หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 105

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 105
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 105
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 105
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 สิงหาคม 2556

วันนี้ก็เป็นวันที่ 29 สิงหาคม ญาติโยมพี่น้องเราที่มาอยู่รวมกันก็อยากจะทำบุญคล้ายวันเกิดหลวงพ่อ ก็เลยอยากจะพากันทำสามีจิกรรม คือทำความเคารพ ทำความอ่อนน้อมถ่อมตน หลังจากพระสงฆ์ท่านได้ทำภาระหน้าที่ทางเรื่องภัตตาหารเสร็จเสียก่อนนะ แล้วก็มีท่านผู้ใจบุญได้ไถ่ชีวิตโค 1 คู่ เนื่องในวันเกิดของหลวงพ่อ ก็คือคุณจิตร์ ตัณฑเสถียร ซึ่งท่านก็ได้มาบวชอยู่ด้วยนี่แหละ ท่านก็ได้ชวนพี่ชวนน้องขอไถ่ชีวิตโค 1 คู่ ในเนื่องในวันเกิดของหลวงพ่อ ก็ขออนุโมทนาสาธุเพื่อที่จะให้ญาติโยมได้ไปเลี้ยง หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วก็จะได้ไถ่ชีวิตโคต่อกันไปเลย จะได้ไม่เสียเวลา

ตามความเป็นจริงนั้น คนเราเกิดมาตั้งนานแล้วแหละ เกิดทางกายเนื้อ อันนี้ก็ส่วนหนึ่ง ส่วนการเกิดทางจิตทางวิญญาณ ทางขันธ์ห้านั้นเกิดอยู่ตลอด แต่เราขาดการทำความเข้าใจ ก็เลยปล่อยให้เขาเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ เกิดอยู่ในภพน้อย เกิดอยู่ในภพใหญ่ บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง บางทีก็มีกิเลสเข้าไปเจือปน เราต้องมาศึกษา มาค้นคว้า มาทำความเข้าใจ แล้วก็ละความเกิด ดับความเกิดเสีย ไม่อยากจะเกิดก็ต้องดับความเกิด ก่อนที่จะดับความเกิดได้ก็ต้องคลายความหลงด้วย ต้องคลายความหลงด้วย

ในส่วนลึกๆ ตัววิญญาณของเรานี่เขามาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างภพของมนุษย์ มีความหลงตั้งแต่มาสร้างแล้วแหละตั้งแต่การเกิด ทำอย่างไรเราถึงจะคลายตรงนี้ได้ เราก็ต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ ด้วยการเจริญสติ ด้วยการทำความเข้าใจ แล้วก็ด้วยการสร้างอานิสงส์บารมีให้เต็มเปี่ยม ให้ขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ท่านวางเอาไว้หมดตั้งแต่ทาน ความเชื่อ ทาน แล้วก็เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา แล้วการฝักใฝ่ การสนใจ การทำความเข้าใจให้มีด้วย ไม่ใช่เชื่อแบบหลงงมงาย ใครว่าอย่างไร วิ่งตามอย่างนั้นไป ไม่เข้าถึงจุดหมายปลายทาง

ท่านบอกให้เชื่อ เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ก่อนที่เราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้น เราจะเอาอะไรเข้าไปดูเหตุดูผล เราก็ต้องรู้จักลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน คำว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างไร เราได้สร้างขึ้นมาแล้วหรือยัง หรือว่าไปคิดเอา การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้กายให้ต่อเนื่อง ลึกลงไปก็รู้ใจ รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นกองเป็นขันธ์ ซึ่งท่านเรียกว่ารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรม เพราะว่าทุกคนต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวหมด ทำไมเราถึงไม่เข้าใจ ทำไมเราถึงลำบาก ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความเสียสละ ความอดทน การฝักใฝ่ การสนใจ การทำให้มีให้เกิด มีหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะดำเนินชีวิตของเราหรือไม่เท่านั้นเอง

อย่าไปแบกภาระกายของเราให้เป็นเรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเรา ตื่นขึ้นมาเรารีบสำรวจเสีย รีบสำรวจ ใจของเราเป็นอย่างไร กายของเราเป็นอย่างไร ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร เรามีความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันได้อยู่ในระดับของสมมติ แต่ระดับจิตใจ เราก็ต้องพยายามดำเนิน กิเลสเรา เราก็ละเอา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีอยู่ในกายของเราหมด

ตำราครูบาอาจารย์นั้นมีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมีมาตั้งนาน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะมีความบริสุทธิ์ใจ จริงใจกับตัวเราเองหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ความอยาก ความอยากกับความไม่อยาก เพียงแค่ความอยากกับความไม่อยาก เราก็ต้อง ต้องละต้องดับแล้ว ถ้าเป็นความอยาก ความไม่อยากของตัวจิตของตัวใจ ละ รู้จักละ รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักความพิจารณาแล้วก็เอาสติปัญญาเอาไปใช้แทน

แต่เวลานี้สติปัญญาของเรามีน้อย แต่สติปัญญาทางโลกนั้นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เต็มล้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นสติปัญญาที่อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่สติปัญญาในทางธรรมนี่ ความเกิดของใจ ปัญญาเกิดจากใจมีทั้งร้อย มีเกินร้อยต้องคลายออกให้หมดเหลือตั้งแต่ ให้กลับคืนสู่สภาพเดิม คือความบริสุทธิ์ หรือว่าสูญ ความไม่มี หลังจากนั้นก็ดำเนินสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน

แต่คนทั่วไปนั้นมีด้วยจิตวิญญาณ ทะเยอทะยานอยากด้วยจิตวิญญาณ ด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งเขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมดตั้งแต่แรก ตั้งแต่การเกิด การเกิดมาเป็นมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าเข้าห่อหุ้มเอาไว้ แล้วก็มาเอากิเลสเข้าไปทับถมอีก ความอยาก ความไม่ยาก ความทะเยอทะยานทะยานอยาก ความยินดียินร้าย สารพัดอย่างที่ปกปิดเอาไว้ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะว่าเขาอยู่ด้วยกันมานาน เขาเกิดมานาน เราจะสะสางเขาออกแค่วันสองวันมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ค่อยสร้างตบะ สร้างบารมี ความอดความทน ความอ่อนน้อมถ่อมตน สร้างสัจจะ วิริยะ ความเพียร รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ

คนที่มีบุญไม่จำเป็นต้องพูดมากมาย รู้จักลักษณะของสติเข้าไปสอนใจตัวเอง ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าตัวนี้แหละสำคัญ มันคลายไม่ได้ มันรวมไปหมดทั้งขันธ์ห้า มันก็เลยไปรวมไปยึดเอาหมดทุกอย่าง ถ้าเราคลายขันธ์ห้าได้ เราก็เห็นวิญญาณของเรา ทีนี้เราก็มาจัดการกับกิเลสที่เกิดจากวิญญาณของเราให้มันหมดจด ส่วนมากก็ไปได้อยู่ระดับของสมมติ ทำบุญให้ทาน อนุเคราะห์สร้างบารมีอยู่ระดับสมมติ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่ว่าไม่ดี เพราะว่าเป็นบารมีขึ้นสู่ที่สูง ทุกอย่างก็เกี่ยวเนื่องกันหมด

ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรม จะละตั้งแต่กิเลส ถ้าเราไม่อาศัยกายเนื้อของเรา เราก็ละกิเลสไม่ได้ ต้นไม้ก็มีทั้งเปลือก มีทั้งกระพี้ มีทั้งแก่น เราจะเอาเฉพาะแก่น ถ้าเราไม่ดูแลเปลือก ดูแลกระพี้ มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเขาอยู่ร่วมกัน ใจก็อาศัยกาย ใจก็อาศัยสมมติ อาศัยโลกธรรมอยู่ เราต้องทำความเข้าใจ มนุษย์เกิดมาก็อาศัยหมู่อาศัยคณะ อาศัยพ่ออาศัยแม่ อาศัยเพื่อนอาศัยญาติมิตร ต่างฝ่ายต่างอาศัยกัน เราทำความเข้าใจ ไม่ให้ใจของเราไปหลงไปยึด เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี

ถึงเวลาก็ต้องแตกแยกต้องพลัดพรากจาก เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง กฎของอนิจจัง ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์พิจารณา อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข เราทำหน้าที่ของเราให้ดีให้ถูกต้อง ขณะที่เรายังอยู่กับสมมติ แต่เราต้องจัดการกับเรื่องใจของเราให้เรียบร้อย ไม่ใช่ว่าส่งใจออกไปวุ่นวายไปทั่ว เราแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเราให้เรียบร้อย ล้นออกด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยบุญด้วยอานิสงส์แห่งการกระทำในสิ่งที่พวกเราทำมา ก็ต้องพยายามกันนะ

วันนี้ก็ฆราวาสญาติโยมก็พากันมา สำคัญอยู่ที่ใจ ขอให้ใจสะอาด ให้ใจบริสุทธิ์ ไม่อยากจะดับ ไม่อยากจะเกิดก็ต้องดับความเกิด แต่คนเราก็ต้องคิดต้องเกิด แต่เป็นการเกิดด้วยปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน แต่เวลานี้สติของเรายังต่อเนื่องกันไม่ได้สัก 5 นาทีเลย 5 นาที 10 นาที ในหลักธรรม ท่านให้ฝึกจนเป็นอัตโนมัติในการทำความเข้าใจ ในการดู ในการรู้ ในการละ จนเอาไปใช้แทนใจของเราได้ เอาไปทำหน้าที่แทนใจของเราได้ จนไม่ได้ฝึก จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ สัจธรรมมีอยู่ ความจริงมีอยู่ พวกเราจะเข้าถึงตรงนั้นได้หรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายาม

อย่าไปทิ้งบุญ ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน บุญแม้แต่น้อยนิด ก็เป็นอานิสงส์มากมายมหาศาล อย่าประมาทในการทำบุญ ทำบุญเพื่อละกิเลส เพื่อคลายกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ท่านถึงวางระบบระเบียบ ตั้งแต่ความเชื่อศรัทธา ศีล ความปกติ ความปกติอยู่ในระดับไหนอีกด้วย ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ อธิจิต อธิศีล อธิวินัย มีอยู่ในกายของเราหมด การได้บำเพ็ญ การได้สวดได้ท่อง ก็เพื่อที่จะให้เข้าถึงความหมาย รู้ความหมายให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา

การฝักใฝ่ การสนใจ ไม่ว่าพระว่าชีว่าฆราวาสก็มีกายเนื้อเหมือนกันหมด แต่ต่างเพศต่างภาวะ ให้เราเคารพกัน ในระดับของเพศของภาวะของสมมติ ถ้าคนเราไม่เคารพสมมติ สมมติก็วุ่นวาย ตีกันอยู่อย่างนั้นแหละ ตีกันฆ่ากันเพราะว่าไม่รู้จัก ก็เป็นบุคคลที่หลงอยู่ แต่เราก็ยังอาจจะหลงอยู่ในระดับบุญระดับกุศล ก็เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ ต่อไปก็ละหมดนั่นแหละ สร้างบุญ แต่ไม่ยึดติดในบุญ สร้างประโยชน์ให้เกิด ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็ได้พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ถ้าเรารู้ความจริงภายในของเราแล้วจะมีตั้งแต่ความสุข

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง