หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 74
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 74
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 74
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 13 มิถุนายน 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยกัน อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ตื่นขึ้นมาเราก็รีบรู้ใจของเรา รู้กายของเรา รู้จักพิจารณา รู้จักทำความเข้าใจ ทุกเรื่องในชีวิต ยิ่งเวลาขบเวลาฉัน กายต้องการอาหาร ใจของเราเกิดความอยากหรือไม่ เราก็พยายามหยุด พยายามระงับยับยั้ง พิจารณา ไม่ใช่ว่าจะไปพิจารณาตั้งแต่ความตั้งใจทำทุกลมหายใจเข้าออก การหายใจเข้า หายใจเข้าออกเป็นอย่างไร วิญญาณในกายเนื้อของเราเป็นอย่างไร ความยินดียินร้ายความอยาก อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เราก็ต้องพิจารณา อะไรคือความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปผัดวันประกันพรุ่งตื่นขึ้นมาเราก็รีบแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา ลักษณะของใจที่สงบ ใจที่ปกติ ใจที่ไม่เกิดกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็ต้องดูรู้ให้เท่าทัน
ปีนี้ก็พากันช่วยกันทำศาลาโรงทาน ก่อนเข้าพรรษาก็คงจะได้มุงหลังคา ทำศาลาโรงทานเสร็จก็มีที่แจกทานได้สะดวกสบาย ไม่ต้องมาวางตามถนนหนทาง ใครไปใครมาก็จะได้อิ่มหนำสำราญกัน ไม่ได้ลำบาก ญาติโยมก็มาช่วยกัน มาช่วยกันติดหินกาบ ทั้งพระทั้งชีนี่แหละ ความขยันหมั่นเพียรความรับผิดชอบการฝักใฝ่การสนใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าเรามีความเกียจคร้านอยู่ที่บ้านก็ไม่ดี อยู่ที่วัดก็ไม่ดี จงเป็นบุคคลที่มีความขยัน รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้น ไม่ว่าสมมติภายนอก ไม่ว่าสมมติต่างๆ ที่เราอาศัยอยู่ เราก็พยายาม เราขาดตกบกพร่องอะไร เราก็พยายามรีบแก้ไข สร้างขึ้นมาให้มี ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าไปงอมืองอเท้า
การฝึกหัดปฏิบัติธรรมก็คือการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง วิญญาณในกายเนื้อของเราเป็นอย่างไร โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอย่างไร ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่มีเราสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ไม่ใช่ว่ามีตั้งแต่งอมืองอเท้า ทำอะไรไม่เป็น ไปที่ไหนก็เลยลำบาก คนที่มีความขยัน มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีพรหมวิหาร รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสร้างขึ้นมา บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ไม่ได้ลำบาก ก็พยายามพิจารณาดูทุกเรื่องในชีวิต ทำไมเราถึงขาดตกบกพร่อง ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละแล้วการกระทำของเรามีความถึงพร้อมหรือไม่ เราก็ต้องดู
บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มองบนมองล่างมองกลางใจของตัวเรา เราก็จะเห็นความเป็นจริง ใจของเรามีกิเลส เราก็ละกิเลส ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ในหลักธรรม แม้แต่ความอยากความไม่อยาก ท่านก็ต้องให้ละ เพียงแค่การเกิด การเกิดของวิญญาณ ถ้าไม่เกิด ถ้าเกิด ถ้าไม่เกิดนี้ ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เขาหลงเขาถึงเกิด เกิดมาในภพมนุษย์ มีกายเนื้อ มีขันธ์ห้าเข้ามาห่อหุ้ม นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละ ที่จะชี้เหตุชี้ผลให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ให้เจริญสติลงที่กายของตัวเรา คำว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันยังไม่พากันสร้างให้ต่อเนื่องกันได้เลย
ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจอยากจะได้บุญ ใจอยากจะรู้ธรรม แต่การเกิด การแสวงหาของใจของขันธ์ห้าตรงนี้เขาปิดกันเอาไว้หมดเลยทีเดียว เราต้องมาสร้างความรู้ตัวเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ขยันหมั่นเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ชี้เหตุชี้ผลให้ใจของเรามองเห็นความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ อีกอย่างหนึ่งนั้น ถ้าวิบากกรรมไม่คลายก็ยากที่จะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้ วิบากกรรมก็คือการแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับขันธ์ห้า ถ้าแยกได้ก็เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจละออกให้หมดอีก ก็ยากที่จะเข้าถึงจุดหมายได้ แต่ก็อย่าไปทิ้งความเพียร เราพยายามสร้างความเพียรให้ได้ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ภาษาสมมติ ภาษาวิมุตติเป็นอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจกับความหมายของธรรม ไม่ใช่แสวงหาแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักทำ มีตั้งแต่เพิ่มพูนกิเลส เข้ามาทับถมดวงใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันก็ยาก
ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมาให้กาย ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง แต่เราก็ต้องพยายามแยก รูป รส กลิ่น เสียงออกจากตัววิญญาณของเรา กายทวารทั้งหกก็เป็นแค่เพียงทางผ่าน ทำความเข้าใจกับทุกเรื่อง อันนี้เรื่องของกาย อันนี้เรื่องของใจ ใจกับกายเขาก็อาศัยกันอยู่ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ถูกต้องก็ยากที่จะแจงออกให้เห็นชัดเจน พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอัตตาอนัตตา สอนเรื่องสมมติวิมุตติ สอนเรื่องหลักของอริยสัจ สนามรบก็อยู่ในกายของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ไม่ได้อยู่ที่ปฏิบัติธรรมที่โน่น ปฏิบัติธรรมที่นี่ อันนั้นเป็นการไปทำความเข้าใจเฉยๆ
กิเลสเกิดขึ้นที่ใจของเรา เกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร ทำไมเราถึงสร้างเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามาปิดทับถมดวงใจของตัวเราเอง เพราะความไม่รู้ ความหลง ทุกคนไม่อยากจะหลง แต่มันก็หลงนั่นแหละถึงได้มาเกิด แต่เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ยิ่งมาเพิ่มอัตตาเข้าไปอีก ยิ่งมาเพิ่มกิเลสทับถมเข้าไปทับถมดวงใจของเราเข้าไปอีก มันก็ยิ่งห่างไกล ถ้าคนไม่เข้าใจก็ได้แต่ดิ้นรนแสวงหาธรรมนอกกายของตัวเอง ไม่ชี้เหตุชี้ผลลงไปที่ใจให้ถูกต้อง ทำความเข้าใจให้กระจ่าง แล้วก็ค่อยละค่อยตัด เพียงแค่ความอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากไปอยากมา อยากมีอยากเป็น มันเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดของเรา ความคิดที่เกิดจากวิญญาณหรือว่าเกิดจากขันธ์ห้า ไอ้ส่วนกายเนื้อของเรานี้ก็เป็นก้อนรูป ไอ้ส่วนนามธรรมเราขาดการเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เพียงแค่การเจริญสติก็ยังไม่ต่อเนื่องหรือบางทีไม่มีเลย มีแต่ไปนึกไปคิดเอา ซึ่งเป็นปัญญาของโลกีย์ ยิ่งปิดกั้นเอาไว้หมด ยิ่งเพิ่มความเกียจคร้านเข้าไปอีก ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก เพิ่มความเกียจคร้าน เพิ่มความไม่รับผิดชอบ ยิ่งหนักเข้าไปอีก กายก็หนัก ใจก็หนัก แทนที่จะแก้ไขให้เบาบาง เป็นเรื่องของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี แก้ไขตัวเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทั้งสมมติวิมุตติ บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่ง
สมมติก็ไม่ได้ลำบากทางด้านจิตใจก็ไม่ได้ลำบาก โลกธรรมก็มีแต่ความขยันหมั่นเพียร มีตั้งแต่ประโยชน์ ยังประโยชน์ตนให้เต็มเปี่ยม ก็ล้นออกไปสู่ประโยชน์สู่หมู่สู่คณะสู่สังคม อยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ต้องไปโทษคนโน้น ไม่ต้องไปโทษคนนี้ โทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แล้วก็สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา การเจริญสติของเราต่อเนื่องหรือไม่ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ความกลัวเป็นอย่างไร ความหิวเป็นอย่างไร ความอยากเป็นอย่างไร เราต้องหัดวิเคราะห์หมดทุกเรื่อง จนไม่เหลือ จนใจของเราได้รับรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง นั่นแหละ ถึงจะเป็นบุคคลที่ถึงจุดหมายปลายทางได้
ตัวเราก็ช่วยเหลือตัวเราไม่ได้ กิเลสก็เต็ม ความทะเยอทะยานอยากก็เต็ม ซึ่งเป็นยางเหนียว ถ้าเราไม่สอนเราแล้วอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนแล้วเสียเวลาเปล่า ให้เราสอนเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา แนวทางนั่นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยมาชี้แนะ มาแจงว่ากายเนื้อของเรามีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ทำไมท่านถึงบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมถึงท่านถึงบอกว่าเป็นกองทุกข์ ให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเราเอง
ความทะเยอทะยานอยาก การละความอยากด้วยการเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน พากันทำให้ต่อเนื่อง พากันทำให้ได้ สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย ต้องมาจากพื้นฐานของวิญญาณแต่ละดวง มาจากครอบครัว ครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ครอบครัวที่มีความขยันหมั่นเพียร ครอบครัวที่มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป อะไรควรละอาย อะไรควรกล้าหาญ ถ้าไม่มีเราก็พยายามสร้างให้มี ทำให้มี ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกัน แต่ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักฐานของใจ มันก็เลยเข้าไม่ถึงทรัพย์ภายในที่สูง คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ใจของเราหลุดพ้นจากขันธ์ห้าจากความคิด จากอารมณ์ แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดจด พยายามเอานะ พยายามเอาอย่าไปทิ้ง
ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีบุญเราแหละ อย่าไปทิ้งพยายามทำ น้อมใจของเราให้ไปสู่กองบุญ บุญอะไรที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นกุศลให้เรารีบทำ แม้แต่ความคิด การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ เห็นคนอื่นได้ดี เราก็อนุโมทนาสาธุ เราก็พลอยได้รับบุญได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ปีนี้ก็คงจะภายในวัดของเราก็คงจะเรียบร้อยดี เรียบร้อยดี ปีหน้าก็จะได้ฉลองสมโภชใหญ่
ก็ขอขอบคุณเหล่าญาติโยมเหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาทั้งหลาย ที่ได้นำธงทิวมาเยอะเลยทีเดียว ปีหน้าก็เริ่มต้นปีใหม่ก็จะได้ขึงธงทิวให้เป็นสัญลักษณ์ของการฉลองสมโภช ปีหน้าโรงทานของเราคงจะเสร็จบริบูรณ์ ก็จะได้ตั้งโรงทานไปตลอด ใครไปใครมาก็จะได้มีความสุข ได้มากราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุ กราบไหว้องค์หลวงปู่ใหญ่ ความเป็นสิริมงคลได้บังเกิดขึ้น ณ สถานที่ตรงนี้ อยากจะดับทุกข์ได้ อยากจะละทุกข์ได้ก็ต้องเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ การเจริญสติที่ต่อเนื่อง การละกิเลส การขัดเกลา เราต้องทำ จะไปบังคับกันไม่ได้ เราต้องบังคับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ชี้เหตุชี้ผล แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็เอามาแจ้งให้ทุกคนได้ทราบ
ถ้าทุกคนมีสติปัญญา คอยพร่ำสอนใจของตัวเอง สติปัญญานั้นแหละเป็นครูบาอาจารย์ รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส กายเนื้อของเรานี่แหละเป็นสนามรบ เราดูให้เห็นเหตุเห็นผล อะไรเราไม่มีความพร้อม เราก็เพิ่มความขยัน จากความมีอยู่แล้วก็ทำความเข้าใจ จนคลายออก จนไม่เหลือที่ใจของเรา ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์จนกว่าจะหมดลมหายใจ เราจะหนีสมมติไม่ได้ เพราะว่ากายของเรายังเป็นก้อนสมมติอยู่ เรามาทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ของเรา อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 13 มิถุนายน 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยกัน อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ตื่นขึ้นมาเราก็รีบรู้ใจของเรา รู้กายของเรา รู้จักพิจารณา รู้จักทำความเข้าใจ ทุกเรื่องในชีวิต ยิ่งเวลาขบเวลาฉัน กายต้องการอาหาร ใจของเราเกิดความอยากหรือไม่ เราก็พยายามหยุด พยายามระงับยับยั้ง พิจารณา ไม่ใช่ว่าจะไปพิจารณาตั้งแต่ความตั้งใจทำทุกลมหายใจเข้าออก การหายใจเข้า หายใจเข้าออกเป็นอย่างไร วิญญาณในกายเนื้อของเราเป็นอย่างไร ความยินดียินร้ายความอยาก อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เราก็ต้องพิจารณา อะไรคือความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปผัดวันประกันพรุ่งตื่นขึ้นมาเราก็รีบแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา ลักษณะของใจที่สงบ ใจที่ปกติ ใจที่ไม่เกิดกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็ต้องดูรู้ให้เท่าทัน
ปีนี้ก็พากันช่วยกันทำศาลาโรงทาน ก่อนเข้าพรรษาก็คงจะได้มุงหลังคา ทำศาลาโรงทานเสร็จก็มีที่แจกทานได้สะดวกสบาย ไม่ต้องมาวางตามถนนหนทาง ใครไปใครมาก็จะได้อิ่มหนำสำราญกัน ไม่ได้ลำบาก ญาติโยมก็มาช่วยกัน มาช่วยกันติดหินกาบ ทั้งพระทั้งชีนี่แหละ ความขยันหมั่นเพียรความรับผิดชอบการฝักใฝ่การสนใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าเรามีความเกียจคร้านอยู่ที่บ้านก็ไม่ดี อยู่ที่วัดก็ไม่ดี จงเป็นบุคคลที่มีความขยัน รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้น ไม่ว่าสมมติภายนอก ไม่ว่าสมมติต่างๆ ที่เราอาศัยอยู่ เราก็พยายาม เราขาดตกบกพร่องอะไร เราก็พยายามรีบแก้ไข สร้างขึ้นมาให้มี ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าไปงอมืองอเท้า
การฝึกหัดปฏิบัติธรรมก็คือการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง วิญญาณในกายเนื้อของเราเป็นอย่างไร โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอย่างไร ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่มีเราสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ไม่ใช่ว่ามีตั้งแต่งอมืองอเท้า ทำอะไรไม่เป็น ไปที่ไหนก็เลยลำบาก คนที่มีความขยัน มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีพรหมวิหาร รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสร้างขึ้นมา บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ไม่ได้ลำบาก ก็พยายามพิจารณาดูทุกเรื่องในชีวิต ทำไมเราถึงขาดตกบกพร่อง ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละแล้วการกระทำของเรามีความถึงพร้อมหรือไม่ เราก็ต้องดู
บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มองบนมองล่างมองกลางใจของตัวเรา เราก็จะเห็นความเป็นจริง ใจของเรามีกิเลส เราก็ละกิเลส ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ในหลักธรรม แม้แต่ความอยากความไม่อยาก ท่านก็ต้องให้ละ เพียงแค่การเกิด การเกิดของวิญญาณ ถ้าไม่เกิด ถ้าเกิด ถ้าไม่เกิดนี้ ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เขาหลงเขาถึงเกิด เกิดมาในภพมนุษย์ มีกายเนื้อ มีขันธ์ห้าเข้ามาห่อหุ้ม นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละ ที่จะชี้เหตุชี้ผลให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ให้เจริญสติลงที่กายของตัวเรา คำว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันยังไม่พากันสร้างให้ต่อเนื่องกันได้เลย
ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจอยากจะได้บุญ ใจอยากจะรู้ธรรม แต่การเกิด การแสวงหาของใจของขันธ์ห้าตรงนี้เขาปิดกันเอาไว้หมดเลยทีเดียว เราต้องมาสร้างความรู้ตัวเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ขยันหมั่นเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ชี้เหตุชี้ผลให้ใจของเรามองเห็นความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ อีกอย่างหนึ่งนั้น ถ้าวิบากกรรมไม่คลายก็ยากที่จะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้ วิบากกรรมก็คือการแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับขันธ์ห้า ถ้าแยกได้ก็เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจละออกให้หมดอีก ก็ยากที่จะเข้าถึงจุดหมายได้ แต่ก็อย่าไปทิ้งความเพียร เราพยายามสร้างความเพียรให้ได้ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ภาษาสมมติ ภาษาวิมุตติเป็นอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจกับความหมายของธรรม ไม่ใช่แสวงหาแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักทำ มีตั้งแต่เพิ่มพูนกิเลส เข้ามาทับถมดวงใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันก็ยาก
ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมาให้กาย ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง แต่เราก็ต้องพยายามแยก รูป รส กลิ่น เสียงออกจากตัววิญญาณของเรา กายทวารทั้งหกก็เป็นแค่เพียงทางผ่าน ทำความเข้าใจกับทุกเรื่อง อันนี้เรื่องของกาย อันนี้เรื่องของใจ ใจกับกายเขาก็อาศัยกันอยู่ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ถูกต้องก็ยากที่จะแจงออกให้เห็นชัดเจน พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอัตตาอนัตตา สอนเรื่องสมมติวิมุตติ สอนเรื่องหลักของอริยสัจ สนามรบก็อยู่ในกายของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ไม่ได้อยู่ที่ปฏิบัติธรรมที่โน่น ปฏิบัติธรรมที่นี่ อันนั้นเป็นการไปทำความเข้าใจเฉยๆ
กิเลสเกิดขึ้นที่ใจของเรา เกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร ทำไมเราถึงสร้างเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามาปิดทับถมดวงใจของตัวเราเอง เพราะความไม่รู้ ความหลง ทุกคนไม่อยากจะหลง แต่มันก็หลงนั่นแหละถึงได้มาเกิด แต่เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ยิ่งมาเพิ่มอัตตาเข้าไปอีก ยิ่งมาเพิ่มกิเลสทับถมเข้าไปทับถมดวงใจของเราเข้าไปอีก มันก็ยิ่งห่างไกล ถ้าคนไม่เข้าใจก็ได้แต่ดิ้นรนแสวงหาธรรมนอกกายของตัวเอง ไม่ชี้เหตุชี้ผลลงไปที่ใจให้ถูกต้อง ทำความเข้าใจให้กระจ่าง แล้วก็ค่อยละค่อยตัด เพียงแค่ความอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากไปอยากมา อยากมีอยากเป็น มันเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดของเรา ความคิดที่เกิดจากวิญญาณหรือว่าเกิดจากขันธ์ห้า ไอ้ส่วนกายเนื้อของเรานี้ก็เป็นก้อนรูป ไอ้ส่วนนามธรรมเราขาดการเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เพียงแค่การเจริญสติก็ยังไม่ต่อเนื่องหรือบางทีไม่มีเลย มีแต่ไปนึกไปคิดเอา ซึ่งเป็นปัญญาของโลกีย์ ยิ่งปิดกั้นเอาไว้หมด ยิ่งเพิ่มความเกียจคร้านเข้าไปอีก ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก เพิ่มความเกียจคร้าน เพิ่มความไม่รับผิดชอบ ยิ่งหนักเข้าไปอีก กายก็หนัก ใจก็หนัก แทนที่จะแก้ไขให้เบาบาง เป็นเรื่องของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี แก้ไขตัวเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทั้งสมมติวิมุตติ บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่ง
สมมติก็ไม่ได้ลำบากทางด้านจิตใจก็ไม่ได้ลำบาก โลกธรรมก็มีแต่ความขยันหมั่นเพียร มีตั้งแต่ประโยชน์ ยังประโยชน์ตนให้เต็มเปี่ยม ก็ล้นออกไปสู่ประโยชน์สู่หมู่สู่คณะสู่สังคม อยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไม่ต้องไปโทษคนโน้น ไม่ต้องไปโทษคนนี้ โทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แล้วก็สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา การเจริญสติของเราต่อเนื่องหรือไม่ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ความกลัวเป็นอย่างไร ความหิวเป็นอย่างไร ความอยากเป็นอย่างไร เราต้องหัดวิเคราะห์หมดทุกเรื่อง จนไม่เหลือ จนใจของเราได้รับรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง นั่นแหละ ถึงจะเป็นบุคคลที่ถึงจุดหมายปลายทางได้
ตัวเราก็ช่วยเหลือตัวเราไม่ได้ กิเลสก็เต็ม ความทะเยอทะยานอยากก็เต็ม ซึ่งเป็นยางเหนียว ถ้าเราไม่สอนเราแล้วอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนแล้วเสียเวลาเปล่า ให้เราสอนเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา แนวทางนั่นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยมาชี้แนะ มาแจงว่ากายเนื้อของเรามีอะไรบ้าง ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ทำไมท่านถึงบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมถึงท่านถึงบอกว่าเป็นกองทุกข์ ให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเราเอง
ความทะเยอทะยานอยาก การละความอยากด้วยการเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน พากันทำให้ต่อเนื่อง พากันทำให้ได้ สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย ต้องมาจากพื้นฐานของวิญญาณแต่ละดวง มาจากครอบครัว ครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ครอบครัวที่มีความขยันหมั่นเพียร ครอบครัวที่มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป อะไรควรละอาย อะไรควรกล้าหาญ ถ้าไม่มีเราก็พยายามสร้างให้มี ทำให้มี ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกัน แต่ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักฐานของใจ มันก็เลยเข้าไม่ถึงทรัพย์ภายในที่สูง คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ใจของเราหลุดพ้นจากขันธ์ห้าจากความคิด จากอารมณ์ แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมดจด พยายามเอานะ พยายามเอาอย่าไปทิ้ง
ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีบุญเราแหละ อย่าไปทิ้งพยายามทำ น้อมใจของเราให้ไปสู่กองบุญ บุญอะไรที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นกุศลให้เรารีบทำ แม้แต่ความคิด การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ เห็นคนอื่นได้ดี เราก็อนุโมทนาสาธุ เราก็พลอยได้รับบุญได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ปีนี้ก็คงจะภายในวัดของเราก็คงจะเรียบร้อยดี เรียบร้อยดี ปีหน้าก็จะได้ฉลองสมโภชใหญ่
ก็ขอขอบคุณเหล่าญาติโยมเหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาทั้งหลาย ที่ได้นำธงทิวมาเยอะเลยทีเดียว ปีหน้าก็เริ่มต้นปีใหม่ก็จะได้ขึงธงทิวให้เป็นสัญลักษณ์ของการฉลองสมโภช ปีหน้าโรงทานของเราคงจะเสร็จบริบูรณ์ ก็จะได้ตั้งโรงทานไปตลอด ใครไปใครมาก็จะได้มีความสุข ได้มากราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุ กราบไหว้องค์หลวงปู่ใหญ่ ความเป็นสิริมงคลได้บังเกิดขึ้น ณ สถานที่ตรงนี้ อยากจะดับทุกข์ได้ อยากจะละทุกข์ได้ก็ต้องเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ การเจริญสติที่ต่อเนื่อง การละกิเลส การขัดเกลา เราต้องทำ จะไปบังคับกันไม่ได้ เราต้องบังคับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ชี้เหตุชี้ผล แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็เอามาแจ้งให้ทุกคนได้ทราบ
ถ้าทุกคนมีสติปัญญา คอยพร่ำสอนใจของตัวเอง สติปัญญานั้นแหละเป็นครูบาอาจารย์ รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส กายเนื้อของเรานี่แหละเป็นสนามรบ เราดูให้เห็นเหตุเห็นผล อะไรเราไม่มีความพร้อม เราก็เพิ่มความขยัน จากความมีอยู่แล้วก็ทำความเข้าใจ จนคลายออก จนไม่เหลือที่ใจของเรา ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์จนกว่าจะหมดลมหายใจ เราจะหนีสมมติไม่ได้ เพราะว่ากายของเรายังเป็นก้อนสมมติอยู่ เรามาทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ของเรา อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข
ตั้งใจรับพรกัน