หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 24
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 24
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 24
พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 มีนาคม 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การสังเกต การวิเคราะห์ การสร้างความรู้ตัว ต้องฝึกให้เกิดเป็นความเคยชินในการทำความเข้าใจ รู้ใจของเรา รู้ฐานของใจของเรา หัวใจของเราอยู่ตรงไหน ใจของเราก็อยู่ตรงนั้นแหละ เขาเริ่มเกิด เขาเริ่มปรุง เริ่มแต่ง ส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร เราพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์
ความคิดส่วนบน ส่วนกลาง ส่วนบนคือส่วนสมอง หรือว่าความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ ความคิดเก่าเกิดจากตัววิญญาณ เกิดจากอาการของขันธ์ห้า เขาเกิดก่อตัวอย่างไรตรงนี้แหละสำคัญ ส่วนมากก็รู้อยู่เมื่อเขาเกิดแล้ว หรือบางทีก็ตัวใจมันเป็นพวกธาตุรู้ มันก็รู้ไปเลยในการเกิด ความเกิดความหลงยังไม่ได้คลาย ถึงได้มาสร้างผู้รู้ คือมาสร้างความรู้ตัว แล้วก็สร้างจนเกิดความชำนาญ เอาไปใช้ เอาไปควบคุม เอาไปดับ เอาไปละ เอาไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา
ใจที่ฝึกดีแล้วเขาก็สงบ เขาก็สะอาดบริสุทธิ์ เข้าสู่สภาพเดิมคือความสะอาด เราเห็นตั้งแต่การเกิดกับความหลงนั้นเขารวมกันแล้ว เรารู้เมื่อเขาเกิดแล้ว อยากจะละทุกข์ดับทุกข์ได้ก็ต้องจัดการกิเลสของเรา ละกิเลสของเรา กิเลสนี้เป็นยางเหนียว ละได้ยาก ความทะเยอทะยานอยากนี้เป็นกำลังของความหลงส่งเสริมกันไปอีก เราพยายามดับ หยุดความอยาก ความอยากทุกชนิด ในหลักธรรม ทั้งอยากไปแล้วก็ไม่อยากมา อยากไป อยากมา ไม่อยากไป ไม่อยากกับอยาก มันเป็นตัวปิดกั้นเอาไว้หมด
ในหลักธรรมท่านให้เป็นความขยันหมั่นเพียร รับผิดชอบ ให้มีให้เป็นด้วยสติด้วยปัญญา แต่ใจต้องสะอาด ต้องไม่เกิด ความเกิดมานาน กว่าจะจัดการกับมันได้มันก็เลยยุ่งยากอยู่ ความเกิด ความหลง เพียงแค่เรื่องการขบการฉัน เราก็จัดการกับมันได้ยากเพราะว่าเกี่ยวเนื่องกับกาย กายต้องการอาหาร ใจจะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว ยิ่งอายุน้อยๆ มาฝึกหัดปฏิบัติ มาละความอยาก มันก็ยิ่งต่อสู้กันมากมาย ต่อสู้กันจนใจไม่อยาก ให้เป็นความต้องการของสติปัญญา เอาอาหารมาให้กาย เพราะว่ากายก็ต้องการอาหาร ใจก็เข้าข้างตัวเอง อันโน้นเราต้องการ อันนี้เราต้องการ ต้องการเอามาให้เรา ถ้าดับความเกิด คลายความหลง ดับความอยากที่ใจได้แล้ว ก็เป็นความต้องการของสติปัญญาเข้าข้างตัวเองอีก หลายชั้นจริงๆ
ให้เราทำหน้าที่ รับผิดชอบด้วยหน้าที่ให้ถูกต้อง ไม่ให้เกิดความอยาก แม้แต่สติปัญญาก็ไม่ให้เข้าข้างตัวเอง รายละเอียดเยอะ รายละเอียดเยอะ กว่าจะละกิเลสได้ แยกรูปแยกนามได้ คลายขันธ์ห้าได้ นี่กว่าจะดับความเกิดได้ กว่าจะทำความเข้าใจกับพวกนิวรณ์ธรรม ความสติ ความรู้ตัว เราพลั้งเผลอ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน กว่าจะละมลทินได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศถึงจะเอาอยู่ แต่ส่วนมากก็ใจน้อมอยู่ในบุญ บางทีก็ได้รับความสงบ ได้รับความสุข ได้รับความเยือกเย็นเป็นบางครั้งบางคราว
ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องกันจริงๆ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจ รู้จักดับรู้จักละ รู้จักทำความเข้าใจอยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ชนะใจของเราได้ ใจของเราก็เกิดปีติ เกิดสุข ความปีติความสุข นั่นแหละคืออาหารใจ แม้แต่ปีติสุขก็ยังไม่ให้หลงอีก เพียงแค่รู้เฉยๆ เขาจางคลายหายไปก็เหลือแต่ความว่างเปล่า แม้แต่ความว่างเปล่าก็ให้วางอีก เก็บคืน ขอคืน ให้เป็นธรรมชาติเรื่อยๆ จนเหลือตั้งแต่เป็นผู้รู้ ธาตุรู้ สติคอยดู ใจเป็นผู้รู้ สติปัญญาเป็นตัวเกิด ทำหน้าที่แทนใจได้ทุกเรื่อง
รายละเอียดเยอะๆ ในชีวิตของคนเรานี่ ถ้าเราไม่สนใจจริงๆ ก็ยาก เพียงแค่บริหารสมมติ บริหารโลกธรรมให้สมบูรณ์แบบ มันก็ทั้งยาก บางคนก็ขาดอันโน้นบ้าง บางคนก็ขาดอันนี้บ้าง แม้แต่จะควบคุมกายก็ยังยาก ควบคุมวาจาก็ยังยาก ยิ่งควบคุมใจ แล้วก็คลายใจออกก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ถ้าคนไม่มีความเพียร ไม่มีอานิสงส์ในความเสียสละอย่างยิ่งยวดจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าถึงธรรมชาติได้ที่แท้จริง ก็เพียงแค่ข่ม แค่ระงับ แค่ดับ แค่หยุด ต้องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับนะ จนกระทั่งหมดลมหายใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ค่อยเพียร ค่อยทำ ค่อยดำเนินไปเรื่อยๆ สิ่งที่เราไม่รู้เราก็ค่อยรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ มากขึ้นๆ ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็อย่าไปทิ้ง
ในการทำบุญ ทำบุญให้ทาน รู้จักให้อภัย อโหสิกรรม ถึงเราจัดการกับตัววิญญาณของเราไม่ได้เด็ดขาด เราก็ต้องพยายามเอาเป็นเรื่องของเราทุกคน เรามีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกันเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อย่าไปเกียจคร้าน พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา สมมติภายนอกเราก็ช่วยกัน ไม่นานหรอก จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็จะสำเร็จลุล่วงลงไป
อีกสักอาทิตย์ก็คงจะเสร็จในการเทปูน ช่วยกัน ถ้าฝนฟ้าไม่ตกก็ว่าจะเทรอบสวนให้หมด หลังลานเล็ก หลังลานก้อนหิน ต่อไปก็จะได้มีที่นั่งที่พักที่อาศัย เอากระต๊อบน้อยมาวางรอบ มีที่นั่งบังลม บังแดด บังฝน รอให้ต้นไม้ใหญ่โตขึ้นปกคลุมออกดอกก็จะเห็นความสวยความงาม ความเย็นก็จะตามมา นี่แหละอานิสงส์ที่พวกเราทำ ต่อไปในวันข้างหน้าคนก็จะได้มาพึ่งพาอาศัยความร่มรื่นร่มเย็น หลายสิ่งหลายอย่าง อย่าไปงอมืองอเท้า อะไรเราพอช่วยกันได้เราก็รีบช่วยกันทำ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาก็มีความสุขความเยือกเย็น กำลังกายของเรายังแข็งแรง ช่วยกัน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นแค่เพียงอุบาย เป็นแค่เพียงการชี้แนะวิธีการเจริญสติเท่านั้น
บุคคลที่มีปัญญา ถ้ารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้วก็จะทำความเข้าใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมใจกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่สงบเราจะจัดการกับใจของเราได้อย่างไร คำว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ กายวิเวกใจวิเวก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจ ขาดการรู้
ถ้าเรามีสติ รู้กายรู้ใจ เราก็รู้ใจของเราเลยก็ได้ เราจะเอาสติเน้นลงอยู่ที่ใจของเรา ทำความเข้าใจกับใจ ทำความเข้าใจกับความคิด ว่าความคิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เป็นเรื่องอะไรที่เกิดขึ้น เรื่องอดีตเรื่องอนาคต เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เกิดจากตัววิญญาณโดยตรงหรือว่าเกิดจากอาการของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่ง เราก็จะหมั่นสำรวจ หมั่นพิจารณาหมั่นแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้ใจของเราเป็นบุญหรือว่าเกิดกิเลส
ถ้าเราไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน ไม่รู้ใจตัวเอง ก็ไม่รู้จะสอนใจได้อย่างไร เราก็ต้องเจริญสติไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ เขาก่อตัวตรงฐาน เขาเริ่มเกิดตรงไหน ทำไมเขาถึงหลง มันมีไม่มากหรอกอยู่ในกายเนื้อของเรานี่แหละ อยู่ในขันธ์ห้าของเราอย่างนี้แหละพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนความจริง สอนเรื่องความจริงของชีวิต ส่วนรูปส่วนนาม สอนหลักการในการทำความเข้าใจ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น มีกันหมดทุกคน ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติที่โน่นถึงจะเข้าใจ ปฏิบัติที่นี่ถึงจะเข้าใจ สติความรู้ตัวยังไม่ได้สร้างขึ้นมาเลย มันจะไปรู้ไปเห็นได้อย่างไร ทำความเข้าใจในสิ่งที่มันมีอยู่
มันหลงมันถึงได้เกิด แล้วก็ปิดกั้นตัวเอง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ก็กิเลสนั่นแหละหลอกให้มาปฏิบัติ หลอกให้มาฝึก ถ้าเรามีสติปัญญาแหลมคมแล้วเราก็จะเห็นชัดเจนหมดทุกเรื่องในชีวิตของเรา หมดความสงสัย จัดการกับชีวิตของเรา ว่าเราต้องการเกิดหรือไม่ต้องการเกิด กิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ อะไรยังตกค้างอยู่มีไม่มากหรอก ความจริงมีไม่มาก แต่คนทั่วไปจะไปเอาสิ่งภายนอกมาปกปิดเอาไว้เสียกันหมด แสวงหาดิ้นรนกันด้วยความทะเยอทะยานอยาก แล้วก็ไม่รู้จักลักษณะของสติรู้ตัว ไม่รู้จักสร้างขึ้นมา ไปมั่นหมายเอาตัววิญญาณโน่น ความคิดโน่น ว่าเป็นสติว่าเป็นปัญญา ศึกษาเล่าเรียน ปกปิดตัวของมันเองไว้หมด
แม้แต่ตัวจิตยังหลอกตัวเอง ก็สร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเอง สร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเอง นอกจากสติปัญญาที่แยบคายแหลมคมจริงๆ เร็วไวจริงๆ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราจริงๆ สอนได้ครั้งหนึ่งสองครั้งนี่ เขาเอาไม่อยู่หรอก ต้องให้เขารู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง จนเขาเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละ จนเขาดับความเกิดได้นั่นแหละ ดับความเกิด ละกิเลสได้หมดจดนั่นแหละถึงวางให้เป็นอิสระ จนสติปัญญาไปเกิดแทนได้ สติของเราจะอยู่กับใจก็ได้ อยู่กับกายก็ได้ ยกกายขึ้นมาพิจารณา ยกใจขึ้นมาพิจารณา ใจของเราต้องว่างรับรู้
อันนี้พูดปลายเหตุ หลวงพ่อต้องย้ำอยู่ที่ต้นเหตุให้เห็นเสียก่อน ว่าต้องเห็นการก่อตัว การเกิด การทำความเข้าใจ ย้ำลงไปอีก ต้องให้รู้จักวิธีการเจริญสติให้ได้ต่อเนื่องทุกอิริยาบถอย่าให้ขาดตอน ถ้าความพลั้งเผลอเริ่มขึ้นใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มขึ้นใหม่ ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้ว ตามทำความเข้าใจได้แล้ว หมดความสงสัยแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครชี้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครบอก
อย่ากระโดดข้ามขั้น เราจะขึ้นบันไดจะกระโดดขึ้นถึงตัวเรือนเลยเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องค่อยขึ้นจากขั้นแรก สองขั้น สามขั้น ขึ้นถึงตัวเรือน ก่อนที่จะถึงขั้นแรกจิตใจของเราเป็นอย่างไร น้อมเข้ามาไหม เราเจริญสติได้ต่อเนื่องไหม เราแจงได้ไหม เราดับเราละได้ไหม ตามทำความเข้าใจได้หรือไม่ จนขึ้นถึงตัวเรือน คือแยกรูปแยกนาม อะไรคือวิญญาณ อะไรคือรูป หรือแยกออกตรงไหน ถ้าเราเจริญสติเข้าไปให้ต่อเนื่องเราก็จะเห็น ไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยกได้ เพียงแค่แยกเท่านั้นเอง ในนี้เพียงแค่เริ่มต้นที่ถูกต้อง ก่อนที่จะปัดกวาดกิเลสออกจากตัวเรือนของเราให้หมด คือออกจากใจของเราให้หมดจดอีก ต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวดอีก คนทั่วไปก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง
รู้จักทำบุญ รู้จักให้ทาน ก็แค่นั้นก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำ ค่อยสร้างสะสมกันไป ถ้าคนขยันหมั่นเพียร ยืน เดิน นั่ง นอน นี่จะไม่ให้คลาดสายตาของสติปัญญาได้เลย จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ในการละกิเลส เราจะละแค่ครั้งหนึ่งสองครั้ง มันเป็นไปไม่ได้ เราต้องละจนมันหมดจดนั่นแหละ จนไม่ต้องกลับมาเกิดกันนั่นแหละ ถึงมันไม่หมดวันนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องหมด ไม่หมดพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า มันไม่หมดจริงๆ โน่นน่ะจะไปต่อเอาภพหน้านั่น เพราะว่ามันต้องติดตามตัวเราไป
เราต้องคอยแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องของคนอื่นเขา เรามาจัดการกับตัวเรา แก้ไขของเรา เราทำหน้าที่การงานของเราให้มันดี อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุขยิ่งอยู่หลายคนด้วยกัน หลายคนหลายท่านก็ยิ่งเพิ่มความรับผิดชอบ ความเสียสละให้กับตัวเรา ให้กับหมู่ให้คณะ ถ้าเราไม่มีความเสียสละแล้ว เราอยู่ที่ไหนใจของเราก็จะไม่ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 มีนาคม 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การสังเกต การวิเคราะห์ การสร้างความรู้ตัว ต้องฝึกให้เกิดเป็นความเคยชินในการทำความเข้าใจ รู้ใจของเรา รู้ฐานของใจของเรา หัวใจของเราอยู่ตรงไหน ใจของเราก็อยู่ตรงนั้นแหละ เขาเริ่มเกิด เขาเริ่มปรุง เริ่มแต่ง ส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร เราพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์
ความคิดส่วนบน ส่วนกลาง ส่วนบนคือส่วนสมอง หรือว่าความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ ความคิดเก่าเกิดจากตัววิญญาณ เกิดจากอาการของขันธ์ห้า เขาเกิดก่อตัวอย่างไรตรงนี้แหละสำคัญ ส่วนมากก็รู้อยู่เมื่อเขาเกิดแล้ว หรือบางทีก็ตัวใจมันเป็นพวกธาตุรู้ มันก็รู้ไปเลยในการเกิด ความเกิดความหลงยังไม่ได้คลาย ถึงได้มาสร้างผู้รู้ คือมาสร้างความรู้ตัว แล้วก็สร้างจนเกิดความชำนาญ เอาไปใช้ เอาไปควบคุม เอาไปดับ เอาไปละ เอาไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา
ใจที่ฝึกดีแล้วเขาก็สงบ เขาก็สะอาดบริสุทธิ์ เข้าสู่สภาพเดิมคือความสะอาด เราเห็นตั้งแต่การเกิดกับความหลงนั้นเขารวมกันแล้ว เรารู้เมื่อเขาเกิดแล้ว อยากจะละทุกข์ดับทุกข์ได้ก็ต้องจัดการกิเลสของเรา ละกิเลสของเรา กิเลสนี้เป็นยางเหนียว ละได้ยาก ความทะเยอทะยานอยากนี้เป็นกำลังของความหลงส่งเสริมกันไปอีก เราพยายามดับ หยุดความอยาก ความอยากทุกชนิด ในหลักธรรม ทั้งอยากไปแล้วก็ไม่อยากมา อยากไป อยากมา ไม่อยากไป ไม่อยากกับอยาก มันเป็นตัวปิดกั้นเอาไว้หมด
ในหลักธรรมท่านให้เป็นความขยันหมั่นเพียร รับผิดชอบ ให้มีให้เป็นด้วยสติด้วยปัญญา แต่ใจต้องสะอาด ต้องไม่เกิด ความเกิดมานาน กว่าจะจัดการกับมันได้มันก็เลยยุ่งยากอยู่ ความเกิด ความหลง เพียงแค่เรื่องการขบการฉัน เราก็จัดการกับมันได้ยากเพราะว่าเกี่ยวเนื่องกับกาย กายต้องการอาหาร ใจจะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว ยิ่งอายุน้อยๆ มาฝึกหัดปฏิบัติ มาละความอยาก มันก็ยิ่งต่อสู้กันมากมาย ต่อสู้กันจนใจไม่อยาก ให้เป็นความต้องการของสติปัญญา เอาอาหารมาให้กาย เพราะว่ากายก็ต้องการอาหาร ใจก็เข้าข้างตัวเอง อันโน้นเราต้องการ อันนี้เราต้องการ ต้องการเอามาให้เรา ถ้าดับความเกิด คลายความหลง ดับความอยากที่ใจได้แล้ว ก็เป็นความต้องการของสติปัญญาเข้าข้างตัวเองอีก หลายชั้นจริงๆ
ให้เราทำหน้าที่ รับผิดชอบด้วยหน้าที่ให้ถูกต้อง ไม่ให้เกิดความอยาก แม้แต่สติปัญญาก็ไม่ให้เข้าข้างตัวเอง รายละเอียดเยอะ รายละเอียดเยอะ กว่าจะละกิเลสได้ แยกรูปแยกนามได้ คลายขันธ์ห้าได้ นี่กว่าจะดับความเกิดได้ กว่าจะทำความเข้าใจกับพวกนิวรณ์ธรรม ความสติ ความรู้ตัว เราพลั้งเผลอ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน กว่าจะละมลทินได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศถึงจะเอาอยู่ แต่ส่วนมากก็ใจน้อมอยู่ในบุญ บางทีก็ได้รับความสงบ ได้รับความสุข ได้รับความเยือกเย็นเป็นบางครั้งบางคราว
ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องกันจริงๆ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจ รู้จักดับรู้จักละ รู้จักทำความเข้าใจอยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ชนะใจของเราได้ ใจของเราก็เกิดปีติ เกิดสุข ความปีติความสุข นั่นแหละคืออาหารใจ แม้แต่ปีติสุขก็ยังไม่ให้หลงอีก เพียงแค่รู้เฉยๆ เขาจางคลายหายไปก็เหลือแต่ความว่างเปล่า แม้แต่ความว่างเปล่าก็ให้วางอีก เก็บคืน ขอคืน ให้เป็นธรรมชาติเรื่อยๆ จนเหลือตั้งแต่เป็นผู้รู้ ธาตุรู้ สติคอยดู ใจเป็นผู้รู้ สติปัญญาเป็นตัวเกิด ทำหน้าที่แทนใจได้ทุกเรื่อง
รายละเอียดเยอะๆ ในชีวิตของคนเรานี่ ถ้าเราไม่สนใจจริงๆ ก็ยาก เพียงแค่บริหารสมมติ บริหารโลกธรรมให้สมบูรณ์แบบ มันก็ทั้งยาก บางคนก็ขาดอันโน้นบ้าง บางคนก็ขาดอันนี้บ้าง แม้แต่จะควบคุมกายก็ยังยาก ควบคุมวาจาก็ยังยาก ยิ่งควบคุมใจ แล้วก็คลายใจออกก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ถ้าคนไม่มีความเพียร ไม่มีอานิสงส์ในความเสียสละอย่างยิ่งยวดจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าถึงธรรมชาติได้ที่แท้จริง ก็เพียงแค่ข่ม แค่ระงับ แค่ดับ แค่หยุด ต้องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับนะ จนกระทั่งหมดลมหายใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ค่อยเพียร ค่อยทำ ค่อยดำเนินไปเรื่อยๆ สิ่งที่เราไม่รู้เราก็ค่อยรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ มากขึ้นๆ ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็อย่าไปทิ้ง
ในการทำบุญ ทำบุญให้ทาน รู้จักให้อภัย อโหสิกรรม ถึงเราจัดการกับตัววิญญาณของเราไม่ได้เด็ดขาด เราก็ต้องพยายามเอาเป็นเรื่องของเราทุกคน เรามีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกันเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อย่าไปเกียจคร้าน พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา สมมติภายนอกเราก็ช่วยกัน ไม่นานหรอก จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็จะสำเร็จลุล่วงลงไป
อีกสักอาทิตย์ก็คงจะเสร็จในการเทปูน ช่วยกัน ถ้าฝนฟ้าไม่ตกก็ว่าจะเทรอบสวนให้หมด หลังลานเล็ก หลังลานก้อนหิน ต่อไปก็จะได้มีที่นั่งที่พักที่อาศัย เอากระต๊อบน้อยมาวางรอบ มีที่นั่งบังลม บังแดด บังฝน รอให้ต้นไม้ใหญ่โตขึ้นปกคลุมออกดอกก็จะเห็นความสวยความงาม ความเย็นก็จะตามมา นี่แหละอานิสงส์ที่พวกเราทำ ต่อไปในวันข้างหน้าคนก็จะได้มาพึ่งพาอาศัยความร่มรื่นร่มเย็น หลายสิ่งหลายอย่าง อย่าไปงอมืองอเท้า อะไรเราพอช่วยกันได้เราก็รีบช่วยกันทำ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาก็มีความสุขความเยือกเย็น กำลังกายของเรายังแข็งแรง ช่วยกัน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นแค่เพียงอุบาย เป็นแค่เพียงการชี้แนะวิธีการเจริญสติเท่านั้น
บุคคลที่มีปัญญา ถ้ารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้วก็จะทำความเข้าใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมใจกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่สงบเราจะจัดการกับใจของเราได้อย่างไร คำว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ กายวิเวกใจวิเวก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจ ขาดการรู้
ถ้าเรามีสติ รู้กายรู้ใจ เราก็รู้ใจของเราเลยก็ได้ เราจะเอาสติเน้นลงอยู่ที่ใจของเรา ทำความเข้าใจกับใจ ทำความเข้าใจกับความคิด ว่าความคิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เป็นเรื่องอะไรที่เกิดขึ้น เรื่องอดีตเรื่องอนาคต เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เกิดจากตัววิญญาณโดยตรงหรือว่าเกิดจากอาการของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่ง เราก็จะหมั่นสำรวจ หมั่นพิจารณาหมั่นแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้ใจของเราเป็นบุญหรือว่าเกิดกิเลส
ถ้าเราไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหน ไม่รู้ใจตัวเอง ก็ไม่รู้จะสอนใจได้อย่างไร เราก็ต้องเจริญสติไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ เขาก่อตัวตรงฐาน เขาเริ่มเกิดตรงไหน ทำไมเขาถึงหลง มันมีไม่มากหรอกอยู่ในกายเนื้อของเรานี่แหละ อยู่ในขันธ์ห้าของเราอย่างนี้แหละพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนความจริง สอนเรื่องความจริงของชีวิต ส่วนรูปส่วนนาม สอนหลักการในการทำความเข้าใจ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น มีกันหมดทุกคน ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติที่โน่นถึงจะเข้าใจ ปฏิบัติที่นี่ถึงจะเข้าใจ สติความรู้ตัวยังไม่ได้สร้างขึ้นมาเลย มันจะไปรู้ไปเห็นได้อย่างไร ทำความเข้าใจในสิ่งที่มันมีอยู่
มันหลงมันถึงได้เกิด แล้วก็ปิดกั้นตัวเอง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ก็กิเลสนั่นแหละหลอกให้มาปฏิบัติ หลอกให้มาฝึก ถ้าเรามีสติปัญญาแหลมคมแล้วเราก็จะเห็นชัดเจนหมดทุกเรื่องในชีวิตของเรา หมดความสงสัย จัดการกับชีวิตของเรา ว่าเราต้องการเกิดหรือไม่ต้องการเกิด กิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ อะไรยังตกค้างอยู่มีไม่มากหรอก ความจริงมีไม่มาก แต่คนทั่วไปจะไปเอาสิ่งภายนอกมาปกปิดเอาไว้เสียกันหมด แสวงหาดิ้นรนกันด้วยความทะเยอทะยานอยาก แล้วก็ไม่รู้จักลักษณะของสติรู้ตัว ไม่รู้จักสร้างขึ้นมา ไปมั่นหมายเอาตัววิญญาณโน่น ความคิดโน่น ว่าเป็นสติว่าเป็นปัญญา ศึกษาเล่าเรียน ปกปิดตัวของมันเองไว้หมด
แม้แต่ตัวจิตยังหลอกตัวเอง ก็สร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเอง สร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเอง นอกจากสติปัญญาที่แยบคายแหลมคมจริงๆ เร็วไวจริงๆ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราจริงๆ สอนได้ครั้งหนึ่งสองครั้งนี่ เขาเอาไม่อยู่หรอก ต้องให้เขารู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง จนเขาเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละ จนเขาดับความเกิดได้นั่นแหละ ดับความเกิด ละกิเลสได้หมดจดนั่นแหละถึงวางให้เป็นอิสระ จนสติปัญญาไปเกิดแทนได้ สติของเราจะอยู่กับใจก็ได้ อยู่กับกายก็ได้ ยกกายขึ้นมาพิจารณา ยกใจขึ้นมาพิจารณา ใจของเราต้องว่างรับรู้
อันนี้พูดปลายเหตุ หลวงพ่อต้องย้ำอยู่ที่ต้นเหตุให้เห็นเสียก่อน ว่าต้องเห็นการก่อตัว การเกิด การทำความเข้าใจ ย้ำลงไปอีก ต้องให้รู้จักวิธีการเจริญสติให้ได้ต่อเนื่องทุกอิริยาบถอย่าให้ขาดตอน ถ้าความพลั้งเผลอเริ่มขึ้นใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มขึ้นใหม่ ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้ว ตามทำความเข้าใจได้แล้ว หมดความสงสัยแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครชี้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครบอก
อย่ากระโดดข้ามขั้น เราจะขึ้นบันไดจะกระโดดขึ้นถึงตัวเรือนเลยเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องค่อยขึ้นจากขั้นแรก สองขั้น สามขั้น ขึ้นถึงตัวเรือน ก่อนที่จะถึงขั้นแรกจิตใจของเราเป็นอย่างไร น้อมเข้ามาไหม เราเจริญสติได้ต่อเนื่องไหม เราแจงได้ไหม เราดับเราละได้ไหม ตามทำความเข้าใจได้หรือไม่ จนขึ้นถึงตัวเรือน คือแยกรูปแยกนาม อะไรคือวิญญาณ อะไรคือรูป หรือแยกออกตรงไหน ถ้าเราเจริญสติเข้าไปให้ต่อเนื่องเราก็จะเห็น ไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยกได้ เพียงแค่แยกเท่านั้นเอง ในนี้เพียงแค่เริ่มต้นที่ถูกต้อง ก่อนที่จะปัดกวาดกิเลสออกจากตัวเรือนของเราให้หมด คือออกจากใจของเราให้หมดจดอีก ต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวดอีก คนทั่วไปก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง
รู้จักทำบุญ รู้จักให้ทาน ก็แค่นั้นก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำ ค่อยสร้างสะสมกันไป ถ้าคนขยันหมั่นเพียร ยืน เดิน นั่ง นอน นี่จะไม่ให้คลาดสายตาของสติปัญญาได้เลย จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ในการละกิเลส เราจะละแค่ครั้งหนึ่งสองครั้ง มันเป็นไปไม่ได้ เราต้องละจนมันหมดจดนั่นแหละ จนไม่ต้องกลับมาเกิดกันนั่นแหละ ถึงมันไม่หมดวันนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องหมด ไม่หมดพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า มันไม่หมดจริงๆ โน่นน่ะจะไปต่อเอาภพหน้านั่น เพราะว่ามันต้องติดตามตัวเราไป
เราต้องคอยแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องของคนอื่นเขา เรามาจัดการกับตัวเรา แก้ไขของเรา เราทำหน้าที่การงานของเราให้มันดี อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุขยิ่งอยู่หลายคนด้วยกัน หลายคนหลายท่านก็ยิ่งเพิ่มความรับผิดชอบ ความเสียสละให้กับตัวเรา ให้กับหมู่ให้คณะ ถ้าเราไม่มีความเสียสละแล้ว เราอยู่ที่ไหนใจของเราก็จะไม่ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ