หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 024
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 024
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากตัวใจของเราเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ เขาเรียกว่าสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เวลาลมหายใจเข้า หายใจออก ให้เชื่อมโยง เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ พยายามรู้ลักษณะของการเจริญสติ แล้วก็พยายามทำให้ต่อเนื่อง ใหม่ๆ ก็อาจจะพลั้งเผลอหรือว่าอึดอัด
เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน หายใจละเอียด หายใจยาวเป็นอย่างนี้ ออกยาว เข้ายาว ออกสั้น เข้าสั้น มีความรู้สึกรับรู้เป็นลักษณะนี้ การรู้สึกที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราทำได้ให้เกิดความเคยชิน เราก็จะรู้การเกิดการดับของวิญญาณในกายของเรา รู้การเกิดการดับของความคิด วิญญาณกับอาการของวิญญาณเขาร่วมกันได้อย่างไร เขาจะคลายออกจากกันได้อย่างไร ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เราก็จะเห็น เห็นอาการของวิญญาณในกายของเรา เรารู้ไม่ทันต้นเหตุ
เราก็พยายามเจริญสติเข้าไปควบคุม เขาเรียกว่าสมถะ เข้าไปหยุด เข้าไปดับ ดับให้เขาสงบ แล้วก็เอาใหม่ เขาเกิดขึ้นมาใหม่ก็สังเกต ถ้าสังเกตทันอาการของความคิดกับตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ใจจะแยกออกจากความคิดเอง เราไม่ต้องไปจับเขาแยกหรอก เขาจะดีดออกจากความคิด ถ้าเรารู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เหมือนกับเราเห็นขโมยที่จะเข้าบ้าน พอเรารู้เห็นเท่าทัน มันจะรีบเผ่นทันทีเลย ถ้าเราเห็นความคิดผุดขึ้นมา ตัวใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมอีกๆ ถ้าเห็นตอนนั้นเวลานั้น ถ้าเรารู้ทันปุ๊บ จิตมันจะดีดออก มันจะหงายๆ เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ แต่ก่อนนี้ฝ่ามือนี้อยู่ข้างล่าง หลังมืออยู่ข้างบน ถ้าตัวใจเคลื่อนออกจากความคิดเหมือนกับฝ่ามือหงายขึ้น หลังมือก็อยู่ข้างล่าง ฝ่ามือก็อยู่ข้างบน นั่นแหละสมมติกับวิมุตติ
ในหลักธรรมเขาเรียกว่าสมมติกับวิมุตติ พอหงายขึ้นมาแล้วใจก็จะว่าง กายของเราที่ตัวตนหนักๆ นี้ก็จะเบา แต่กายก็ยังมีอยู่ ให้ตามดูความคิดเกิดๆ ดับๆ ใจก็ว่างรับรู้อยู่ นั่นแหละเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้าของตัวเรา แล้วก็ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจรับรู้ สติตามดู แล้วก็ชี้เหตุ ชี้ผล เห็นเหตุ เห็นผล ตามดู
ใจเกิดส่งออกไปภายนอกไปร่วมไปยินดีเมื่อไร เราก็หยุดควบคุม ใจจะเกิดกิเลสเราก็ละ ด้วยการเจริญพรหมวิหาร ด้วยการสร้างความเพียร สร้างตบะบารมีในสิ่งตรงกันข้าม พยายามทำบ่อยๆ ศึกษาบ่อยๆ ใหม่ๆ ท่านยังบอกเอาไว้ว่า อย่าเอาความคิดเก่าปัญญาเก่า ถึงจะมีมากมายถึงขนาดไหน ก็อย่าเพิ่งเอามาคิด เอามาโต้แย้ง ถ้าท่านให้เจริญสติเข้าไปรู้ ไปเห็น ไปแยก ไปคลาย ทำความเข้าใจให้ได้
ท่านถึงบอกให้เชื่อ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับ การหยุดเป็นอย่างนี้ สมถภาวนาเป็นอย่างนี้ ใจมันคลายออกวิปัสสนาญาณเป็นอย่างนี้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงเป็นอย่างนี้ ใจมันเกิดกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเป็นอย่างนี้ เราพยายามฝึก ศึกษาทำความเข้าใจให้มีความสุขสนุกในการดู ในการรู้ ในการเห็น ในการทำความเข้าใจ หมดความสงสัย หมดความลังเล ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย เอาตั้งแต่ความคิดเก่า ปัญญาเก่า เข้ามาค้น เข้ามาหา เข้ามาพิจารณา นั่นมันปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมดแล้ว
เพียงแค่การเกิดของจิตวิญญาณ ความคิดตรงนี้มันหลงมานาน มันเกิดมานาน เขาก็มีเหตุมีผลเหมือนกัน แต่กําลังสติของเรา เพียงแค่การเจริญให้ต่อเนื่องก็ทั้งยาก มันจะไปสู้เขาได้อย่างไร ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะได้ธรรม อยากจะรู้บุญ อยากจะเห็น อะไรมันปิดกั้นของมันเอาไว้หมด เราต้องพยายามกัน มันไม่เหลือวิสัยหรอก ล้มแล้วขึ้นมา ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ไม่รู้วันนี้ก็ต้องรู้พรุ่งนี้ ไม่รู้พรุ่งนี้ก็เดือนหน้า ปีหน้า ไม่ถึงจุดหมายจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถกันนะ
เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน หายใจละเอียด หายใจยาวเป็นอย่างนี้ ออกยาว เข้ายาว ออกสั้น เข้าสั้น มีความรู้สึกรับรู้เป็นลักษณะนี้ การรู้สึกที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราทำได้ให้เกิดความเคยชิน เราก็จะรู้การเกิดการดับของวิญญาณในกายของเรา รู้การเกิดการดับของความคิด วิญญาณกับอาการของวิญญาณเขาร่วมกันได้อย่างไร เขาจะคลายออกจากกันได้อย่างไร ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เราก็จะเห็น เห็นอาการของวิญญาณในกายของเรา เรารู้ไม่ทันต้นเหตุ
เราก็พยายามเจริญสติเข้าไปควบคุม เขาเรียกว่าสมถะ เข้าไปหยุด เข้าไปดับ ดับให้เขาสงบ แล้วก็เอาใหม่ เขาเกิดขึ้นมาใหม่ก็สังเกต ถ้าสังเกตทันอาการของความคิดกับตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ใจจะแยกออกจากความคิดเอง เราไม่ต้องไปจับเขาแยกหรอก เขาจะดีดออกจากความคิด ถ้าเรารู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เหมือนกับเราเห็นขโมยที่จะเข้าบ้าน พอเรารู้เห็นเท่าทัน มันจะรีบเผ่นทันทีเลย ถ้าเราเห็นความคิดผุดขึ้นมา ตัวใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมอีกๆ ถ้าเห็นตอนนั้นเวลานั้น ถ้าเรารู้ทันปุ๊บ จิตมันจะดีดออก มันจะหงายๆ เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ แต่ก่อนนี้ฝ่ามือนี้อยู่ข้างล่าง หลังมืออยู่ข้างบน ถ้าตัวใจเคลื่อนออกจากความคิดเหมือนกับฝ่ามือหงายขึ้น หลังมือก็อยู่ข้างล่าง ฝ่ามือก็อยู่ข้างบน นั่นแหละสมมติกับวิมุตติ
ในหลักธรรมเขาเรียกว่าสมมติกับวิมุตติ พอหงายขึ้นมาแล้วใจก็จะว่าง กายของเราที่ตัวตนหนักๆ นี้ก็จะเบา แต่กายก็ยังมีอยู่ ให้ตามดูความคิดเกิดๆ ดับๆ ใจก็ว่างรับรู้อยู่ นั่นแหละเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้าของตัวเรา แล้วก็ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจรับรู้ สติตามดู แล้วก็ชี้เหตุ ชี้ผล เห็นเหตุ เห็นผล ตามดู
ใจเกิดส่งออกไปภายนอกไปร่วมไปยินดีเมื่อไร เราก็หยุดควบคุม ใจจะเกิดกิเลสเราก็ละ ด้วยการเจริญพรหมวิหาร ด้วยการสร้างความเพียร สร้างตบะบารมีในสิ่งตรงกันข้าม พยายามทำบ่อยๆ ศึกษาบ่อยๆ ใหม่ๆ ท่านยังบอกเอาไว้ว่า อย่าเอาความคิดเก่าปัญญาเก่า ถึงจะมีมากมายถึงขนาดไหน ก็อย่าเพิ่งเอามาคิด เอามาโต้แย้ง ถ้าท่านให้เจริญสติเข้าไปรู้ ไปเห็น ไปแยก ไปคลาย ทำความเข้าใจให้ได้
ท่านถึงบอกให้เชื่อ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับ การหยุดเป็นอย่างนี้ สมถภาวนาเป็นอย่างนี้ ใจมันคลายออกวิปัสสนาญาณเป็นอย่างนี้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงเป็นอย่างนี้ ใจมันเกิดกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเป็นอย่างนี้ เราพยายามฝึก ศึกษาทำความเข้าใจให้มีความสุขสนุกในการดู ในการรู้ ในการเห็น ในการทำความเข้าใจ หมดความสงสัย หมดความลังเล ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย เอาตั้งแต่ความคิดเก่า ปัญญาเก่า เข้ามาค้น เข้ามาหา เข้ามาพิจารณา นั่นมันปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมดแล้ว
เพียงแค่การเกิดของจิตวิญญาณ ความคิดตรงนี้มันหลงมานาน มันเกิดมานาน เขาก็มีเหตุมีผลเหมือนกัน แต่กําลังสติของเรา เพียงแค่การเจริญให้ต่อเนื่องก็ทั้งยาก มันจะไปสู้เขาได้อย่างไร ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะได้ธรรม อยากจะรู้บุญ อยากจะเห็น อะไรมันปิดกั้นของมันเอาไว้หมด เราต้องพยายามกัน มันไม่เหลือวิสัยหรอก ล้มแล้วขึ้นมา ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ไม่รู้วันนี้ก็ต้องรู้พรุ่งนี้ ไม่รู้พรุ่งนี้ก็เดือนหน้า ปีหน้า ไม่ถึงจุดหมายจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถกันนะ