หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 81
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 81
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 81
พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มิถุนายน 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเรา เณรเรา ชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย ความอยาก ความหิว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความหิวเกิดขึ้นที่กาย ความอยากเกิดขึ้นที่ใจ ความต้องการต้องเป็นเรื่องของสติปัญญาให้เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปพิจารณา อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามพากันทำ รู้จักควบคุม ถ้าเราไม่รู้จักควบคุมเราพิจารณาเราแล้ว ไม่มีใครจะพิจารณาให้เราได้เลย เป็นเรื่องของเราทุกคน เราจงรู้เรา หรือว่าเจริญสติเข้าไปรู้ใจของเรา แล้วก็ไปแก้ไขใจของเรา ไม่ใช่ไปเที่ยวให้คนอื่นเขาแก้ไขให้ บังคับให้
เราอาศัยกันได้ก็เพียงแค่ระดับของสมมติ ทางด้านจิตใจ ทางด้านการละกิเลส เราก็ต้องพยายาม ค่อยแก้ไขปรับปรุงไป ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายาม กำจัดความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ออกจากใจของเรา อยากมี อยากเป็น อยากได้ อยากดัง อยากเด่น สารพัดอยาก ไม่อยากอีก ความเกิดของวิญญาณอีก เรามาแก้ไข เรามาปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ให้เรารู้เรา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมารู้เรา เรารู้เราแล้วก็แก้ไขตัวเราเอง จบเรื่อง ไม่ได้ไปสร้างความวุ่นวายอะไร
นอกนั้นก็เป็นความรับผิดชอบยังประโยชน์ของสมมติ พยายามเอา พระก็เยอะ ชีก็เริ่มเยอะ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ต้องพยายาม ที่พักที่อาศัย เราต้องแก้ไข อย่าทำให้โลกเหมือนกับรังหนู ที่พักที่อาศัยทุกจุด กุฏิทุกหลัง ต้องแก้ไข นี่ไปดูแล้วก็ความเป็นระเบียบนี่ยังขาดอยู่มากเลยทีเดียว ความสะอาด ความเป็นระเบียบ ในส่วนรวม ในภาพรวม เราต้องพยายามจัดระบบระเบียบของตัวเรา เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ทิ้งๆ ขว้างๆ ยิ่งอยู่คนเยอะ ยิ่งเยอะเท่าไร ความรับผิดชอบก็ยิ่งเยอะ ความเสียสละก็ยิ่งเยอะ ไม่ใช่ว่าทิ้งมันเกลื่อนไปทั่ว เราต้องช่วยกันดูแลรักษา เรามาอาศัยแผ่นดินอยู่ อาศัยสมมติอยู่ ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง เรามาอาศัยสมมติอยู่ เราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ยังสมมติให้เป็นระเบียบ
การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาได้ไปบังคับเคี่ยวเข็ญ เราบังคับเคี่ยวเข็ญตัวเรา แก้ไขตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี เรารู้เรา เรารู้เรา เราก็รู้เขาเองนั่นแหละ ถ้าเราไม่รู้ เราจะไปรู้ตั้งแต่ภายนอกอะไร ไม่รู้ตัวเอง เรารู้ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งสมมติ มนุษย์ของเราก็มีเหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเข้าไปในป่า เอาใบไม้มาใบเดียว พิจารณาใบไม้ใบอื่นก็เหมือนกันหมด กายของมนุษย์ก็เหมือนกันหมดทุกอย่าง แต่สภาพจิตอาจจะมีความเห็นต่างกัน เราต้องปรับความเห็นให้ถูกต้องด้วยการดำเนินแนวทางของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธองค์ การเจริญสติ การเสียสละ การสร้างตบะบารมี การขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของตัวเรา เรารู้เราแล้ว อะไรควรละ อะไรควรแก้ไข ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถ้าเราบวชมาไม่มาศึกษามันก็ยากที่จะเข้าใจ ยิ่งมาแสวงหา กิเลสเข้ามาทับถมอีกก็ยากอีก ให้เราขัดเกลาคลายออกให้สู่สภาพเดิม คือใจที่ปราศจากการเกิด ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
ถ้าเราไม่มีจัดการแก้ไขเราแล้วก็ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย เราต้องมาเจริญสติเข้าไป วิเคราะห์หาเหตุหาผล สนามรบก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก อยู่ที่กายของเรา แล้วก็ลึกลงไปที่ใจของเรา เรารู้แล้ว เห็นแล้ว เดินถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ค่อยนั่งสบาย มีความสุข นอกนั้นก็เป็นผลพลอยได้ อานิสงส์ประโยชน์ของสมมติ ให้เกิดประโยชน์ สมมติก็ใกล้จะบริบูรณ์แล้วแหละ ในสถานที่วัดป่าธรรมอุทยาน ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นสวนที่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ สวนไม้หอม ไม้ประดับ ไม้ดอก ต้นสาละนี่มีหลายร้อยต้น ห้าหกร้อยต้น ทั้งต้นใหญ่ต้นเล็ก ต้นสาละ ต้นปีบ ต้นกันเกรา ต้นไทรใหญ่ ทั้งปลูก ทั้งเอามาปลูก ทั้งซื้อมาปลูก ทำให้เป็นป่า ฝากเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังได้มาอาศัย ได้มีความร่มรื่น ถ้าเราไม่ทำเอาไว้คนรุ่นหลังก็ลำบาก
ก็นับว่าเป็นบุญของสถานที่ที่พวกเราได้ช่วยกันทำ ไม่ใช่ว่าแค่ปีหนึ่งปีเดียว 30 ปีแน่ะที่หลวงพ่อเข้ามา แล้วก็พาหมู่พาคณะ พากันยังสมมติให้เกิดประโยชน์ จากความไม่มี ตั้งแต่ก่อนต้นไม้นี่ต้องถอนรากถอนโคนรากเพ็กรากหนามออกเสียก่อนถึงค่อยปลูกได้ เผาเกลื่อน ฝังเกลื่อน กระดูกเต็มเกลื่อน กระดูกมนุษย์ กระดูกคน ดินมันกระด้างก็หาฝุ่นหาปุ๋ยมาใส่ สารพัดอย่าง ปีแล้วปีเล่า ทั้งปลูกต้นไม้ จากไม่มีก็หามาปลูกเท่าที่กำลังจะหาได้ ค่อยพัฒนามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็เริ่มบริบูรณ์ คนรุ่นต่อไปก็มีตั้งแต่ดูแลรักษา ยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์ให้มากมาย กองบุญก็เกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาล บุญของสมมติ ทั้งวิมุตติก็ขัดเกลากิเลสเอา เราก็มาช่วยกันดูแลรักษา มาช่วยกันทำ ทำจากน้อยๆ นี่แหละ เดี๋ยวก็เต็มรอบ
ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาอะไร เราทำเท่าที่กำลังสติปัญญา เท่าที่กำลังอานิสงส์บุญของเรามี ไม่ต้องไปป่าวประกาศดิ้นรนอะไร ก็ได้เพียงแค่บอกกล่าว อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นกุศลก็ทำ ทำโดยที่เราไม่ต้องไปทุกข์ด้วย มีก็ทำ มันมีเยอะก็ มีเกินประมาณเราก็เอาออกแจกจ่ายให้เกิดประโยชน์ ไม่เก็บ 20-30 ปีมาก็ใช้เวลา ทั้งความเพียร ทั้งความอดทน ทั้งความเสียสละ ทั้งการกระทำ จนกระทั่งถึงทุกวัน เราก็ต้องพยายามเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยิ่งคนหมู่มากก็ปัญหาก็ยิ่งเยอะ เราก็ต้องพยายามแก้ไข ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสุรุ่ยสุร่าย เราก็พยายามจัดการออกไป ประหยัดมัธยัสถ์ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่ามีเยอะแล้วก็ฟุ่มเฟือยเละตุ้มเป๊ะ ไม่ใช่ อะไรพอแจกจ่ายเราก็แจกจ่ายออกให้เกิดประโยชน์ อะไรพอที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน เราก็พยายามทำ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ทั้งที่การหายใจเข้าออกของเราก็หายใจตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดสร้างความรู้ตัว หรือว่าขาดการเจริญสติ ก็เลยเอาตั้งแต่ความคิดเก่า ปัญญาเก่า ที่เกิดจากวิญญาณ เกิดจากขันธ์ห้า ตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม บางคนก็มีมากจนเอาไม่อยู่ จนเกิดตั้งแต่ความทุกข์ ความคิดเป็นทุกข์ ก็รู้อยู่ว่าเป็นทุกข์ อยากจะละ อยากจะดับ มันละไม่ได้ ดับไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าไม่ได้เจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปหมั่นพร่ำสอนเขา ไปวิเคราะห์ ไปพิจารณาหาเหตุหาผล ก็เลยมีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากจิต เกิดจากวิญญาณ วิญญาณเขาก็เกิด ความเกิดนั่นแหละคือความทุกข์ แต่เขามาอาศัยอยู่ในภพของมนุษย์ มีกายเนื้อเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ เขามาสร้างภพของมนุษย์ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ในหลักธรรมในหลักการแล้วก็ ท่านให้มาเจริญสติเข้าไปคลายความหลงเข้าไปดับความเกิดของวิญญาณของเรา ทำความเข้าใจ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กำจัดออกให้มันหมดจนเหลือตั้งแต่ปัญญาล้วนๆ เข้าไปบริหารเข้าไปทำหน้าที่แทน มันถึงจะไม่ทุกข์ ทั้งที่อยู่กับก้อนทุกข์ เพราะว่ากายเป็นก้อนทุกข์ เราต้องพิจารณาให้กระจ่างว่ากายเนื้อของเรา ขันธ์ห้าของเรานี่ที่ท่านบอกว่าเป็นก้อน เป็นกอง เป็นขันธ์นี่มันมีอะไรบ้าง มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ที่พากันสวด พากันท่อง ทำวัตรเช้าวัตรเย็นกันทุกวัน ก็ทำอยู่ที่กายของเรานี่แหละ ดูอยู่ที่กายของเรานี่แหละ แต่เราไปมองเฉพาะในภาพรวม ได้มองในภาพรวม แล้วก็การทำบุญ การให้ทาน ศรัทธาบารมีตรงนี้มีกันอยู่
ในการที่จะทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับของวิญญาณ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลกธรรม รู้จักเอาสติปัญญาไปบริหาร อันนี้ต้องเป็นความขยันหมั่นเพียรของสติของปัญญา รู้แจ้ง เห็นจริง เห็นเหตุ เห็นผลจริงๆ ถึงจะเอามันอยู่ ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่ ต้องเป็นคนที่ขยัน ชี้เหตุชี้ผลว่าการเกิดการก่อตัวของวิญญาณเป็นอย่างไร ความคิดเป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความกังวล พวกนิวรณธรรมต่างๆ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย กิเลสเกิดขึ้นที่กาย เกิดขึ้นที่ใจ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร
เราต้องพยายามเข้าให้ถึงจุดหมายนั้นๆ ให้รู้ให้เห็น จนชี้เหตุชี้ผล จนจิตวิญญาณของเรามองเห็นเหตุเห็นผล ยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละเขาถึงอยากจะวาง เขาถึงวางได้ ถึงไม่วางเขาก็ต้องวาง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร เขาจะไม่ยึดอะไรเลย ถ้าเขารู้ความจริงเขาจะวางหมด แม้แต่การเกิดของวิญญาณ เราต้องมาหยุดมาดับอีก วิญญาณไม่เกิด วางวิญญาณให้เป็นธรรมชาติอีก คือความว่าง ในความว่างนั้นแหละคือเครื่องอยู่ของใจ เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล เป็นพี่เลี้ยงหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละที่ท่านบอกว่า จงดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา มองเห็นเรา เห็น
อะไรคือสติ อะไรคือใจ เราในที่นี้หมายถึงทั้งสติทั้งใจ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนแรกคือตัวสติปัญญา เป็นที่พึ่งของใจ แต่เวลานี้ตัวใจมันพึ่งกายเนื้อ แล้วก็พึ่งขันธ์ห้า พึ่งกิเลส พึ่งสารพัดอย่าง เราต้องคลายออก แต่เขาก็อิงอาศัยกันอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่อาศัยกันอยู่ เราจะไปทิ้งสมมติก็ไม่ได้ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ เราต้องทำความเข้าใจกับกายก้อนเนื้อของเรา อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข สำหรับบุคคลที่จะเข้าใจในคำพูดของหลวงพ่อต้องเป็นบุคคลที่แจงแยกแยะให้เห็นชัดเจน ถึงจะรู้ความจริงตรงนี้ แต่เราก็อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งในการสร้างตบะสร้างบารมี ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเข้มแข็ง ความอดทน ขันติ วิริยะ ความเพียรต่างๆ การได้ยินได้ฟัง มีกันเต็มเปี่ยม
ในหลักของความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องไปพูดเลยสิ่งพวกนี้ ถ้าคนที่จะพิจารณาดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา ขวนขวายสนใจในธรรม จะแก้ไขตัวเราตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปถามคนโน้น ไม่จำเป็นต้องไปถามคนนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับ การละเป็นอย่างนี้ อะไรผิด อะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรแก้ไข จะพิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักหยุด รู้จักควบคุม ควบคุมกาย ควบคุมวาจา และก็ควบคุมใจ แล้วก็ทำความเข้าใจให้มันกระจ่าง หมดความสงสัย หมดความลังเล ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น นี่แหละบุคคลที่จะเดินถึงฝั่ง ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าไปละทิ้ง
เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มิถุนายน 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเรา เณรเรา ชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย ความอยาก ความหิว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความหิวเกิดขึ้นที่กาย ความอยากเกิดขึ้นที่ใจ ความต้องการต้องเป็นเรื่องของสติปัญญาให้เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปพิจารณา อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามพากันทำ รู้จักควบคุม ถ้าเราไม่รู้จักควบคุมเราพิจารณาเราแล้ว ไม่มีใครจะพิจารณาให้เราได้เลย เป็นเรื่องของเราทุกคน เราจงรู้เรา หรือว่าเจริญสติเข้าไปรู้ใจของเรา แล้วก็ไปแก้ไขใจของเรา ไม่ใช่ไปเที่ยวให้คนอื่นเขาแก้ไขให้ บังคับให้
เราอาศัยกันได้ก็เพียงแค่ระดับของสมมติ ทางด้านจิตใจ ทางด้านการละกิเลส เราก็ต้องพยายาม ค่อยแก้ไขปรับปรุงไป ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายาม กำจัดความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ออกจากใจของเรา อยากมี อยากเป็น อยากได้ อยากดัง อยากเด่น สารพัดอยาก ไม่อยากอีก ความเกิดของวิญญาณอีก เรามาแก้ไข เรามาปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ให้เรารู้เรา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมารู้เรา เรารู้เราแล้วก็แก้ไขตัวเราเอง จบเรื่อง ไม่ได้ไปสร้างความวุ่นวายอะไร
นอกนั้นก็เป็นความรับผิดชอบยังประโยชน์ของสมมติ พยายามเอา พระก็เยอะ ชีก็เริ่มเยอะ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ต้องพยายาม ที่พักที่อาศัย เราต้องแก้ไข อย่าทำให้โลกเหมือนกับรังหนู ที่พักที่อาศัยทุกจุด กุฏิทุกหลัง ต้องแก้ไข นี่ไปดูแล้วก็ความเป็นระเบียบนี่ยังขาดอยู่มากเลยทีเดียว ความสะอาด ความเป็นระเบียบ ในส่วนรวม ในภาพรวม เราต้องพยายามจัดระบบระเบียบของตัวเรา เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ทิ้งๆ ขว้างๆ ยิ่งอยู่คนเยอะ ยิ่งเยอะเท่าไร ความรับผิดชอบก็ยิ่งเยอะ ความเสียสละก็ยิ่งเยอะ ไม่ใช่ว่าทิ้งมันเกลื่อนไปทั่ว เราต้องช่วยกันดูแลรักษา เรามาอาศัยแผ่นดินอยู่ อาศัยสมมติอยู่ ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง เรามาอาศัยสมมติอยู่ เราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ยังสมมติให้เป็นระเบียบ
การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาได้ไปบังคับเคี่ยวเข็ญ เราบังคับเคี่ยวเข็ญตัวเรา แก้ไขตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี เรารู้เรา เรารู้เรา เราก็รู้เขาเองนั่นแหละ ถ้าเราไม่รู้ เราจะไปรู้ตั้งแต่ภายนอกอะไร ไม่รู้ตัวเอง เรารู้ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งสมมติ มนุษย์ของเราก็มีเหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเข้าไปในป่า เอาใบไม้มาใบเดียว พิจารณาใบไม้ใบอื่นก็เหมือนกันหมด กายของมนุษย์ก็เหมือนกันหมดทุกอย่าง แต่สภาพจิตอาจจะมีความเห็นต่างกัน เราต้องปรับความเห็นให้ถูกต้องด้วยการดำเนินแนวทางของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธองค์ การเจริญสติ การเสียสละ การสร้างตบะบารมี การขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของตัวเรา เรารู้เราแล้ว อะไรควรละ อะไรควรแก้ไข ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถ้าเราบวชมาไม่มาศึกษามันก็ยากที่จะเข้าใจ ยิ่งมาแสวงหา กิเลสเข้ามาทับถมอีกก็ยากอีก ให้เราขัดเกลาคลายออกให้สู่สภาพเดิม คือใจที่ปราศจากการเกิด ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
ถ้าเราไม่มีจัดการแก้ไขเราแล้วก็ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย เราต้องมาเจริญสติเข้าไป วิเคราะห์หาเหตุหาผล สนามรบก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก อยู่ที่กายของเรา แล้วก็ลึกลงไปที่ใจของเรา เรารู้แล้ว เห็นแล้ว เดินถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ค่อยนั่งสบาย มีความสุข นอกนั้นก็เป็นผลพลอยได้ อานิสงส์ประโยชน์ของสมมติ ให้เกิดประโยชน์ สมมติก็ใกล้จะบริบูรณ์แล้วแหละ ในสถานที่วัดป่าธรรมอุทยาน ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นสวนที่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ สวนไม้หอม ไม้ประดับ ไม้ดอก ต้นสาละนี่มีหลายร้อยต้น ห้าหกร้อยต้น ทั้งต้นใหญ่ต้นเล็ก ต้นสาละ ต้นปีบ ต้นกันเกรา ต้นไทรใหญ่ ทั้งปลูก ทั้งเอามาปลูก ทั้งซื้อมาปลูก ทำให้เป็นป่า ฝากเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังได้มาอาศัย ได้มีความร่มรื่น ถ้าเราไม่ทำเอาไว้คนรุ่นหลังก็ลำบาก
ก็นับว่าเป็นบุญของสถานที่ที่พวกเราได้ช่วยกันทำ ไม่ใช่ว่าแค่ปีหนึ่งปีเดียว 30 ปีแน่ะที่หลวงพ่อเข้ามา แล้วก็พาหมู่พาคณะ พากันยังสมมติให้เกิดประโยชน์ จากความไม่มี ตั้งแต่ก่อนต้นไม้นี่ต้องถอนรากถอนโคนรากเพ็กรากหนามออกเสียก่อนถึงค่อยปลูกได้ เผาเกลื่อน ฝังเกลื่อน กระดูกเต็มเกลื่อน กระดูกมนุษย์ กระดูกคน ดินมันกระด้างก็หาฝุ่นหาปุ๋ยมาใส่ สารพัดอย่าง ปีแล้วปีเล่า ทั้งปลูกต้นไม้ จากไม่มีก็หามาปลูกเท่าที่กำลังจะหาได้ ค่อยพัฒนามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็เริ่มบริบูรณ์ คนรุ่นต่อไปก็มีตั้งแต่ดูแลรักษา ยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์ให้มากมาย กองบุญก็เกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาล บุญของสมมติ ทั้งวิมุตติก็ขัดเกลากิเลสเอา เราก็มาช่วยกันดูแลรักษา มาช่วยกันทำ ทำจากน้อยๆ นี่แหละ เดี๋ยวก็เต็มรอบ
ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาอะไร เราทำเท่าที่กำลังสติปัญญา เท่าที่กำลังอานิสงส์บุญของเรามี ไม่ต้องไปป่าวประกาศดิ้นรนอะไร ก็ได้เพียงแค่บอกกล่าว อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นกุศลก็ทำ ทำโดยที่เราไม่ต้องไปทุกข์ด้วย มีก็ทำ มันมีเยอะก็ มีเกินประมาณเราก็เอาออกแจกจ่ายให้เกิดประโยชน์ ไม่เก็บ 20-30 ปีมาก็ใช้เวลา ทั้งความเพียร ทั้งความอดทน ทั้งความเสียสละ ทั้งการกระทำ จนกระทั่งถึงทุกวัน เราก็ต้องพยายามเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยิ่งคนหมู่มากก็ปัญหาก็ยิ่งเยอะ เราก็ต้องพยายามแก้ไข ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสุรุ่ยสุร่าย เราก็พยายามจัดการออกไป ประหยัดมัธยัสถ์ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่ามีเยอะแล้วก็ฟุ่มเฟือยเละตุ้มเป๊ะ ไม่ใช่ อะไรพอแจกจ่ายเราก็แจกจ่ายออกให้เกิดประโยชน์ อะไรพอที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน เราก็พยายามทำ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ทั้งที่การหายใจเข้าออกของเราก็หายใจตั้งแต่เกิดนั่นแหละ แต่เราขาดสร้างความรู้ตัว หรือว่าขาดการเจริญสติ ก็เลยเอาตั้งแต่ความคิดเก่า ปัญญาเก่า ที่เกิดจากวิญญาณ เกิดจากขันธ์ห้า ตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม บางคนก็มีมากจนเอาไม่อยู่ จนเกิดตั้งแต่ความทุกข์ ความคิดเป็นทุกข์ ก็รู้อยู่ว่าเป็นทุกข์ อยากจะละ อยากจะดับ มันละไม่ได้ ดับไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าไม่ได้เจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปหมั่นพร่ำสอนเขา ไปวิเคราะห์ ไปพิจารณาหาเหตุหาผล ก็เลยมีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากจิต เกิดจากวิญญาณ วิญญาณเขาก็เกิด ความเกิดนั่นแหละคือความทุกข์ แต่เขามาอาศัยอยู่ในภพของมนุษย์ มีกายเนื้อเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ เขามาสร้างภพของมนุษย์ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ในหลักธรรมในหลักการแล้วก็ ท่านให้มาเจริญสติเข้าไปคลายความหลงเข้าไปดับความเกิดของวิญญาณของเรา ทำความเข้าใจ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กำจัดออกให้มันหมดจนเหลือตั้งแต่ปัญญาล้วนๆ เข้าไปบริหารเข้าไปทำหน้าที่แทน มันถึงจะไม่ทุกข์ ทั้งที่อยู่กับก้อนทุกข์ เพราะว่ากายเป็นก้อนทุกข์ เราต้องพิจารณาให้กระจ่างว่ากายเนื้อของเรา ขันธ์ห้าของเรานี่ที่ท่านบอกว่าเป็นก้อน เป็นกอง เป็นขันธ์นี่มันมีอะไรบ้าง มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ที่พากันสวด พากันท่อง ทำวัตรเช้าวัตรเย็นกันทุกวัน ก็ทำอยู่ที่กายของเรานี่แหละ ดูอยู่ที่กายของเรานี่แหละ แต่เราไปมองเฉพาะในภาพรวม ได้มองในภาพรวม แล้วก็การทำบุญ การให้ทาน ศรัทธาบารมีตรงนี้มีกันอยู่
ในการที่จะทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับของวิญญาณ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลกธรรม รู้จักเอาสติปัญญาไปบริหาร อันนี้ต้องเป็นความขยันหมั่นเพียรของสติของปัญญา รู้แจ้ง เห็นจริง เห็นเหตุ เห็นผลจริงๆ ถึงจะเอามันอยู่ ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่ ต้องเป็นคนที่ขยัน ชี้เหตุชี้ผลว่าการเกิดการก่อตัวของวิญญาณเป็นอย่างไร ความคิดเป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความกังวล พวกนิวรณธรรมต่างๆ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย กิเลสเกิดขึ้นที่กาย เกิดขึ้นที่ใจ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร
เราต้องพยายามเข้าให้ถึงจุดหมายนั้นๆ ให้รู้ให้เห็น จนชี้เหตุชี้ผล จนจิตวิญญาณของเรามองเห็นเหตุเห็นผล ยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละเขาถึงอยากจะวาง เขาถึงวางได้ ถึงไม่วางเขาก็ต้องวาง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร เขาจะไม่ยึดอะไรเลย ถ้าเขารู้ความจริงเขาจะวางหมด แม้แต่การเกิดของวิญญาณ เราต้องมาหยุดมาดับอีก วิญญาณไม่เกิด วางวิญญาณให้เป็นธรรมชาติอีก คือความว่าง ในความว่างนั้นแหละคือเครื่องอยู่ของใจ เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล เป็นพี่เลี้ยงหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละที่ท่านบอกว่า จงดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา มองเห็นเรา เห็น
อะไรคือสติ อะไรคือใจ เราในที่นี้หมายถึงทั้งสติทั้งใจ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนแรกคือตัวสติปัญญา เป็นที่พึ่งของใจ แต่เวลานี้ตัวใจมันพึ่งกายเนื้อ แล้วก็พึ่งขันธ์ห้า พึ่งกิเลส พึ่งสารพัดอย่าง เราต้องคลายออก แต่เขาก็อิงอาศัยกันอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่อาศัยกันอยู่ เราจะไปทิ้งสมมติก็ไม่ได้ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ เราต้องทำความเข้าใจกับกายก้อนเนื้อของเรา อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข สำหรับบุคคลที่จะเข้าใจในคำพูดของหลวงพ่อต้องเป็นบุคคลที่แจงแยกแยะให้เห็นชัดเจน ถึงจะรู้ความจริงตรงนี้ แต่เราก็อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งในการสร้างตบะสร้างบารมี ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเข้มแข็ง ความอดทน ขันติ วิริยะ ความเพียรต่างๆ การได้ยินได้ฟัง มีกันเต็มเปี่ยม
ในหลักของความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องไปพูดเลยสิ่งพวกนี้ ถ้าคนที่จะพิจารณาดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา ขวนขวายสนใจในธรรม จะแก้ไขตัวเราตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปถามคนโน้น ไม่จำเป็นต้องไปถามคนนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับ การละเป็นอย่างนี้ อะไรผิด อะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรแก้ไข จะพิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักหยุด รู้จักควบคุม ควบคุมกาย ควบคุมวาจา และก็ควบคุมใจ แล้วก็ทำความเข้าใจให้มันกระจ่าง หมดความสงสัย หมดความลังเล ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น นี่แหละบุคคลที่จะเดินถึงฝั่ง ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าไปละทิ้ง
เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง