หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 8
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 8
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 8
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 20 มกราคม 2556
ดูดีๆนะพระเรา ตาเห็นรูป หูกระทบเสียง ใจก็หิว ใจก็จะเกิดความอยาก อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ มันบอกว่าไม่อิ่ม มันบอกว่าเอาเยอะๆ กิเลสมันสั่ง ถ้าคนเราไม่สังเกตเราก็จะไม่เห็น เพราะว่าเป็นความเคยชิน ความเกิดความอยาก อยากเกิด อยากมี อยากไปอยากมา เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ ความอยาก ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทันก็จะไม่เห็น ถ้าคนใดเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจ สติเร็วไวต่อเนื่อง รู้เห็นตามความเป็นจริงก็จะเป็นปัญญา ปัญญารู้ความจริงก็รู้จักแก้ไข
อาหารเยอะแยะ ไม่รู้จะฉันอะไรดี ยิ่งฝึกใหม่ๆ ก็ยิ่งเห็นเยอะ กายก็ต้องการอาหาร ใจจะเกิดความอยาก ยิ่งอดอาหาร เคยฉันมื้อ 2-3 มื้อ ลดลงมามื้อเดียว เราก็จะได้เห็นกายก็หิว ใจจะปรุงแต่งความอยากได้เร็วได้ไว คนเราถ้าไม่ได้ฝึกหัดความอยากก็มากขึ้น ๆ ๆ จนเป็นอัตโนมัติ เป็นความหลงปิดกั้นเอาไว้ ถ้าเรามาละความอยากด้วยการเอาออกด้วยการให้ ด้วยการดับ ด้วยการละ ด้วยการทำความเข้าใจ ความอยากก็จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือ จะเอา จะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา
ความอยากที่เกิดจากตัววิญญาณ ตัวใจในขันธ์ห้าในกายของเรา ความอยากแล้วก็อาการของขันธ์ห้าที่มาปกปิดเอาไว้อีกทีหนึ่ง หลายชั้นจริงๆ ถ้าไม่รู้จักเจริญสติเข้าไปแจง เข้าไปแยกแยะ รู้เห็นเป็นกองเป็นขันธ์ก็ยากที่จะเข้าใจในชีวิต ก็นึกว่าเป็นของเราหมด เหมาไปหมด เหมาไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไหนได้ไปยืมเอาสมมติเขามาใช้ แล้วก็ไปยึดเอาสมมติ มันก็ปิดกัน มันก็ปกปิดเอาไว้หมด รูป รส กลิ่น เสียงก็มาปกปิดดวงใจเอาไว้ กายเนื้อก็มาปิด ปกปิดดวงใจเอาไว้ ความคิดอารมณ์ก็มาปกปิดดวงใจเอาไว้ กิเลสก็มาเล่นงานอีกปิดเอาไว้หลายชั้น กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก ท่านถึงบอกให้ประหัตประหาร ประหัตประหารกิเลส ด้วยการละ ด้วยการเอาออก ด้วยการเจริญพรหมวิหาร อย่าลืมดูใจนะ อย่าลืมดูใจของตัวเรา
ยิ่งเข้ามาบวชนั่นแหละ ยิ่งพยายามทั้งกลางวันทั้งกลางคืน นอกจากจะนอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็รู้ใจเป็นหลัก สร้างความรู้ตัว รู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุง รู้จักหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา ใจของเรายังเกิด เราก็ต้องพยายามหยุด พยามหยุด พยายามละ พยายามดับ ความคิดผุดขึ้นมา ใจของเราไปรวมได้อย่างไรอีก หลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องวิเคราะห์พิจารณา ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากใจเราก็พยายามดับ ความอยากก่อตัวตรงไหน ใจของเราก็จะอยู่ตรงนั้นแหละ มันเอาอาการของความอยากมาปิดตัวของเขาเอาไว้ เราดับความอยาก มันก็เข้าสู่ความนิ่ง ความสงบ ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญาก็ไปเอา ก็ไปพิจารณากัน ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ทำสมมติให้ดี
พระเราชีเรา ชีเราก็ช่วยดูแลต้นไม้ให้ด้วย ต้นไม้ที่เอาไปปลูกคอยก็ช่วยดูแลให้หน่อย ให้เขาผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆ ไปก่อน เขาเลี้ยงตัวของเขาเองได้ก็ค่อยปล่อยค่อยวางเขา ได้นางพญาเสือโคร่งมาปลูก 100 200 ต้น ถ้ามันเกิดติดขึ้นมาก็เป็นสวนดอกไม้สวยงาม โน่นแหละรุ่นลูกรุ่นหลานโน่นแหละจะเห็นคุณค่า ได้ชม บางทีพวกเรามีวาสนาก็คงจะได้เห็นดอกเขา ถ้าอายุยืนสัก 5 ปี 10 ปีข้างหน้า ถ้าเราไม่อยู่คนรุ่นหลังก็จะได้ชมๆ ได้สวนดอกไม้ ไม้หอม ต้นกัลปพฤกษ์ ส่วนไอ้มะลิวัลย์ ก็อีกไม่นานปี 2 ปีก็คงจะได้ชมดอกกัลปพฤกษ์ เต็มไปหมด ดอกคูนดอกกัลปพฤกษ์
ช่วยกันปลูกเอาไว้ตามถนนหนทาง ใครเข้าย่างกรายเข้ามาภายในเขตวัดก็มีความสุขแล้ว มาเห็นก็มีความสุข ลูกหลานมาเด็กๆ มาก็ไปชวนพ่อชวนแม่มา พ่อแม่ก็พาลูกพาหลานมา มาชม เดินชมข้างนอกก็มีความสุข เห็น ตาเห็นรูป รูปสวยสวยงามๆ จิตใจก็มีความสุข นั่นแหละบุญมันเกิดบุญเกิดตั้งแต่ย่างก้าวเข้าประตู มีความสุขแต่ไม่รู้จักรักษาบุญ ปล่อยให้เขาเกิดอยู่เรื่อยเฉื่อยเรื่อยร่ำไป ไม่รู้จัก รู้จักทรงความสุข รักษาความสุข ตากระทบรูปใจก็ไปแล้ว หูกระทบเสียงใจก็ไปแล้ว มีความคิดผุดขึ้นมาก็ไปด้วยกันแล้ว หาอะไรมาผูกมัดเอาไว้ มาปิดกั้น ทับถมดวงใจตัวเอง โดยไม่รู้ตัว เขาให้ขัดให้เกลา ให้ปล่อย ให้วาง จนไม่เหลืออะไร จะเหลืออยู่ในความไม่เหลือคือความบริสุทธิ์ความว่าง
‘ความว่าง’ เป็นความสุขที่ถาวร ว่างจากกิเลส แล้วก็มาว่างจากการเกิด ว่างจากความคิด ว่างจากอารมณ์ คนทั่วไปเขาว่าถ้าว่างแล้วจะเอาอะไร มันจะมีความสุขอะไร ก็มีความสุขที่ถาวร เป็นความสุขที่ถาวร เป็นความสุขที่ไม่ต้องวนเวียนไหว้ตายเกิด แต่อานิสงส์บุญเราก็ทำอยู่เหมือนเดิม ยิ่งทำเยอะกว่าเก่า ทำบุญกับตัวเรา ทำบุญกับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทำบุญกับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง ตื่นขึ้นมาเราไม่บ่นหรือตื่นขึ้นมาแล้วบ่นเลย ถ้าไม่ได้บ่นนอนไม่หลับ ถ้าได้บ่นแล้วเหมือนกับได้ทานยาระบายท้องใช่ไหม คงไม่ออก ตื่นขึ้นมาแล้วรีบบ่นเลย อันโน้นก็ยังไม่ดีอันนี้ก็ยังไม่ดี ไม่บ่นให้ใครก็แม่บ้านก็บ่นให้พ่อบ้าน มีอยู่สองคนไม่รู้จะหันหน้าไปบ่นให้ใคร ตื่นขึ้นมาก็บ่น ต้องอดพูด อดคิด อดพูดอดคิดสังเกตดูความคิด ใหม่ๆ มันก็หงุดหงิดๆ ๆ มันอึดอัดเพราะมันอยากเที่ยว
ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วเกียจคร้าน คนเข้ามาบวช อย่าเอาบุคคลเกียจคร้านมาบวชเด็ดขาดนะ ใช้การไม่ได้นะถ้าคนเกียจคร้านมาบวช ยิ่งหนักนะ ต้องเอาคนขยันหมั่นเพียรมาบวช ขยันหมั่นเพียรในการละกิเลส ในการทำความเข้าใจ ในการจัดความรับผิดชอบ ความเสียสละทุกอย่าง อย่าไปคิดว่ามาบวช มาพักผ่อน เกียจค้านแย่เต็มทีเลยนะ อย่างนั้นใช้การไม่ได้นะ เอาคนปัญญาดีๆ เอาคนขยันมาบวช มาศึกษาถึงจะเข้าใจได้เร็วได้ไว มาสร้างกรรมใส่ตัวเองโดยไม่รู้ตัวนะ
ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ประหยัด อดทน เป็นคนขัดเกลา เป็นคนละออกให้มันหมดจด บวชเข้ามาแล้วทำอะไรก็ไม่เป็น ว่าตัวเองเป็นนักปฏิบัติ แม้แต่จะสีฟันแปรงฟันก็ให้คนบีบยาสีฟันให้ มันโง่ถึงขนาดนั้นก็มี ทำอะไรไม่เป็นเพราะว่ามันผิด ถ้าใจมันผิด มันก็มองเห็นอะไรผิดไปหมด ต้องทำความเข้าใจให้มันถูกต้อง แล้วก็ให้จิตใจของเราปล่อยวางให้มันหมดจด ได้ทุกอิริยาบถ ต้องสงบ อยู่กลางโรงหนังกลางตลาด แม้แต่กายจะแตกจะดับก็ต้องให้สงบ ก่อนจะได้พูดให้ฟังได้อย่างนี้ ก็ต้องฝึกให้หนักเสียก่อน ฝึกตัวเราให้หนัก ไม่ใช่ว่าเห็นคนมาเยอะๆ แล้วก็ไปเดินย้องๆ แย้งๆ ไปนั่งให้คนได้ดูได้เห็นได้ชมแล้วนะ มันไม่ไหวหรอก เราต้องทำให้มัน อย่าให้ใครเห็นเรา เห็น รู้เรา แก้ไขเรา ปรับตัวเราให้ได้ทุกอิริยาบถ
ส่วนมากก็ปฏิบัติแค่รูปแค่แบบแค่พิธีรีตรอง ได้ไปไม่ถึงไหน เราต้องรู้เรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา สติปัญญาคือที่พึ่งของใจ นั่นแหละท่านก็ว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การแสวงหากับข้าวกับปลาอาหาร ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา จะขบจะฉันก็ให้ อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก ยิ่งไปฝึกหัดปฏิบัติยิ่งเห็นเยอะ ความอยากของพระของชี เพราะว่ากายมันหิว กายก็ต้องการอาหาร เวลาปฏิบัติก็ดูดีอยู่หรอก เวลาออกจากการปฏิบัติแล้วพากันวิ่งไปแย่งกันเข้าห้องน้ำจะฆ่ากันตาย กูก่อนกูหลัง ช่วงที่ยังไม่ได้ยินเสียงระฆังก็สบายดี๊ดี ช่วงได้ยินเสียงระฆังแล้วอึดอัด พอหมดระฆังแล้วมันโล่งมันโปร่ง ทำไมไม่รู้จักดูช่วงมันโล่งมันโปร่งก็ไม่รู้นะ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เพียงแค่การเจริญสติก็ให้มันต่อเนื่องกันสักคืบหนึ่ง สัก 5 นาที 10 นาที ก็ยังทำกันไม่ได้ มันก็เลยรู้ไม่เท่าทันใจ รู้ไม่เท่าทันความคิด ไม่รอบรู้ในอัตาตัวตนรอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง มีตั้งแต่จะไปนึกไปคิดเอา มันก็ยิ่งปิดกันเอาไว้หมด
เพียงแค่ลักษณะของความรู้ตัวอยู่ คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เราก็พยายามทำให้มันต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ทั้งที่ใจเป็นบุญ อยากจะได้บุญ กายเนื้อก็มี ขันธ์ห้าก็มี ปัญญาก็มี เกิดตั้งแต่เกิดจนตัวเล็กๆ ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งอายุปูนนี้ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา รู้จักรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี อยู่ในระดับของสมมติมาก็นานหลายปี บางคน บางท่านก็ 50 60 70 ความรู้ตัวยังไม่ได้กระจ่างเลย
เรามาสร้างความรู้ตัว แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่แล้วกันทุกคน การเกิดของความคิดมีทุกคน ศรัทธาก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่กำลังสติกำลังปัญญา การสังเกตการวิเคราะห์เราก็ต้องพยายามรู้ จากน้อยๆ รู้ไม่เท่าทันรู้จักควบคุม รู้จักระงับยับยั้งจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี่แหล่ะเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้ถูกต้อง ความเห็นถูกต้อง
ตั้งแต่ข้อแรกที่ท่านว่าอริยมรรคในองค์แปด ข้อแรกเห็นถูกต้อง แล้วก็ตามทำความเข้าใจ ให้ใจรับรู้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธพระองค์ เห็น เห็นอาการของขันธ์ห้า เห็นอาการของใจมันเกิด เขาเข้าไปรวมกันเป็นตัวเดียวกัน ความหลงอย่างลุ่มลึกเลยทีเดียวตัวนี้ ถ้าเราสังเกตเห็นแล้วแยกได้ ใจของเราพลิกขึ้นมาได้ ใจของเราก็ว่าง กายของเราก็จะเบา กายเนื้อก็มีอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ เราต้องทำความเข้าใจ ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ใจจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ใจจะเกิดปรุงแต่ง เราก็รู้จักดับ รู้จักระงับ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะว่ามันเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสโลกเขา จนกว่าใจของเราจะมองเห็นความเป็นจริง รู้เห็นตามความเป็นจริง ละกิเลสออก
ในหลักธรรมะของพุทธองค์นั้น ท่านให้ละความอยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา ทุกเรื่องเลย ทุกเรื่องในชีวิตของเรา จนเหลือตั้งแต่ปัญญาล้วนๆ เข้าไป ดูแลเข้าไปบริหาร เข้าไปจัดการ ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว เกิดความยินดียินร้าย แต่คนทั่วไป 5 นาที 10 นาที แต่ละวันใจไม่รู้ส่งออกไปสักกี่เที่ยวกี่ครั้ง กลัวจะไม่ได้คิด กลัวจะไม่มีปัญญา ปัญญาทางโลกียะมันปิดกั้นเอาไว้หมด
เพียงแค่การเจริญสติมันก็มาฉุดมารั้งเอาไว้ เดี๋ยวก็อึดอัดบ้าง เดี๋ยวก็สารพัดอย่าง เดี๋ยวก็ติดโน่นติดนี่ คันโน่นคันนี่ ต้องฝืนให้มันได้ทุกอย่าง จนกระทั่งแยกแยะอารมณ์ส่วนเป็นนามธรรมให้มันได้ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น จะมีตั้งแต่ความสุข ความสนุก มองเห็นหนทางเดิน ประคับประคองกายประคับประคองใจไป จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย เราเกิดมาเพื่ออะไร จะไปอย่างไร เรามายืมสมมติอยู่ เป็นสมมติของโลกเขา มาอาศัยโลกเขาอยู่ แต่เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว ไปจัดการกับตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องไปนั่น คนเยอะเยอะมากๆ อยู่คนเดียวแล้วสนุกดู ดูใจ แก้ไขใจ กายของเราก็บริหารดูแลรักษาเขาไป ก็ต้องพยายามนะ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ถ้าคนมีบุญมีอานิสงส์จะแก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบังคับ ไม่ต้องให้คนอื่นเขาสอนหรอก เรานี่แหละเจริญสติไปสอนใจของเรา แก้ไขใจของเรา รู้ไม่เท่าทัน ก็รู้จักหยุดเอาไว้ ยับยั้งเอาไว้ หมดความสงสัย หมดความลังเล ถึงจะเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ พึ่งตัวเองได้ แล้วก็ล้นออกไปให้สู่หมู่สู่คณะ สู่พี่สู่น้อง อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องให้หมดทุกอย่างเสียก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ
ตราบใดที่ใจของเรายังไม่หลุดพ้นก็อย่าไปทิ้ง ทิ้งบุญ พยามสร้างบุญสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี สูงขึ้นไปก็ ละอกุศล เจริญกุศล ไม่ยึดไม่เอาสักอย่าง ในความไม่เอานั่นแหละคือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น เราก็จะมีความสุขตลอดไป
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 20 มกราคม 2556
ดูดีๆนะพระเรา ตาเห็นรูป หูกระทบเสียง ใจก็หิว ใจก็จะเกิดความอยาก อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ มันบอกว่าไม่อิ่ม มันบอกว่าเอาเยอะๆ กิเลสมันสั่ง ถ้าคนเราไม่สังเกตเราก็จะไม่เห็น เพราะว่าเป็นความเคยชิน ความเกิดความอยาก อยากเกิด อยากมี อยากไปอยากมา เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ ความอยาก ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทันก็จะไม่เห็น ถ้าคนใดเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจ สติเร็วไวต่อเนื่อง รู้เห็นตามความเป็นจริงก็จะเป็นปัญญา ปัญญารู้ความจริงก็รู้จักแก้ไข
อาหารเยอะแยะ ไม่รู้จะฉันอะไรดี ยิ่งฝึกใหม่ๆ ก็ยิ่งเห็นเยอะ กายก็ต้องการอาหาร ใจจะเกิดความอยาก ยิ่งอดอาหาร เคยฉันมื้อ 2-3 มื้อ ลดลงมามื้อเดียว เราก็จะได้เห็นกายก็หิว ใจจะปรุงแต่งความอยากได้เร็วได้ไว คนเราถ้าไม่ได้ฝึกหัดความอยากก็มากขึ้น ๆ ๆ จนเป็นอัตโนมัติ เป็นความหลงปิดกั้นเอาไว้ ถ้าเรามาละความอยากด้วยการเอาออกด้วยการให้ ด้วยการดับ ด้วยการละ ด้วยการทำความเข้าใจ ความอยากก็จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือ จะเอา จะมี จะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา
ความอยากที่เกิดจากตัววิญญาณ ตัวใจในขันธ์ห้าในกายของเรา ความอยากแล้วก็อาการของขันธ์ห้าที่มาปกปิดเอาไว้อีกทีหนึ่ง หลายชั้นจริงๆ ถ้าไม่รู้จักเจริญสติเข้าไปแจง เข้าไปแยกแยะ รู้เห็นเป็นกองเป็นขันธ์ก็ยากที่จะเข้าใจในชีวิต ก็นึกว่าเป็นของเราหมด เหมาไปหมด เหมาไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไหนได้ไปยืมเอาสมมติเขามาใช้ แล้วก็ไปยึดเอาสมมติ มันก็ปิดกัน มันก็ปกปิดเอาไว้หมด รูป รส กลิ่น เสียงก็มาปกปิดดวงใจเอาไว้ กายเนื้อก็มาปิด ปกปิดดวงใจเอาไว้ ความคิดอารมณ์ก็มาปกปิดดวงใจเอาไว้ กิเลสก็มาเล่นงานอีกปิดเอาไว้หลายชั้น กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก ท่านถึงบอกให้ประหัตประหาร ประหัตประหารกิเลส ด้วยการละ ด้วยการเอาออก ด้วยการเจริญพรหมวิหาร อย่าลืมดูใจนะ อย่าลืมดูใจของตัวเรา
ยิ่งเข้ามาบวชนั่นแหละ ยิ่งพยายามทั้งกลางวันทั้งกลางคืน นอกจากจะนอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็รู้ใจเป็นหลัก สร้างความรู้ตัว รู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุง รู้จักหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา ใจของเรายังเกิด เราก็ต้องพยายามหยุด พยามหยุด พยายามละ พยายามดับ ความคิดผุดขึ้นมา ใจของเราไปรวมได้อย่างไรอีก หลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องวิเคราะห์พิจารณา ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากใจเราก็พยายามดับ ความอยากก่อตัวตรงไหน ใจของเราก็จะอยู่ตรงนั้นแหละ มันเอาอาการของความอยากมาปิดตัวของเขาเอาไว้ เราดับความอยาก มันก็เข้าสู่ความนิ่ง ความสงบ ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญาก็ไปเอา ก็ไปพิจารณากัน ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ทำสมมติให้ดี
พระเราชีเรา ชีเราก็ช่วยดูแลต้นไม้ให้ด้วย ต้นไม้ที่เอาไปปลูกคอยก็ช่วยดูแลให้หน่อย ให้เขาผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆ ไปก่อน เขาเลี้ยงตัวของเขาเองได้ก็ค่อยปล่อยค่อยวางเขา ได้นางพญาเสือโคร่งมาปลูก 100 200 ต้น ถ้ามันเกิดติดขึ้นมาก็เป็นสวนดอกไม้สวยงาม โน่นแหละรุ่นลูกรุ่นหลานโน่นแหละจะเห็นคุณค่า ได้ชม บางทีพวกเรามีวาสนาก็คงจะได้เห็นดอกเขา ถ้าอายุยืนสัก 5 ปี 10 ปีข้างหน้า ถ้าเราไม่อยู่คนรุ่นหลังก็จะได้ชมๆ ได้สวนดอกไม้ ไม้หอม ต้นกัลปพฤกษ์ ส่วนไอ้มะลิวัลย์ ก็อีกไม่นานปี 2 ปีก็คงจะได้ชมดอกกัลปพฤกษ์ เต็มไปหมด ดอกคูนดอกกัลปพฤกษ์
ช่วยกันปลูกเอาไว้ตามถนนหนทาง ใครเข้าย่างกรายเข้ามาภายในเขตวัดก็มีความสุขแล้ว มาเห็นก็มีความสุข ลูกหลานมาเด็กๆ มาก็ไปชวนพ่อชวนแม่มา พ่อแม่ก็พาลูกพาหลานมา มาชม เดินชมข้างนอกก็มีความสุข เห็น ตาเห็นรูป รูปสวยสวยงามๆ จิตใจก็มีความสุข นั่นแหละบุญมันเกิดบุญเกิดตั้งแต่ย่างก้าวเข้าประตู มีความสุขแต่ไม่รู้จักรักษาบุญ ปล่อยให้เขาเกิดอยู่เรื่อยเฉื่อยเรื่อยร่ำไป ไม่รู้จัก รู้จักทรงความสุข รักษาความสุข ตากระทบรูปใจก็ไปแล้ว หูกระทบเสียงใจก็ไปแล้ว มีความคิดผุดขึ้นมาก็ไปด้วยกันแล้ว หาอะไรมาผูกมัดเอาไว้ มาปิดกั้น ทับถมดวงใจตัวเอง โดยไม่รู้ตัว เขาให้ขัดให้เกลา ให้ปล่อย ให้วาง จนไม่เหลืออะไร จะเหลืออยู่ในความไม่เหลือคือความบริสุทธิ์ความว่าง
‘ความว่าง’ เป็นความสุขที่ถาวร ว่างจากกิเลส แล้วก็มาว่างจากการเกิด ว่างจากความคิด ว่างจากอารมณ์ คนทั่วไปเขาว่าถ้าว่างแล้วจะเอาอะไร มันจะมีความสุขอะไร ก็มีความสุขที่ถาวร เป็นความสุขที่ถาวร เป็นความสุขที่ไม่ต้องวนเวียนไหว้ตายเกิด แต่อานิสงส์บุญเราก็ทำอยู่เหมือนเดิม ยิ่งทำเยอะกว่าเก่า ทำบุญกับตัวเรา ทำบุญกับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทำบุญกับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง ตื่นขึ้นมาเราไม่บ่นหรือตื่นขึ้นมาแล้วบ่นเลย ถ้าไม่ได้บ่นนอนไม่หลับ ถ้าได้บ่นแล้วเหมือนกับได้ทานยาระบายท้องใช่ไหม คงไม่ออก ตื่นขึ้นมาแล้วรีบบ่นเลย อันโน้นก็ยังไม่ดีอันนี้ก็ยังไม่ดี ไม่บ่นให้ใครก็แม่บ้านก็บ่นให้พ่อบ้าน มีอยู่สองคนไม่รู้จะหันหน้าไปบ่นให้ใคร ตื่นขึ้นมาก็บ่น ต้องอดพูด อดคิด อดพูดอดคิดสังเกตดูความคิด ใหม่ๆ มันก็หงุดหงิดๆ ๆ มันอึดอัดเพราะมันอยากเที่ยว
ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วเกียจคร้าน คนเข้ามาบวช อย่าเอาบุคคลเกียจคร้านมาบวชเด็ดขาดนะ ใช้การไม่ได้นะถ้าคนเกียจคร้านมาบวช ยิ่งหนักนะ ต้องเอาคนขยันหมั่นเพียรมาบวช ขยันหมั่นเพียรในการละกิเลส ในการทำความเข้าใจ ในการจัดความรับผิดชอบ ความเสียสละทุกอย่าง อย่าไปคิดว่ามาบวช มาพักผ่อน เกียจค้านแย่เต็มทีเลยนะ อย่างนั้นใช้การไม่ได้นะ เอาคนปัญญาดีๆ เอาคนขยันมาบวช มาศึกษาถึงจะเข้าใจได้เร็วได้ไว มาสร้างกรรมใส่ตัวเองโดยไม่รู้ตัวนะ
ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ประหยัด อดทน เป็นคนขัดเกลา เป็นคนละออกให้มันหมดจด บวชเข้ามาแล้วทำอะไรก็ไม่เป็น ว่าตัวเองเป็นนักปฏิบัติ แม้แต่จะสีฟันแปรงฟันก็ให้คนบีบยาสีฟันให้ มันโง่ถึงขนาดนั้นก็มี ทำอะไรไม่เป็นเพราะว่ามันผิด ถ้าใจมันผิด มันก็มองเห็นอะไรผิดไปหมด ต้องทำความเข้าใจให้มันถูกต้อง แล้วก็ให้จิตใจของเราปล่อยวางให้มันหมดจด ได้ทุกอิริยาบถ ต้องสงบ อยู่กลางโรงหนังกลางตลาด แม้แต่กายจะแตกจะดับก็ต้องให้สงบ ก่อนจะได้พูดให้ฟังได้อย่างนี้ ก็ต้องฝึกให้หนักเสียก่อน ฝึกตัวเราให้หนัก ไม่ใช่ว่าเห็นคนมาเยอะๆ แล้วก็ไปเดินย้องๆ แย้งๆ ไปนั่งให้คนได้ดูได้เห็นได้ชมแล้วนะ มันไม่ไหวหรอก เราต้องทำให้มัน อย่าให้ใครเห็นเรา เห็น รู้เรา แก้ไขเรา ปรับตัวเราให้ได้ทุกอิริยาบถ
ส่วนมากก็ปฏิบัติแค่รูปแค่แบบแค่พิธีรีตรอง ได้ไปไม่ถึงไหน เราต้องรู้เรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา สติปัญญาคือที่พึ่งของใจ นั่นแหละท่านก็ว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การแสวงหากับข้าวกับปลาอาหาร ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา จะขบจะฉันก็ให้ อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก ยิ่งไปฝึกหัดปฏิบัติยิ่งเห็นเยอะ ความอยากของพระของชี เพราะว่ากายมันหิว กายก็ต้องการอาหาร เวลาปฏิบัติก็ดูดีอยู่หรอก เวลาออกจากการปฏิบัติแล้วพากันวิ่งไปแย่งกันเข้าห้องน้ำจะฆ่ากันตาย กูก่อนกูหลัง ช่วงที่ยังไม่ได้ยินเสียงระฆังก็สบายดี๊ดี ช่วงได้ยินเสียงระฆังแล้วอึดอัด พอหมดระฆังแล้วมันโล่งมันโปร่ง ทำไมไม่รู้จักดูช่วงมันโล่งมันโปร่งก็ไม่รู้นะ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เพียงแค่การเจริญสติก็ให้มันต่อเนื่องกันสักคืบหนึ่ง สัก 5 นาที 10 นาที ก็ยังทำกันไม่ได้ มันก็เลยรู้ไม่เท่าทันใจ รู้ไม่เท่าทันความคิด ไม่รอบรู้ในอัตาตัวตนรอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง มีตั้งแต่จะไปนึกไปคิดเอา มันก็ยิ่งปิดกันเอาไว้หมด
เพียงแค่ลักษณะของความรู้ตัวอยู่ คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เราก็พยายามทำให้มันต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ทั้งที่ใจเป็นบุญ อยากจะได้บุญ กายเนื้อก็มี ขันธ์ห้าก็มี ปัญญาก็มี เกิดตั้งแต่เกิดจนตัวเล็กๆ ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งอายุปูนนี้ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา รู้จักรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี อยู่ในระดับของสมมติมาก็นานหลายปี บางคน บางท่านก็ 50 60 70 ความรู้ตัวยังไม่ได้กระจ่างเลย
เรามาสร้างความรู้ตัว แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่แล้วกันทุกคน การเกิดของความคิดมีทุกคน ศรัทธาก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่กำลังสติกำลังปัญญา การสังเกตการวิเคราะห์เราก็ต้องพยายามรู้ จากน้อยๆ รู้ไม่เท่าทันรู้จักควบคุม รู้จักระงับยับยั้งจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี่แหล่ะเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้ถูกต้อง ความเห็นถูกต้อง
ตั้งแต่ข้อแรกที่ท่านว่าอริยมรรคในองค์แปด ข้อแรกเห็นถูกต้อง แล้วก็ตามทำความเข้าใจ ให้ใจรับรู้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธพระองค์ เห็น เห็นอาการของขันธ์ห้า เห็นอาการของใจมันเกิด เขาเข้าไปรวมกันเป็นตัวเดียวกัน ความหลงอย่างลุ่มลึกเลยทีเดียวตัวนี้ ถ้าเราสังเกตเห็นแล้วแยกได้ ใจของเราพลิกขึ้นมาได้ ใจของเราก็ว่าง กายของเราก็จะเบา กายเนื้อก็มีอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ เราต้องทำความเข้าใจ ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ใจจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ใจจะเกิดปรุงแต่ง เราก็รู้จักดับ รู้จักระงับ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะว่ามันเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสโลกเขา จนกว่าใจของเราจะมองเห็นความเป็นจริง รู้เห็นตามความเป็นจริง ละกิเลสออก
ในหลักธรรมะของพุทธองค์นั้น ท่านให้ละความอยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา ทุกเรื่องเลย ทุกเรื่องในชีวิตของเรา จนเหลือตั้งแต่ปัญญาล้วนๆ เข้าไป ดูแลเข้าไปบริหาร เข้าไปจัดการ ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว เกิดความยินดียินร้าย แต่คนทั่วไป 5 นาที 10 นาที แต่ละวันใจไม่รู้ส่งออกไปสักกี่เที่ยวกี่ครั้ง กลัวจะไม่ได้คิด กลัวจะไม่มีปัญญา ปัญญาทางโลกียะมันปิดกั้นเอาไว้หมด
เพียงแค่การเจริญสติมันก็มาฉุดมารั้งเอาไว้ เดี๋ยวก็อึดอัดบ้าง เดี๋ยวก็สารพัดอย่าง เดี๋ยวก็ติดโน่นติดนี่ คันโน่นคันนี่ ต้องฝืนให้มันได้ทุกอย่าง จนกระทั่งแยกแยะอารมณ์ส่วนเป็นนามธรรมให้มันได้ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น จะมีตั้งแต่ความสุข ความสนุก มองเห็นหนทางเดิน ประคับประคองกายประคับประคองใจไป จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย เราเกิดมาเพื่ออะไร จะไปอย่างไร เรามายืมสมมติอยู่ เป็นสมมติของโลกเขา มาอาศัยโลกเขาอยู่ แต่เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว ไปจัดการกับตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องไปนั่น คนเยอะเยอะมากๆ อยู่คนเดียวแล้วสนุกดู ดูใจ แก้ไขใจ กายของเราก็บริหารดูแลรักษาเขาไป ก็ต้องพยายามนะ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ถ้าคนมีบุญมีอานิสงส์จะแก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบังคับ ไม่ต้องให้คนอื่นเขาสอนหรอก เรานี่แหละเจริญสติไปสอนใจของเรา แก้ไขใจของเรา รู้ไม่เท่าทัน ก็รู้จักหยุดเอาไว้ ยับยั้งเอาไว้ หมดความสงสัย หมดความลังเล ถึงจะเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ พึ่งตัวเองได้ แล้วก็ล้นออกไปให้สู่หมู่สู่คณะ สู่พี่สู่น้อง อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องให้หมดทุกอย่างเสียก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะแตกจะดับ
ตราบใดที่ใจของเรายังไม่หลุดพ้นก็อย่าไปทิ้ง ทิ้งบุญ พยามสร้างบุญสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี สูงขึ้นไปก็ ละอกุศล เจริญกุศล ไม่ยึดไม่เอาสักอย่าง ในความไม่เอานั่นแหละคือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น เราก็จะมีความสุขตลอดไป
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ