หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 61

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 61
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 61
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 61
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2556

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติทำความสงบ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ​ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดเราละกิเลสเราดับความเกิดไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้เราหยุดขณะนี้แหละ กำลังนั่งอยู่ในนี้แหละ นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องไปกังวลอะไร อย่าไปเกร็งร่างกาย เพียงแค่การนั่งเราก็พยายามนั่งให้สบาย แล้วก็ลองสูดลมหายใจเขาไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออกเราก็อย่าไปบังคับ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ระบบของการหายใจเข้าออกของเรา กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ

เราพยายามฝึกบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน รู้ลม รู้สัมผัสของลมหายใจอันนี้เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ มีความรู้สึกรับรู้ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ส่วนความเกิดความดับของความคิดที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้านั้นมีอยู่ก่อนมีอยู่แล้ว เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เพื่อที่จะเข้าไปควบคุมใจ ไปสังเกตใจ ไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราปกติ ใจของเราสงบ ใจของเราตั้งมั่น ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักละ​ รู้จักดับ รู้จักทำความเข้าใจ รู้จักการเจริญพรหมวิหาร สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ใจของเรามีความเครียดมีความกังวล เราก็พยายามรีบแก้ไข ทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมากายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณเข้ามาอาศัยในกายนี้อยู่ในลักษณะอย่างไร ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิเป็นอย่างไร

สติปัญญาที่แท้จริงที่เราฝึกขึ้นมาเจริญขึ้นมานี้ เราเอาไปใช้ได้แล้วหรือยังหรือว่าไม่มีเลย มีอาจจะกระท่อนกระแท่น ส่วนมากก็ตั้งแต่ความคิดเก่าปัญญาเก่า อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมเราต้องสร้างความรู้ตัว แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปหมั่นพร่ำสอนใจจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เพียงแค่เปิดทางนิดเดียว ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจ ขาดการหมั่นพร่ำสอนใจของเรา เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก เพราะว่าเป็นของละเอียดอ่อน

การพูดการศึกษานี่ก็ยากอยู่นะ ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ไม่รู้ไม่เห็นจริงๆ ก็ยากที่จะคลายได้ เราก็ต้องพยายามหมั่นพร่ำสอนใจของเรา แล้วก็อบรมใจของเรา จัดระบบระเบียบของกายของวาจาของใจของเราให้เรียบร้อย ทำ ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงหลง ทำอย่างไรเราถึงจะละความหลง คลายความหลง ละความเกิด​ ละกิเลสออกจากใจของเรา​ ก็ด้วยการเจริญพรหมวิหาร ใจของเรามีความโลภ เราก็พยายามคลายความโลภ เอาออกเอาให้ เสียสละ ขัดเกลาตัวเราเองตลอดเวลา ใจของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ แล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรม ใจของเราปรุงแต่ง เขาเริ่มก่อตัวตรงไหน​ เขาเกิดอย่างไร เราพยายามให้เห็นตั้งแต่รู้ตั้งแต่การก่อตัว ก่อตัวส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร เรื่องอะไรที่เกิด บางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดมีกันทุกคนนั่นแหละ เขาเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า เรื่องอดีตเรื่องอนาคต เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศล หรือว่าเป็นกลางๆ เขาก่อตัวอย่างไร ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร จนเป็นสิ่งเดียวไปด้วยกันได้อย่างไรนี่แหละ

แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเรามีน้อย เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาลงที่กายของเรานี่แหละ อยู่ลม อยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับการเคลื่อนไหวของกายบ้าง หมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต หมั่นทำความเข้าใจให้ต่อเนื่อง กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เราต้องพยายามดู ถ้าเราไม่มันพร่ำสอนเราแล้ว ไม่มีใครเขาจะสอนเราได้หรอกนอกจากตัวของเรา จะไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน ไปไม่ถึงไหนหรอก เพียงแค่ไปหาวิธี​ หาอุบายเท่านั้นแหละ

ถ้าเรารู้จักวิธีรู้จักอุบาย รู้จักแนวทางแล้ว กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ การควบคุมใจ การที่ใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร ในขันธ์ห้าของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย​ แล้วก็ตามทำความเข้าใจ เข้าใจในเรื่องของไตรลักษณ์ เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา เข้าใจในคำสอนความหมายของพระพุทธองค์ที่ท่านว่า อัตตาเป็นอย่างนี้อนัตตาเป็นอย่างนี้ ความว่างเปล่าเป็นอย่างนี้ ใจที่ว่างจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ว่างจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ เราละได้ ทำความเข้าใจได้ รู้ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส รู้ลักษณะของใจที่ว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เราดับความเกิดได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ตั้งแต่เริ่มก่อตัว หรือว่ากลางเหตุปลายเหตุ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร เราต้องพยายามวิเคราะห์ดูรู้อยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ตัวใจของเราเป็นอย่างไร ภาษาธรรมะ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้​ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร เราจำแนกแจกแจงรูป รส กลิ่น เสียงออกจากใจของเราเป็นอย่างไร เราต้องดู รู้เห็นด้วย รู้ด้วย เข้าถึงด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย หมดความสงสัยด้วย รู้จักแนวทางเดินว่าเราละกิเลสได้หมดหรือไม่หมด กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็ต้องรู้จักละ เป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แนวทางนั้นมีมาตั้งนานแล้ว มีมาตั้งแต่พระพุทธองค์ได้ค้นพบเอามาเปิดเผย พระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าเกิดมาตั้งหลายองค์หลายท่านแล้วท่านเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ถ้าพวกท่านไม่เดินตามก็ยากที่จะเข้าถึง จะไปแสวงหาธรรมะ แสวงหานอกกายก็หาไม่เจอ แสวงหาไม่ถูกวิธีก็ยิ่งห่างไกลอีก เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ

ใจของทุกคนนั้นเป็นบุญ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็นับว่ามีอานิสงส์มีบุญอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็ยังหลงอยู่นะ ถ้าไม่หลงไม่เกิด ยังเกิด การเกิดทีนี้เกิดมาอยู่ในอาศัยอยู่ในกายเนื้อ ตัวจิตตัววิญญาณนั้นเกิดอีก แต่เขาก็ยังอาศัยภพของมนุษย์อยู่ เราต้องมาเจริญสติเข้ามาค้นคว้าอยู่ในร่างอัตภาพร่างกายของเราว่าขันธ์ห้านี้มีอะไรบ้าง แจงออกให้เห็นเป็นชิ้นเป็นส่วนเป็นอัน ซึ่งอยู่ในกายเนื้อของเรา ซึ่งท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ทำไมถึงว่าเป็นกองเป็นขันธ์ นี่แหละมาหลงตรงนี้แล้วก็ไปหลงเอาหมด อันนี้ส่วนรูป ส่วนนามเราต้องแจงออกแยกออกไปอีกว่ามันเป็นเรื่องอะไรอีก ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง แม้แต่ตัววิญญาณอีก การเกิดของวิญญาณอีก มันสลับซับซ้อนมากมายเลยทีเดียว ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีให้มีให้ต่อเนื่องก็ยากนะ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียร แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามกัน

สิ่งพวกนี้จะได้แค่เพียงแค่พูดแค่อธิบาย ชี้แนะแนวทางให้เท่านั้น พวกท่านจงไปทำไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจ รู้ด้วย เข้าถึงด้วย เห็นได้ด้วย แล้วก็ละได้ด้วย มองเห็นหนทางเดินของตัวเราได้ด้วย ว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา เรามีเวลาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก การสร้างบุญสร้างอานิสงส์เราสร้างได้ตลอดเวลา บุญภายนอกเรามีโอกาสได้ทำร่วมกัน บุญภายใน การชำระสะสางกิเลส เราก็ต้องจัดการกับตัวของเรา ทั้งภายนอกภายในเราต้องให้เพียบพร้อมจนกว่าจะหมดลมหายใจนั่นแหละ ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง