หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 120

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 120
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 120
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เป็นหน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะสำรวจใจสำรวจกายของตัวเราอยู่ตลอดเวลา

คำว่าความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาใหม่เป็นอย่างไร ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร จะลุกจะก้าวจะเดินใจยังนิ่งอยู่หรือไม่ สติปัญญาพากายไปใจรับรู้ แต่เวลานี้กำลังสติของเราอาจจะไม่มีเลย มีตั้งแต่สติปัญญาของโลกีย์ของโลกเท่านั้น สติปัญญาที่จะไปรู้ใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร เราไม่เคยสังเกต ไม่เคยวิเคราะห์เลย รู้ตั้งแต่ว่าคิดก็รู้ ทำก็รู้ แล้วก็ส่งเสริม อาจจะถูกต้อง ถูกบ้างผิดบ้างอยู่ในระดับสมมติ แต่ในภาพรวมแล้วใจยังเกิดยังหลงอยู่ หลงเต็มพิกัดอยู่ เพราะยังแยกไม่ได้ คลายไม่ได้ อาจจะอยู่ในการทำบุญ การสร้างบารมี แต่การสังเกต การวิเคราะห์ การละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดไม่ค่อยจะศึกษาให้ละเอียดกันเท่าไร ก็ต้องพยายามนะได้เท่าไรก็เอา ทำไปอย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง

ระลึกรู้ รู้เวลาหายใจเข้าหายใจออก มีความรู้สึกรับรู้ มันก็ไม่ยากอะไรหรอก แต่พวกเราไม่สนใจกันเฉยๆ ซื้อก็ไม่ได้ซื้อ ขายก็ไม่ได้ขาย แต่การทำบุญให้ทานพวกเราได้มีโอากาสได้ทำร่วมกัน ได้สร้างร่วมกัน ทางด้านวัตถุทาน แต่ทางด้านทานของใจแล้ว เราต้องหัดสังเกต หัดอบรมอยู่บ่อยๆ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในขันธ์ห้า ให้รอบรู้ในโลกธรรม โลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา สารพัดอย่าง ย่นย่อลงมา กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในการทำหน้าที่อย่างไร เจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลอยู่ตลอดเวลา

ความเกิดแม้แต่นิดเดียวเรายังไม่ให้เกิด เพียงแค่การเกิดของจิตวิญญาณนั้นเขาก็หลง เขาหลงมาตั้งนานแล้ว เขาหลง หลงอยู่ตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาในภพมนุษย์ เขาหลงวนเวียนว่ายตายเกิดจนกระทั่งมาก่อร่างสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวใจเอาไว้ แล้วใจก็มายึดต่ออีก ยึดต่อ เกิดต่ออีก เป็นทาสของกิเลสอีก สารพัดอย่าง พระพุทธองค์ท่านถึงได้ให้มาเจริญสติลงที่กายให้ได้เสียก่อน แล้วก็ไล่เรียงลงไปให้อบรมใจให้ได้อีก คลายความหลง คลายขันธ์ห้าให้ได้อีก ละกิเลสออกจากใจให้ได้อีก ดับความเกิดของใจให้ได้อีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจ เพียงแค่ระดับของสมมติระดับโลกธรรมก็ยังไม่รู้จักวิเคราะห์ ทำอย่างไรสมมติถึงจะอยู่ดีมีความสุข ทำอย่างไรสมมติถึงจะไม่ได้ลำบาก เพียงแค่ระดับของสมมตินะ ภายนอกโลกธรรม ก็ยังไม่ทำความเข้าใจมันก็เลยยาก

ถ้าแยกข้างในไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้มันก็ยากที่จะเข้าใจในเรื่องสมมติวิมุตติ มันก็จะรู้อยู่ตั้งแต่ชื่อ แต่ไม่เคยรู้ว่าใจที่แยกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่แยกจากของที่คว่ำเป็นอย่างไร เพราะว่ากำลังสติรู้จักวิธีสร้างก็นิดๆ หน่อยๆ แต่ไม่รู้จักวิธีเอาไปใช้ เอาไปรู้ไปเห็น เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล แต่มันก็ไม่เหลือวิสัยหรอก สักวันหนึ่งก็ต้องรู้ความเป็นจริง ตราบใดที่เรายังดำเนิน ยังแสวงหาอยู่ ถ้าไม่ถึงเวลามันก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าวิบากกรรมสมมติมันไม่คลาย ทำไมถึงว่าพูดอย่างนั้นเพราะว่ายังไม่ถึงเวลา เหมือนเราปลูกต้นไม้สักต้น จะเร่งให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ ต้องอาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยการดูแล อาศัยการให้น้ำให้ปุ๋ย ถึงเวลาเขาเติบโตเขาก็ออกดอกออกผล เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลก็เหมือนกัน ก็ได้เหมือนกัน

ตัวใจเขาจะค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ ค่อยพัฒนาสติปัญญา เขาค่อยพัฒนาเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ถึงวาระเวลาหนึ่งเขาเต็มอิ่มเขาก็จะคลาย ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบหรือเปล่า เรามีความเสียสละ เรามีสัจจะกับตัวเองหรือไม่ คำว่าคำสอนของพระพุทธองค์หมายความว่าอย่างไร อัตตาหมายความว่าอย่างไร อนัตตาหมายความว่าอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร มันจะค่อยไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ

เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นกับเราทำไมท่านถึงว่าเป็นกองเป็นขันธ์ คำว่าทุกข์ ในภาษาธรรมกับภาษาโลก เราก็อาจจะไปมองเห็นตั้งแต่ส่วนกายมันทุกข์ ได้รับทุกขเวทนา ความไม่เที่ยงนั่นแหล่ะความหมายของภาษาธรรม ความไม่เที่ยง ทุกอย่างเกิดขึ้นมาตั้งแต่เกิดไม่เที่ยงสักอย่าง ตราบใดที่มีการเกิดก็มีการตาย ทีนี้เกิดทางด้านรูปธรรม เกิดทางด้านจิตวิญญาณ เกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ จิตวิญญาณยังไม่พอนะ เขายังมาสร้างขันธ์ห้า ขันธ์ห้าในกายของเรานี่แหล่ะ ยังมาปรุงแต่งใจของเราซึ่งเป็นส่วนนามธรรมเหมือนกัน

ส่วนรูปหรือว่าส่วนกายนี้ยังตั้งเอาไว้อยู่ ส่วนความคิด ส่วนอารมณ์ เขาเกิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวไปสังเกต ไปวิเคราะห์ รู้ไม่ทันรู้จักหยุด รู้จักดับ อดทนอดกลั้น อดพูดอดคิด สังเกตดูความคิด จัดระบบระเบียบ ลองดูสิ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ลองฝืนกันดูสักตั้งดูสิ

เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตใจ มีศรัทธาน้อมเข้ามาแล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้หรือไม่ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การให้อภัย อโหสิกรรมเป็นอย่างนี้ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่เห็นแก่ตัว แม้แต่การเกิดของใจ ความอยาก อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา มันก็ปิดกั้นเอาไว้หมด ท่านถึงว่าละความอยาก ละความหวัง ให้รู้จักการเจริญสติ เจริญสติก็ไม่รู้จักว่าสติคืออะไร ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ปกติเป็นอย่างไร อะไรคือตัวธรรม อะไรคือตัวสติ

ใจเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง เราต้องมาแยก เพราะว่าถ้าไม่หลงเขาไม่เกิดหรอก เขาไม่เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก แต่เราก็มายึดมั่นหมายเอาในกายของมนุษย์ กายของมนุษย์นี่ก็เป็นของเราอยู่ในระดับของสมมติ พระพุทธองค์แทงลงไปจนไม่เหลืออะไร จนมองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง มีแต่ความว่าง กายเนื้อแตกดับ ใจก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน มองเห็นหนทางเดินตราบใดที่ยังเกิดก็ขอให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ พยายามสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ฝักใฝ่สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี หลวงพ่อก็พาทำอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ก็ขอขอบใจทุกคน ทั้งพระทั้งชีมีอะไรก็ช่วยกัน ฆราวาสญาติโยมมาก็ช่วยกัน

ตามหลักของความเป็นจริง เราเจริญสติตั้งแต่ตื่นขึ้นมา หมั่นอบรมใจของเราตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่นั่นแหละ เป็นคนที่ได้เข้าวัดก่อนเพื่อน ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไข อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไข งานสมมติเราก็ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ เพราะว่าเรายังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ กายของเราก็ยังอาศัยกินอยู่หลับนอน ที่พักสะดวกสบาย สมมติก็ไม่ได้ลําบาก จะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักทำ มันก็ไม่เข้าถึงธรรม การปล่อย การละ การวาง ถ้าไม่รู้จักจุดปล่อย ไม่รู้จักจุดวางมันก็วางไม่ได้ ได้ตั้งแต่คิดนึกเอาก็ปิดกั้นตัวเอง

การเจริญสติ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว ทำความเข้าใจ หมั่นขยันหมั่นเพียร ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ เจริญสติเข้าไปต่อเนื่องเท่าไร ยิ่งเห็นการเกิดของใจเยอะ เห็นความเกิดของขันธ์ห้าเยอะ เห็นกิเลสเยอะ เห็นแล้วตามดู เราจะละวิธีไหน เราจะเอาวิธีไหนไปละ ใจเกิดความโลภก็ละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก เรามีความเกียจคร้านก็เพิ่มความขยันหมั่นเพียร ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าจะไปถามหาที่โน่น ปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ไม่รู้เรื่องเลย นี่ถ้าเราเข้าใจอยู่ที่บ้าน กลางโรงหนัง กลางตลาด ถ้าเรามีสติรู้ใจของเรา นั่นแหละเป็นการปฏิบัติ

การละกิเลส กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราดับเมื่อนั้น ไม่ใช่ว่าจะไปนุ่งขาวห่มขาว แล้วไปวัดแล้วจะเข้าใจเลย มันไม่ใช่ เราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รีบแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ภาระหน้าที่สมมติก็รู้จักช่วยเหลือตัวเอง ขยันหมั่นเพียร ไม่ไปโยนภาระให้คนโน้น โยนภาระให้คนนี้ ถ้าเราเข้าใจแล้วก็เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ จากความรับผิดชอบแล้วขยันหมั่นเพียร ยังประโยชน์ของสมมติไม่จบไม่สิ้น ประโยชน์ระดับของสมมติ ประโยชน์ระดับวิมุตติ ส่วนกิเลสภายในเราทั้งจัดการให้จบ ให้เรียบร้อย ขณะยังมีลมหายใจ ก็ต้องพยายามนะ เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

พระเราวันนี้ ช่วยกันไปวางเสาไฟให้หน่อยนะ ขุดหลุมวางเสาไฟ ริมๆ บ่อน้ำ จะได้มีแสงสว่าง ขโมยขโจรเข้ามาลักปลาอยู่ตลอด ขุดโน่นขุดนี่ก็ไปลักไปขโมย ก็ดูแลช่วยกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง