหตุหาผลชี้ เหตุชี้ผล แล้วก็ทำความเข้าใจให้เขามองเห็นความเป็นจริง เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ ตราบที่ยังแยกแยะไม่ได้ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ละอกุศลเจริญกุศล เพราะจะได้เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ ตราบใดที่ใจยังเกิด
หลวงพ่อก็จะพายังประโยชน์ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน ขอบใจเหล่ามนุษย์ เหล่าเทวดาที่ได้มาช่วยกัน ปีหน้าหลวงพ่อก็จะพาฉลองสมโภชใหญ่ ญาติโยมก็นำธงทิวมาถวาย ปีหน้าก็มาช่วยกันขึงช่วยกันกางให้เต็มป่านี่แหละ จะได้พาฉลองสมโภชใหญ่กันทุกคน ใครไปใครมาก็มีความสุข ตั้งโรงทานตลอด ตอนนี้กำลังจะสร้างโรงทานอยู่ กำลังจะสร้างโรงทาน มีที่ตั้งโรงทานเป็นถาวร ก็จะได้ตั้งโรงทานตลอด ให้ใครไปใครมาได้มีความสุข ได้มากราบไหว้สักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ สรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ ไหว้พระพุทธรูปหยกใหญ่ องค์แทนพระพุทธเจ้า ก็ขอเชิญทุกคนนั่นแหละ มาร่วมกันมาช่วยกัน ทั้งกำลังกายกำลังใจ มาช่วยกันทำ กายไม่มาก็ใจน้อมเข้ามาอนุโมทนาสาธุ ก็จะมีส่วนแห่งบุญในสิ่งที่พวกเราทำ
แต่ละวันก็เป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่ จากไม่มีเราก็ทำให้มีให้เกิดขึ้น ให้เป็นบุญ ให้เป็นอานิสงส์แห่งบุญของสมมติของทุกคน อย่าพากันเกียจคร้าน เราจะได้เกิดประโยชน์ พวกเราจากไป คนรุ่นหลังก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ ไม่ต้องได้ลำบาก คนรุ่นหลังก็มาสานต่อจะเป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่มหึมาในวันข้างหน้าไม่ตกอับ ไปที่ไหนก็ไม่ตกอับ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พระบวชใหม่เราต้องพยายามทั้งพระใหม่ พระเก่านั่นแหละต้องเป็นผู้ใหม่ตลอดเวลา ดูรู้ใจของเราเกิดความอยาก เราก็พยายามควบคุม ยิ่งบวชใหม่ๆ เคยรับประทานข้าวปลาอาหารหลายมื้อ มื้อเช้า มื้อเย็น มื้อเที่ยง บางทีมื้อดึก ทีนี้เรามาอด มาลด มาละ กายก็หิว ใจจะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว เราก็รู้จักควบคุมใจ การควบคุมใจนั่นแหละคือตัวสติปัญญา ตัวใจมันเกิดความอยาก กายมันหิว จะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อยากอาหารมาให้กาย มาหล่อเลี้ยงร่างกาย อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม มันจะสั่งการทันที กายของเราต้องการอย่างโน้น กายของเราต้องการอย่างนี้ ใจมันเกิดความอยาก แต่เราขาดการสังเกต ก็เลยไม่เห็น ความอยากก็เลยปิดกั้นเอาไว้เสีย ความหิวก็ปิดกั้นเอาไว้เสีย ก็เลยไม่เห็น ถ้าเราไม่รู้จักสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องทุกเรื่องในชีวิต
ความรู้ตัวหรือว่าสติ รู้ตัวแล้วก็รู้ใจ ความรู้ตัวก็เน้นลงอยู่ที่กายของเรานั่นแหละ อยู่ที่ความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกบ้าง การเคลื่อนไหวของกายบ้าง พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน อานิสงส์บุญทาน บุญมีกันทุกคน อยากจะได้บุญ อยากทำบุญ อยากให้ทาน ตรงนี้มีกันทุกคน ความเกิดความดับของจิต ของวิญญาณ ของอาการของขันธ์ห้า ของความคิดมีกันทุกคน มีอยู่เดิม เพราะว่าเขาเกิดมา เขาเกิดมาตั้งนาน ทีนี้ก็ตกมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างร่างกายขันธ์ห้ามาห่อหุ้มปิดกั้นดวงใจเอาไว้ ดวงใจ ตัวจิตก็เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้าตัวสุดท้าย ถ้าไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มข้น ชี้เหตุชี้ผลให้ใจแยกคลายออกก็ยากที่จะปล่อยที่จะวางได้ ก็ต้องพยายามเอา อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง
บุญเก่าก็มี บุญใหม่ก็ได้สร้าง การเจริญปัญญาละกิเลสเราก็ทำเอา มาให้เจ้าคุณละให้ไม่ได้นะ เราต้องละเอา จะไปที่โน่นที่นี่ไปละกิเลสให้ฉันหน่อย อย่างนั้นใช้การไม่ได้ ช่วยสอนฉันหน่อยอย่างนั้น ก็ใช้การไม่ได้ เพียงแค่รู้จักวิธีชี้แนะ อุบาย แนวทาง แล้วก็ไปทำความเพียรให้มีให้เกิดขึ้น ไปที่โน่นที่โน่นไม่ดี ที่นี่ไม่ดี แล้วใจของเราไม่ดี มันถึงไปว่าที่โน่นไม่ดี ที่นี่ไม่ดี ถ้าใจของเราดีแล้ว ภายนอกดีอย่างไร ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ภายนอกไม่ดีอย่างไร ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม เราต้องมาแก้ไขที่ใจของเรา
ใจของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร สติปัญญารู้เท่าทันให้ใจรับรู้หรือเปล่า ต้องหมั่นวิเคราะห์ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ถ้าคนเข้าใจไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาสอนเลย สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เป็นคนคอยตรวจสอบ เป็นคนคอยพร่ำสอนใจของเรา อยู่กับใจเป็นมิตรกับใจของเรา มีเพื่อน เพื่อนเดินทาง สติกับใจเป็นเพื่อนกัน สติก็หมั่นพร่ำสอนใจ ทำโน่นทำนี่ก็ไม่ให้ใจเกิดกิเลส จะทำมากทำน้อย ก็เป็นความขยันของปัญญา ยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์ เราต้องแยกให้ออก
แต่เวลานี้สติของเรามีน้อย มีน้อย เราพยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาต่อเนื่องกันได้สัก 5 นาทีหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แค่ 5 นาที 2 นาที 3 นาที ก็มาปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าเราจะสร้างไปตลอดหรอก เราสร้างเพื่อที่จะทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนใจ รู้เห็นความเป็นจริง สติที่เราสร้างขึ้นมานี้ก็จะกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนเป็นอัตโนมัติ จนเป็นเองโดยที่ไม่ได้สร้าง จนสติปัญญารักษาเราได้ นั่นแหละเขาเรียกว่าธรรมรักษา ความว่างรักษา พูดง่ายหนอ แต่การกระทำต้องมาจากรากฐาน ความเสียสละ ความอ่อนโยน ความอ่อนน้อม ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ มันต้องเต็มเปี่ยมหมด จะมาเอาแค่รับรู้รับฟังมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามแก้ไขเรา
พระเราก็เหมือนกันเพิ่มความขยันให้ได้ทุกอิริยาบถ อย่าไปเกียจคร้าน อย่าไปงอมืองอเท้า บวชเข้ามาเพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว บวชเข้ามาแล้วก็ไปมัวเมาเล่นก็เสียดายเวลานะ เสียดายเวลา ถ้าเราเข้าใจเราก็เอาการงาน เป็นการฝึกทำงานไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย มีประโยชน์ ได้ประโยชน์มากมาย ประโยชน์สมมติเราก็ได้อาศัย เพราะว่าคนเราเกิดมาก็ยังอาศัยสมมติ อาศัยปัจจัยสี่อยู่ ถ้าปัจจัยสี่ไม่บริบูรณ์ มันก็ยากที่จะเดินทางได้ ถ้ากายยังหิวโหยอยู่ จะไปปฏิบัติอันโน้นอันนี่มันก็ทำไม่ได้ ที่อยู่ที่อาศัย ที่หลับที่นอน ถ้าไม่บริบูรณ์ จะไปเอาตั้งแต่ปฏิบัติ ตั้งแต่ทำ ก็ลองดูซิ มันไปไม่ได้ ต้องเป็นคนที่พร้อมมูลหมด พร้อมมูลหมด ถึงจะไม่มีค่ามีราคามากมาย ก็ขอให้สะดวก ไม่ได้ลำบาก นั่นแหละท่านถึงบอกว่ายังปัจจัยสี่ สมมติให้บริบูรณ์ ถึงจะมีไม่มากก็ไม่ได้ลำบาก การปฏิบัติจิตก็ไปได้เร็วได้ไว บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น พึ่งตัวเราให้ได้ อยู่ที่ตัวของเราเองตื่นขึ้นมาเราก็รีบสังเกตวิเคราะห์ใจของเรา ไม่ใช่ว่าไปวัดเราถึงจะได้บุญ ไปวัดเราถึงจะได้ปฏิบัติ อันนั้นยังเข้าใจกันผิดมากทีเดียว
ตื่นขึ้นมานะ เอากายนี่แหละเป็นวัด ดูใจของเรา รู้ใจของเรา ทำไมใจถึงเกิด ทำไมความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ความรู้ตัว ความรู้สึกรับรู้ตัวใหม่ที่เราสร้างขึ้นมานี้ต่อเนื่องกันหรือเปล่า เราต้องวิเคราะห์ใจ รู้ไม่ทัน รู้จักควบคุม รู้จักดับ หยุดเอาไว้ เขาเรียกว่าสมถะ ตากระทบรูปใจของเราเกิดปรุงแต่งหรือไม่ หูกระทบเสียงใจเกิดปรุงแต่งหรือไม่ ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร ความสำเหนียก ความน้อมไปใส่ใจของเรา ไปเทียบเคียงใจของเรา ทำโน่นทำนี่ เห็นคนอื่นเขาทำไม่ดี ใจของเราเป็นอย่างไร มีความอคติเพ่งโทษหรือไม่ เห็นคนอื่นเขาทำดี ใจของเราอิจฉาหรือไม่ เรามีความสุขพลอยยินดีอนุโมทนาสาธุหรือไม่ ใจของเราเกิดอคติเพ่งโทษคนโน้นคนนี้หรือเปล่า เวลารับประทานข้าวปลาอาหาร กายมันหิวหรือใจมันอยาก อยู่คนเดียวเรามีความรับผิดชอบ อยู่หลายคนเรามีความรับผิดชอบต่อหมู่ต่อคณะต่อส่วนรวมหรือไม่ ถ้าคนเราถ้าไม่มีความเสียสละ ยากที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้
ในหลักธรรมท่านให้เอาออกให้หมด คลายออกให้หมด เหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของใจ ละทั้งความอยาก ละทั้งความไม่อยาก ความเกิดกับความไม่เกิด ผลักไสหรือดึงเข้ามา ต้องให้อยู่ในความเป็นกลาง ความว่าง มาทำความเข้าใจกับกายก้อนเนื้อของเรา อีกสักหน่อยก็มันก็แตกก็ดับกายก้อนเนื้อ เพราะว่ามันเป็นกฎของไตรลักษณ์ เราก็เลยไปเหมารวมกันไปหมดว่าเป็นตัวตนของเรา ในหลักธรรมท่านก็ให้ทำความเข้าใจว่าเป็นตัวตนของเรา อยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง
ถ้ากายแตกดับ แล้วก็ตัวจิตตัววิญญาณมันต้องไปต่อ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ แต่ก็อย่าไปทิ้งบุญ อานิสงส์ผลบุญผลทานนั่นแหละจะเป็นเครื่องนำทาง ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ถึงดับความเกิดได้ แล้วก็สร้างบุญสร้างกุศลแต่ไม่ยึดไม่หลง เราก็จะอยู่กับบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ พร่ำสอนตัวเราทุกอิริยาบถ ทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าจะไปวัดนุ่งขาวห่มขาวเราถึงเป็นการปฏิบัติ ต้องลงที่ใจเป็นหลัก ลงที่ใจเป็นหลัก ใจมีความสะอาด มีความบริสุทธิ์ ถึงจะอยู่กลางป่ากลางเขากลางดง ก็เข้าถึงธรรมชาติของภายในได้ ถึงจะมีสติเป็นปัญญามากมายล้นฟ้า มีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก มันก็ยิ่งห่างไกล มีอะไรเราก็ช่วยกันทำ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน วางความคิด ไม่ได้ วางและหยุดความคิดนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้เสียก่อน ให้วางนั้นมันวางไม่ได้หรอก นอกจากบุคคลที่มีความเพียรสติปัญญาที่ต่อเนื่องกันจริงๆ ถึงจะวางได้ แยกแยะได้ ตอนนี้เราหยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือวางกายให้สบาย วางใจให้สบาย
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี้ก็รู้สึกว่ากายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ความนึกคิดที่เกิดจากจิตจากวิญญาณก็จะหยุดระงับยับยั้งลงไป หายใจยาวๆ กายก็สบายขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา ชัดเจนขึ้น อย่าไปบังคับ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตรงนี้ จะไปเอาตั้งแต่ปัญญา เอาตั้งแต่ความนึกคิดปรุงแต่งอันโน้นผิดอันนี้ถูก อันนี้ใช่หรือไม่ใช่ อันนั้นมันยังหลงอยู่ ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง อยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก เขาเรียกว่าปัจจุบันธรรม ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเราต้องรู้ให้หมด ไม่ต้องไปรู้อะไรมากมายหรอก รู้อยู่ในกายของเรานี่แหละให้หมด กายของเรานี้ อะไรส่วนรูปธรรม อะไรส่วนนามธรรม ความคิดเขาเกิดอย่างไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศลเขาเริ่มก่อตัวอย่างไร ทำไมขันธ์ห้าท่านถึงเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิต การที่ชี้แนะหมั่นพร่ำสอนจิตของเรา หาอุบายแนวทาง มองให้เห็นความเป็นจริงในกายเนื้อของเรา ว่าทำไมกายถึงเกิดๆ ดับๆ ดับๆ เกิดๆ อันนี้ส่วนรูป อันนี้ส่วนนาม มันมีหมดกันทุกคน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะไม่สนใจดูรู้ให้ต่อเนื่อง สนใจอยู่ สนใจเพียงแค่กระท่อนกระแท่น ก็เลยไม่รู้ความจริง ความจริงก็ได้อยู่ในระดับหนึ่งของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วต้องแยกต้องคลาย ต้องมองเห็นให้ชัดเจน ดับความเกิด ละกิเลสให้หมดจด สติ เหตุปัจจุบันธรรมต้องเข้มแข็งจนกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา จนเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เวลาโน้นถึงจะทำเวลานี้ถึงจะทำ เรารู้ตัวรู้ใจทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกนอกจากเราจะนอนหลับเท่านั้นแหละ
ตื่นขึ้นมาเราก็รีบดู อยู่ที่ไหนก็เป็นวัด เพราะว่าเราทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ทำเรื่องง่ายให้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก แต่คนทั่วไปมีตั้งแต่ยังเหตุผล เหตุการณ์ต่างๆ เข้ามาทับถมดวงใจของตัวเอง ความโลภ ความโกรธ ความพยายาม ความอยาก ความหวัง สารพัดอย่าง เอามาปิดกั้นตัวเรา แม้แต่สมมติก็ยังเอามาครอบงำ มันก็เลยห่างไกล ความบริสุทธิ์ ห่างไกลดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ แม้แต่ตัวจิตตัววิญญาณเขายังหลอกตัวเอง เพราะว่าเขาเกิด เขาหลงเขาเที่ยวมานาน กำลังสติปัญญาของเราต้องคอยอบรม คอยหมั่นสั่งสอนเขา หาเหตุหาผลชี้ เหตุชี้ผล แล้วก็ทำความเข้าใจให้เขามองเห็นความเป็นจริง เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ ตราบที่ยังแยกแยะไม่ได้ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ละอกุศลเจริญกุศล เพราะจะได้เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ ตราบใดที่ใจยังเกิด
หลวงพ่อก็จะพายังประโยชน์ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน ขอบใจเหล่ามนุษย์ เหล่าเทวดาที่ได้มาช่วยกัน ปีหน้าหลวงพ่อก็จะพาฉลองสมโภชใหญ่ ญาติโยมก็นำธงทิวมาถวาย ปีหน้าก็มาช่วยกันขึงช่วยกันกางให้เต็มป่านี่แหละ จะได้พาฉลองสมโภชใหญ่กันทุกคน ใครไปใครมาก็มีความสุข ตั้งโรงทานตลอด ตอนนี้กำลังจะสร้างโรงทานอยู่ กำลังจะสร้างโรงทาน มีที่ตั้งโรงทานเป็นถาวร ก็จะได้ตั้งโรงทานตลอด ให้ใครไปใครมาได้มีความสุข ได้มากราบไหว้สักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ สรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ ไหว้พระพุทธรูปหยกใหญ่ องค์แทนพระพุทธเจ้า ก็ขอเชิญทุกคนนั่นแหละ มาร่วมกันมาช่วยกัน ทั้งกำลังกายกำลังใจ มาช่วยกันทำ กายไม่มาก็ใจน้อมเข้ามาอนุโมทนาสาธุ ก็จะมีส่วนแห่งบุญในสิ่งที่พวกเราทำ
แต่ละวันก็เป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่ จากไม่มีเราก็ทำให้มีให้เกิดขึ้น ให้เป็นบุญ ให้เป็นอานิสงส์แห่งบุญของสมมติของทุกคน อย่าพากันเกียจคร้าน เราจะได้เกิดประโยชน์ พวกเราจากไป คนรุ่นหลังก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ ไม่ต้องได้ลำบาก คนรุ่นหลังก็มาสานต่อจะเป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่มหึมาในวันข้างหน้าไม่ตกอับ ไปที่ไหนก็ไม่ตกอับ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา