หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 44
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 44
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 44
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 เมษายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 – 3 เที่ยว ร่างกายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน
ความรู้สึกรับรู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เราพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ รู้กาย ลึกลงไปก็รู้ใจ รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้ลมหายใจเพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้สึกตรงนี้ ปล่อยเวลาทิ้ง ปล่อยโอกาสทิ้ง รู้กายก็ยังรู้ไม่ต่อเนื่อง
ไอ้เรื่องรู้จิตซึ่งเป็นนามธรรมอีก การเกิดการดับของจิตของวิญญาณอีก อันนั้นก็ยิ่งห่างไกล ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจอยากจะได้บุญ ใจอยากจะรู้ธรรม ใจเป็นบุญกันทุกคน มีอานิสงส์มีบุญ มีบารมีกันทุกคน ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ความเกิด ได้ทรัพย์สมบัติของมนุษย์นี่แหละ เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ มีสติมีปัญญา มาศึกษา มาค้นคว้า มาหมั่นพร่ำสอนใจของเราให้รู้เห็นตามความเป็นจริง มีภพมนุษย์ที่เข้าใจในหลักธรรมได้เร็วได้ไว
พระพุทธองค์ท่านถึงได้บังเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็มาค้นคว้า แล้วมาตรัสรู้ แล้วก็มาพร่ำสอนเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย แต่มนุษย์เราหรือว่าคนเราทุกคนเนี่ย บางคนก็สร้างบุญมาดี บางคนก็สร้างบุญมาน้อย บางคนก็สร้างบุญมามาก อานิสงส์บุญบารมีถึงต่างกัน บางคนก็รู้เร็วบางคนก็รู้ช้า บางคนพูดกันปากเปียกปากแฉะก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร เพราะว่าการสนใจมันต่างกัน
การเจริญสติ คำว่า ‘ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘ใจที่ปราศจากกิเลส’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘ใจที่ไม่เกิด’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิ ใจที่สงบ ใจที่ไม่หลง เพียงแค่การเจริญสติ ทำความเข้าใจกับคำว่า ‘รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ก็ยังขาดความเพียรกันตรงนี้ พยายามรู้จักวิธี รู้จักแนวทาง แล้วเอาไปสร้าง ไปทำ ไปสังเกต สังเกตใจของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเรา อบรมใจของเรา อบรมรู้จักควบคุมใจ ควบคุมอารมณ์ จัดระบบระเบียบ อะไรผิดอะไรถูก อะไรเป็นกุศล หรือว่าอะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า
เอาโลกปัจจุบันให้ดี ทำความเข้าใจกับวิญญาณในกายเนื้อของเราให้ดี กายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไรบ้าง โลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวมีอะไรบ้าง เราต้องศึกษาค้นคว้า ขณะนี้ใจของเราเป็นบุญเป็นกุศล ใจของเราปกติ ใจของเราสงบ เราต้องพยายามสำเหนียก พยายามวิเคราะห์ พยายามแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนใจของเราปราศจากกิเลสนั่นแหละ ใจของเราปราศจากความ ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละ
การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่าน การได้ค้นคว้า ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่จะไปรู้ไปเห็น ไปตามทำความเข้าใจ จำแนกแจกแจงออกให้เห็นเป็นส่วนๆ เป็นชิ้นๆ ซึ่งอยู่ในกายเนื้อของเรานี่แหละ มันยากสำหรับบุคคลที่ไม่มีความเพียร บุคคลที่มีความเพียร มีความขยันหมั่นเพียร หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราอยู่ตลอดเวลา มีให้เป็น ทำให้เป็น เอาให้เป็น สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีบุญ มีโอกาสมีบุญ ตั้งแต่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั่นแหละ ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมาจนกระทั่งอายุปูนนี้
มีโอกาสได้มาศึกษา ได้มาค้นคว้า เราไม่เข้าใจ แนวทาง พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ท่านสอนเรื่องอะไร เราต้องพยายามศึกษาให้ถึง ให้รู้ ท่านสอนเรื่องอะไร อัตตา คำว่าอัตตาเป็นยังไง อนัตตาเป็นยังไง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ในกายเนื้อของเราเป็นอย่างไร ท่านสอนเรื่องของหลักอริยสัจ สอนเรื่องการดำเนินชีวิตให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ใจของเราเกิดกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักหยุด รู้จักละ รู้จักระงับยับยั้ง จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน เป็นความรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยพรหมวิหาร อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
เห็นว่าเมื่อวานนี้ก็มีคณะทางโรงกระดาษ ทางโรงปูน พาหมู่พาคณะพากันมาวัด มาวัดก็เพื่อที่จะมาศึกษาตัวเรานั่นแหละ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ความรับผิดชอบของเรามีระดับไหน ไม่ใช่ว่ามาวัดแล้วจะได้มาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว มาวัดแล้วเราต้องมาศึกษาตัวเรา การปฏิบัติธรรมนั้นมีมาตั้งนานแล้ว ว่าเราปฏิบัติได้ระดับไหน เรามีความรับผิดชอบระดับไหน เรามีความเสียสละต่อหมู่ต่อคณะ ต่อเพื่อนต่อฝูง เรามีความเกียจคร้าน หรือว่ามีความขยัน เรามีความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบเพื่อนฝูง เราผิดพลาดตรงไหนก็รีบแก้ไข ธรรมะเป็นเรื่องแก้ไขตัวเราทั้งนั้น ไม่ใช่จะไปอคติคนโน้น เพ่งโทษคนโน้น เพ่งโทษคนนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ อย่างนั้นมันเป็นธรรมเมา ธรรมนอกกาย
เรามาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่ที่บ้านเรามีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบหรือไม่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เพียงแค่สมมติของเรายังขาดตกบกพร่องอะไร เรารู้จักบริหารให้ดีหรือไม่ จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่โน่น ปฏิบัติที่นี่ ก็เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หาแนวทางเท่านั้น พยายามรื้อ ให้ถึงฐานของใจของเรา รู้ลักษณะของใจของเราว่า ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่หลงเป็นอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมาห่อหุ้มร่างกายของเราเอาไว้ มันเป็นลักษณะอย่างไร
แต่เวลานี้ใจยังหลงอยู่ เพราะว่าเขายังเกิด เพียงแค่ความเกิด เขาก็หลง เพียงแค่ความอยาก เป็นทาสของกิเลส ความอยากเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา เราก็ต้องพยายามวิเคราะห์ทำความเข้าใจเอา ไม่เหลือวิสัย พยายามนะ พยายามทำใจของเราให้เป็นบุญ ทำกายของเราให้เป็นบุญ เราก็จะได้อยู่กับบุญตลอดเวลา มีโอกาสเปิดให้เราทุกคน มีโอกาสได้มาสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกัน กุศลบุญทางสมมติ เราก็ได้มี โอกาสได้ทำร่วมกัน
วันที่ 7 ที่จะถึงนี้ก็จะได้ทำพิธีไถ่ชีวิตโคก็ประมาณสัก 19 คู่ มีท่านผู้ใจบุญ ท่านได้มาไถ่ชีวิตโค พวกเรามีโอกาสได้มาร่วมอนุโมทนาสาธุร่วมกัน วันที่ 19 ก็ประมาณช่วงประมาณสัก 9 โมงเช้า 9 โมง หรือ 10 โมง มีผู้ใจบุญจากทางกรุงเทพนั่นแหละ หลายท่านหลายฝ่ายมีศรัทธาอยากจะไถ่ ชีวิตโค ก็ได้มาไถ่ชีวิตโค พวกเรามีโอกาสก็ได้มาร่วมบุญกันมาสร้างอานิสงส์กัน เป็นการยืดชีวิตสัตว์ ให้ยืนยาวอีกต่อไป ไม่ให้ถูกส่งลงไปฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์
ทุกสิ่งทุกอย่างก็อนิจจัง ความไม่เที่ยง แต่เรายืดเวลาให้เขาเสียหน่อย เราก็เหมือนกัน เราก็จะได้ไปเหมือนกัน เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็อยู่ในใต้กฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง คือความไม่เที่ยง มีความเสื่อมตั้งแต่เกิด เสื่อมทางเนื้อทางหนังทางด้านรูปธรรม ทีนี้ทางด้านจิตใจก็เกิดๆ ดับๆ นั่นแหละความไม่เที่ยง ถ้าอยากจะถึงความเที่ยง ก็ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ เจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ แยกรูปแยกนาม ละกิเลส ดับความเกิดให้หมดจดนั่นแหละ ใจถึงจะเที่ยง ใจเที่ยง นิพพานก็เที่ยง อันนี้ต้องเป็นบุคคลที่สร้างตบะบารมีอย่างแรงกล้า พยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 เมษายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 – 3 เที่ยว ร่างกายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน
ความรู้สึกรับรู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เราพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ รู้กาย ลึกลงไปก็รู้ใจ รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้ลมหายใจเพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้สึกตรงนี้ ปล่อยเวลาทิ้ง ปล่อยโอกาสทิ้ง รู้กายก็ยังรู้ไม่ต่อเนื่อง
ไอ้เรื่องรู้จิตซึ่งเป็นนามธรรมอีก การเกิดการดับของจิตของวิญญาณอีก อันนั้นก็ยิ่งห่างไกล ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจอยากจะได้บุญ ใจอยากจะรู้ธรรม ใจเป็นบุญกันทุกคน มีอานิสงส์มีบุญ มีบารมีกันทุกคน ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ความเกิด ได้ทรัพย์สมบัติของมนุษย์นี่แหละ เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ มีสติมีปัญญา มาศึกษา มาค้นคว้า มาหมั่นพร่ำสอนใจของเราให้รู้เห็นตามความเป็นจริง มีภพมนุษย์ที่เข้าใจในหลักธรรมได้เร็วได้ไว
พระพุทธองค์ท่านถึงได้บังเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็มาค้นคว้า แล้วมาตรัสรู้ แล้วก็มาพร่ำสอนเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย แต่มนุษย์เราหรือว่าคนเราทุกคนเนี่ย บางคนก็สร้างบุญมาดี บางคนก็สร้างบุญมาน้อย บางคนก็สร้างบุญมามาก อานิสงส์บุญบารมีถึงต่างกัน บางคนก็รู้เร็วบางคนก็รู้ช้า บางคนพูดกันปากเปียกปากแฉะก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร เพราะว่าการสนใจมันต่างกัน
การเจริญสติ คำว่า ‘ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘ใจที่ปราศจากกิเลส’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ‘ใจที่ไม่เกิด’ เป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิ ใจที่สงบ ใจที่ไม่หลง เพียงแค่การเจริญสติ ทำความเข้าใจกับคำว่า ‘รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ก็ยังขาดความเพียรกันตรงนี้ พยายามรู้จักวิธี รู้จักแนวทาง แล้วเอาไปสร้าง ไปทำ ไปสังเกต สังเกตใจของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเรา อบรมใจของเรา อบรมรู้จักควบคุมใจ ควบคุมอารมณ์ จัดระบบระเบียบ อะไรผิดอะไรถูก อะไรเป็นกุศล หรือว่าอะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า
เอาโลกปัจจุบันให้ดี ทำความเข้าใจกับวิญญาณในกายเนื้อของเราให้ดี กายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไรบ้าง โลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวมีอะไรบ้าง เราต้องศึกษาค้นคว้า ขณะนี้ใจของเราเป็นบุญเป็นกุศล ใจของเราปกติ ใจของเราสงบ เราต้องพยายามสำเหนียก พยายามวิเคราะห์ พยายามแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนใจของเราปราศจากกิเลสนั่นแหละ ใจของเราปราศจากความ ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละ
การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่าน การได้ค้นคว้า ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่จะไปรู้ไปเห็น ไปตามทำความเข้าใจ จำแนกแจกแจงออกให้เห็นเป็นส่วนๆ เป็นชิ้นๆ ซึ่งอยู่ในกายเนื้อของเรานี่แหละ มันยากสำหรับบุคคลที่ไม่มีความเพียร บุคคลที่มีความเพียร มีความขยันหมั่นเพียร หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราอยู่ตลอดเวลา มีให้เป็น ทำให้เป็น เอาให้เป็น สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีบุญ มีโอกาสมีบุญ ตั้งแต่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั่นแหละ ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมาจนกระทั่งอายุปูนนี้
มีโอกาสได้มาศึกษา ได้มาค้นคว้า เราไม่เข้าใจ แนวทาง พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ท่านสอนเรื่องอะไร เราต้องพยายามศึกษาให้ถึง ให้รู้ ท่านสอนเรื่องอะไร อัตตา คำว่าอัตตาเป็นยังไง อนัตตาเป็นยังไง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ในกายเนื้อของเราเป็นอย่างไร ท่านสอนเรื่องของหลักอริยสัจ สอนเรื่องการดำเนินชีวิตให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ใจของเราเกิดกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักหยุด รู้จักละ รู้จักระงับยับยั้ง จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน เป็นความรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยพรหมวิหาร อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
เห็นว่าเมื่อวานนี้ก็มีคณะทางโรงกระดาษ ทางโรงปูน พาหมู่พาคณะพากันมาวัด มาวัดก็เพื่อที่จะมาศึกษาตัวเรานั่นแหละ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ความรับผิดชอบของเรามีระดับไหน ไม่ใช่ว่ามาวัดแล้วจะได้มาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว มาวัดแล้วเราต้องมาศึกษาตัวเรา การปฏิบัติธรรมนั้นมีมาตั้งนานแล้ว ว่าเราปฏิบัติได้ระดับไหน เรามีความรับผิดชอบระดับไหน เรามีความเสียสละต่อหมู่ต่อคณะ ต่อเพื่อนต่อฝูง เรามีความเกียจคร้าน หรือว่ามีความขยัน เรามีความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบเพื่อนฝูง เราผิดพลาดตรงไหนก็รีบแก้ไข ธรรมะเป็นเรื่องแก้ไขตัวเราทั้งนั้น ไม่ใช่จะไปอคติคนโน้น เพ่งโทษคนโน้น เพ่งโทษคนนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ อย่างนั้นมันเป็นธรรมเมา ธรรมนอกกาย
เรามาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่ที่บ้านเรามีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบหรือไม่ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เพียงแค่สมมติของเรายังขาดตกบกพร่องอะไร เรารู้จักบริหารให้ดีหรือไม่ จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่โน่น ปฏิบัติที่นี่ ก็เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หาแนวทางเท่านั้น พยายามรื้อ ให้ถึงฐานของใจของเรา รู้ลักษณะของใจของเราว่า ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่หลงเป็นอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมาห่อหุ้มร่างกายของเราเอาไว้ มันเป็นลักษณะอย่างไร
แต่เวลานี้ใจยังหลงอยู่ เพราะว่าเขายังเกิด เพียงแค่ความเกิด เขาก็หลง เพียงแค่ความอยาก เป็นทาสของกิเลส ความอยากเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา เราก็ต้องพยายามวิเคราะห์ทำความเข้าใจเอา ไม่เหลือวิสัย พยายามนะ พยายามทำใจของเราให้เป็นบุญ ทำกายของเราให้เป็นบุญ เราก็จะได้อยู่กับบุญตลอดเวลา มีโอกาสเปิดให้เราทุกคน มีโอกาสได้มาสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกัน กุศลบุญทางสมมติ เราก็ได้มี โอกาสได้ทำร่วมกัน
วันที่ 7 ที่จะถึงนี้ก็จะได้ทำพิธีไถ่ชีวิตโคก็ประมาณสัก 19 คู่ มีท่านผู้ใจบุญ ท่านได้มาไถ่ชีวิตโค พวกเรามีโอกาสได้มาร่วมอนุโมทนาสาธุร่วมกัน วันที่ 19 ก็ประมาณช่วงประมาณสัก 9 โมงเช้า 9 โมง หรือ 10 โมง มีผู้ใจบุญจากทางกรุงเทพนั่นแหละ หลายท่านหลายฝ่ายมีศรัทธาอยากจะไถ่ ชีวิตโค ก็ได้มาไถ่ชีวิตโค พวกเรามีโอกาสก็ได้มาร่วมบุญกันมาสร้างอานิสงส์กัน เป็นการยืดชีวิตสัตว์ ให้ยืนยาวอีกต่อไป ไม่ให้ถูกส่งลงไปฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์
ทุกสิ่งทุกอย่างก็อนิจจัง ความไม่เที่ยง แต่เรายืดเวลาให้เขาเสียหน่อย เราก็เหมือนกัน เราก็จะได้ไปเหมือนกัน เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็อยู่ในใต้กฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง คือความไม่เที่ยง มีความเสื่อมตั้งแต่เกิด เสื่อมทางเนื้อทางหนังทางด้านรูปธรรม ทีนี้ทางด้านจิตใจก็เกิดๆ ดับๆ นั่นแหละความไม่เที่ยง ถ้าอยากจะถึงความเที่ยง ก็ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ เจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ แยกรูปแยกนาม ละกิเลส ดับความเกิดให้หมดจดนั่นแหละ ใจถึงจะเที่ยง ใจเที่ยง นิพพานก็เที่ยง อันนี้ต้องเป็นบุคคลที่สร้างตบะบารมีอย่างแรงกล้า พยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง