หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 56
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 56
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 56
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรารีบวิเคราะห์กายของเราใจของเราให้เป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ใจเกิดอย่างไร การก่อตัวของใจเป็นอย่างไร อะไรคือส่วนปัญญา ส่วนสติที่เราสร้างขึ้นมากลายเป็นปัญญาได้อย่างไร การทำความเข้าใจภาษาธรรมภาษาโลก ใจเกิดนั่นแหละเขาเรียกว่า อัตตาเกิด ถึงไม่ยึด เพียงแค่การเกิดการปรุงการแต่งเขาเรียกว่า อัตตาเกิด
อัตตาเกิดทั้งตัวทั้งตนนี่เขาเรียกว่า อัตตาตัวตน ในระดับเปลือกในระดับของสมมติ การก่อตัวของใจอีก อัตตาเกิด เกิดแล้วยังไม่พอ ยังไปรวมกับขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจรวมกันไปอีกหลายชั้น ก็จะค่อยขัดเกลา เลาะลงไปเรื่อยๆ ก็ต้องใช้ตบะบารมีอย่างแรงกล้า ความเสียสละ ความอดทน การสังเกต การวิเคราะห์ การดับ การละ การเจริญพรหมวิหาร ค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็เห็นการเกิดการดับ เข้าใจในความหมายของคําสอนของพระพุทธองค์
ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเต็มเปี่ยมหรือเปล่า ความรับผิดชอบของเรามีเต็มที่หรือไม่ ไม่เห็นแก่ตัว ความเสียสละ มีพรหมวิหาร ความเมตตา มองโลกในทางที่ดี คิดดี จนดับความเกิดได้ ละความเกิดได้ หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทนได้ทุกเรื่องด้วยปัญญา สนุกสร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน สร้างบารมีกัน แต่เวลานี้เราสร้างบารมีสร้างอานิสงส์กันทั้งก้อน ทั้งใจทั้งขันธ์ห้าทั้งสติปัญญารวมกันไปหมด เราไม่ได้คลายใจออก รับรู้ในสิ่งที่เราทำ เพราะว่ายังไม่ถึงเวลากระมัง ถึงเวลาก็ต้องรู้ต้องเห็นต้องเข้าใจ ตราบใดที่ยังดำเนินอยู่ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง
ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ แต่เราต้องเห็นความเกิดความดับภายในของเรา คือเห็นจิตใจของเรา เราต้องดู รู้ให้เท่าทัน การเกิดของวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในกายของเราทำไมถึงไปหลง ทำไมถึงเกิดอัตตาตัวตน ตัวไหนที่เราจะเอาเข้าไปดูนี่แหละ ตัวสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ส่วนมากสร้างกันได้นิดๆ หน่อยๆ ปล่อยปละละเลย ไม่รู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง ไม่รู้จักเอาไปใช้ เอาไปทำการทำงาน เอาไปแก้ไขใจ ผิดถูกชั่วดีเขาก็มีอยู่ แต่ใจไปแก้ใจนั้นไม่ได้ มีตั้งแต่หยุดระงับเลย ดับเลย ต้องเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล แยกคลายออก ตามดูรู้ความเป็นจริงจนใจยอมจำนน ยอมรับความเป็นจริง เราก็ดับความเกิดของใจ แต่ละชั้นๆ
การพูดง่ายอยู่สำหรับบุคคลที่มีความเพียรผ่านมาแล้ว แต่มันยากสำหรับบุคคลที่ยังไม่เข้าใจ ท่านถึงบอกว่าเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส บุคคลที่สร้างบุญมาดีตั้งแต่ภพก่อน มาสร้างต่ออยู่ปัจจุบันอีกมันก็ไปได้เร็วได้ไว ไม่มีข้อโต้แย้ง ถ้าแยกได้คลายได้ ตามดูได้ละได้ หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนได้ ทีนี้ก็ไม่ปล่อยโอกาสทิ้งทั้งภายในภายนอก งานภารกิจภายในก็พยายามทำให้มันจบ งานสมมติภายนอกก็พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบุญให้เต็มเปี่ยมเท่าที่โอกาสจะเอื้ออํานวยให้ ได้ทั้งสมมติได้ทั้งวิมุตติ ก็มีแต่ความสุข
บางคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้ มีแต่หลบแต่หลีก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ไปที่ไหนก็แบกแต่กองทุกข์ อยู่คนเดียวก็ทุกข์ อยู่หลายคนก็ทุกข์ ถ้าไม่ต่อสู้กับความเป็นจริง แก้ไขความเป็นจริงให้ใจของเราสงบสะอาดบริสุทธิ์ อยู่กับขณะที่เรายังยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ขณะอยู่กับกองเพลิง ยืน เดิน นั่ง นอน จะพูดจะจาใจก็ต้องสงบจากการเกิด ต้องแยกต้องแยะต้องคลาย ต้องละต้องดับใจไม่มีกิเลสเขาก็สะอาด ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง การเกิดของใจมันเร็วมันไวปุ๊บปั๊บๆ บางทีก็เป็นเรื่องเป็นราว บางทีก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราว เราก็ใช้สมถะเข้าไปหยุดเข้าไปดับ ขอให้เรารู้ให้ชัดเจนว่าอะไรคือสติที่เราสร้างขึ้นมา เราก็เอาไปใช้การใช้งานให้ได้ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันได้ปั๊บ
ถ้าเราเข้าใจในเรื่องจิตวิญญาณของเรา รู้จักแก้ไข น้อมนําเอาปัญญาไปใช้ไปทำหน้าที่แทนได้ก็จะส่งผลถึงวันข้างหน้า ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้นได้เร็วได้ไว ส่วนมากก็ทำด้วยความอยาก ทั้งอยาก ทั้งหวัง ทั้งยึดในหลักธรรมท่านให้ละทั้งความอยาก ละทั้งความหวัง แต่การบริหารด้วยปัญญา ให้มีรับผิดชอบด้วยปัญญา ด้วยสติด้วยปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน บางคนก็ปิดกั้นตัวเองว่าหมดสมัย ไม่มีแล้วนิพพาน ไม่มีแล้ว สมัยก่อน 30 กว่าปีก่อน พูดเรื่องนี้นี่โดนโจมตีหนัก หมดสมัยไม่มีโอกาสไม่มีเวลาไม่มีแล้ว มันไม่ใช่ มีอยู่ทุกขณะ ทุกลมหายใจเข้าออก ใจของเรานี้ไม่เกิด ใจของเราปราศจากกิเลส ใจของเราว่างจากความยึดมั่นถือมั่น รู้ให้ได้เข้าให้ถึง ให้ประกาศด้วยตัวเองว่าใจของเราเป็นอะไร เป็นอย่างไร นั่นแหละ ไม่ต้องจำเป็นต้องให้ไปเที่ยวให้คนเขาประกาศให้ เรารู้ใจของเราว่าใจของเราสะอาดบริสุทธิ์
ใจของเราละความเกิดได้หรือไม่ ละขันธ์ห้าได้หรือไม่ ใจของเราละความกลัวได้หรือเปล่า กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจส่งเสริมหรือเปล่า ความอยากเกิดขึ้นที่ใจ เรารู้จักหยุดรู้จักดับ ใช้ปัญญาแก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็จะประกาศเห็นด้วยตัวเอง ท่านถึงบอกว่าให้เชื่อ ปฏิบัติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ จิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง มีความอ่อนโยน เราต้องละ เราต้องดับ
บวชเข้ามาแล้วก็เหมือนกัน แทนที่จะขยันหมั่นเพียรในการขัดเกลากิเลส กลับสร้างสะสมกิเลส น่าละอายนะพระเรา แต่ไม่รู้จักขัดเกลากิเลส ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา ทำหน้าที่ของปัญญา เข้ามาแล้วก็พยายามทำภารกิจของเราให้มันจบ บ้างก็หอบกิเลสเข้ามาปิดทับถมดวงใจของตัวเอง
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันเสียก่อนนะ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง หรือว่ามีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา แล้วก็วิ่งตามความนึกคิดปรุงแต่งของตัวเอง นั่นแหละอวิชชาความหลงอยู่ตลอดเวลา เราถึงให้มาเจริญสติให้ได้ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง แล้วก็ไปอบรมใจของเรา แจงให้ออกว่าอะไรคือส่วนของสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือลักษณะของใจ อะไรคือลักษณะของอาการของขันธ์ห้า เราจะได้ค่อยไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ
ส่วนใจนั้นเป็นบุญอยู่ตลอดเวลา ฝักใฝ่ในบุญ มีศรัทธา การกระทำการปฏิบัติในระดับของสมมติ ก็อยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ แต่การเจริญสติตรงนี้แหละไม่ค่อยจะต่อเนื่อง แล้วก็ไปเอาปัญญาไปแก้ไขทั้งใจ ทั้งสมมติ มันก็เลยอีรุงตุงนังไปทั้งก้อน ผิดก็ผิดทั้งก้อน ถูกก็ถูกทั้งก้อน ก็เลยเป็นวงกลมหมุนกันไป กลิ้งกันไปอยู่อย่างนั้น
ในหลักธรรมท่านให้สังเกต ท่านให้วิเคราะห์ ถ้าใจคลายออกเหมือนกับตัดวงกลมได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ วงกลมก็ไม่มีโอกาสที่จะเชื่อมต่อกันได้ก็เรียกว่า แยกรูปแยกนาม วิปัสสนา ละกิเลส ดับความเกิด คลายความหลง ละกิเลสให้มันหมดจด กําลังสติพุ่งแรงจนถึงจุดหมายปลายทาง ขัดเกลากิเลสออกให้มันหมด บริหารชีวิตด้วยปัญญาล้วนๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ก็มีกันทุกที่นั่นแหละ การทำความเข้าใจ การสํารวจก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ให้ต่อเนื่องกัน สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเขาเรียกว่า ครูบาอาจารย์ คอยตรวจสอบใจของเรา อบรมใจของเรา จนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง แยกได้มองเห็น สติตามดู ให้ใจรับรู้เห็นความเป็นจริงได้ เพียงแค่การเกิดของใจ อัตตาก็เกิด ถึงไม่มีความโลภ ความโกรธ ความอยาก เข้าไปเจือปนก็ช่าง เราก็ต้องพยายาม พยายามแก้ไขชีวิตของเราเท่าที่ทำได้ เท่าที่โอกาสเอื้ออํานวย
ทุกคนก็ปฏิบัติกันมาดีแล้วแหละ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้กิเลสนี้มีมาทีหลัง เราก็มาขัดเกลาออก ขัดเกลาเอาออกอีกจนไม่เหลือ จนบริหารด้วยปัญญา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อย ก็เป็นเรื่องของปัญญา บริหารสมมติให้มีความสงบความสุข ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี โอกาสสร้างบุญเราสร้างได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ เพียงแค่ปรับแก้ไขจิตใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศล สมมติภายนอกเราก็มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น ขยันหมั่นเพียรขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็จะสมบูรณ์แบบทั้งสมมติทั้งวิมุตติ เราสนุกสร้างบุญ โอกาสเปิดให้ตลอดเวลา ทางวัดก็เปิดโอกาสให้กับทุกคนได้มาร่วมบุญกัน จากกองน้อยๆ ก็เป็นบุญกองใหญ่มหึมา ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้ในใจของเราทุกคน
พวกแม่ชีต่างๆ พากัน ทั้งชี ทั้งญาติทั้งโยม ว่างๆ ก็พากันไปร่วมกันติดหินกาบที่ห้องน้ำให้หน่อยนะ เดี๋ยวจะไม่ทันเสร็จก่อนวันที่ 1 มิถุนายน ได้ใช้การใช้งานใหญ่ กําแพงด้านนอกช่วยกันติดปิดหินกาบ หินกาบที่เอามากองเอาไว้ทางฝั่งตะวันออก ช่วยกันติดไม่นานเดี๋ยวก็เสร็จ เสร็จแล้วก็จะได้ใช้ประโยชน์ได้เยอะ ใครไปใครมาก็จะได้ไม่ได้ลําบาก เรื่องห้องส้วมห้องน้ำนี่ลําบากมากจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เราก็ช่วยกัน ถ้าคนเราไม่มีความเป็นระเบียบในตัวเองแล้วมันก็ยาก ถ้าคนเรามีความเป็นระเบียบในตัวเรา แล้วมันก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก การฝึกหัดปฏิบัติใจนี่มันก็จะไปได้เร็วได้ไว ความเป็นระเบียบให้เราทำจากภายในสู่ภายนอก จากภายนอกเข้าสู่ภายใน มองข้างบนข้างล่าง มองกลางใจของตัวเรา เราได้ทำประโยชน์ให้กับตัวเราให้กับคนอื่น ใจของเราผลักไสหรือไม่ อคติหรือเปล่า เพ่งโทษหรือไม่ เราก็จะได้แก้ไขใจเรา เราก็จะได้ปฏิบัติ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ
ตื่นขึ้นมาสติรู้ใจ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจของเราเป็นอย่างไร กําลังสติเราหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ใจไปนึกเอาก่อน ขันธ์ห้ามาคิดมาปรุงมาแต่งก่อน เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ‘ความหลง’ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็ยังหลงนะ หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ในภพของมนุษย์ใจยังไปต่ออีก ยังคิด ยังปรุงแต่ง ยังเป็นทาสของกิเลสอีก เราต้องมาขัดมาเกลามาคลายออก ขณะที่ยังอาศัยกายอยู่นี่แหละ ในกายเนื้อของมนุษย์นี้แหละ ภพภูมิอื่นก็ลําบาก
พระพุทธองค์ท่านถึงได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็มาค้นพบ มาขัดเกลา มาแยกแยะ แล้วก็เปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ว่ากายของเรานี่มีอะไรที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกอะไรต่างๆ นิวรณธรรม มลทิน ท่านบัญญัติเอาไว้ให้ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ชื่อลักษณะอาการหน้าตาอย่างนั้น หน้าตาอย่างนี้ มีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเจริญสติเข้าไปค้นคว้าให้ถึงฐานเดิมของใจหรือไม่เท่านั้นเอง
แต่การสร้างบุญสร้างอานิสงส์ก็มีกันอยู่ ถึงเวลามันก็ต้องถึงจุดหมายไม่ถึงช้าก็ต้อง ถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็เดือนหน้า ปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำจะไปต่อเอาภพหน้า อย่าทิ้งบุญเด็ดขาด พยายามให้ใจของเราอยู่ในกองบุญเอาไว้ บุญมากบุญน้อย ทำมากทำน้อยก็เป็นอานิสงส์ของเรา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง อย่าไปปิดกั้นตัวคนอื่น เห็นคนอื่นทำแล้วก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย อยากจะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ก็ต้องขัดเกลากิเลสออกได้อีก จนดับความเกิดได้อีก จนมองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรารีบวิเคราะห์กายของเราใจของเราให้เป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ใจเกิดอย่างไร การก่อตัวของใจเป็นอย่างไร อะไรคือส่วนปัญญา ส่วนสติที่เราสร้างขึ้นมากลายเป็นปัญญาได้อย่างไร การทำความเข้าใจภาษาธรรมภาษาโลก ใจเกิดนั่นแหละเขาเรียกว่า อัตตาเกิด ถึงไม่ยึด เพียงแค่การเกิดการปรุงการแต่งเขาเรียกว่า อัตตาเกิด
อัตตาเกิดทั้งตัวทั้งตนนี่เขาเรียกว่า อัตตาตัวตน ในระดับเปลือกในระดับของสมมติ การก่อตัวของใจอีก อัตตาเกิด เกิดแล้วยังไม่พอ ยังไปรวมกับขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจรวมกันไปอีกหลายชั้น ก็จะค่อยขัดเกลา เลาะลงไปเรื่อยๆ ก็ต้องใช้ตบะบารมีอย่างแรงกล้า ความเสียสละ ความอดทน การสังเกต การวิเคราะห์ การดับ การละ การเจริญพรหมวิหาร ค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็เห็นการเกิดการดับ เข้าใจในความหมายของคําสอนของพระพุทธองค์
ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเต็มเปี่ยมหรือเปล่า ความรับผิดชอบของเรามีเต็มที่หรือไม่ ไม่เห็นแก่ตัว ความเสียสละ มีพรหมวิหาร ความเมตตา มองโลกในทางที่ดี คิดดี จนดับความเกิดได้ ละความเกิดได้ หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทนได้ทุกเรื่องด้วยปัญญา สนุกสร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน สร้างบารมีกัน แต่เวลานี้เราสร้างบารมีสร้างอานิสงส์กันทั้งก้อน ทั้งใจทั้งขันธ์ห้าทั้งสติปัญญารวมกันไปหมด เราไม่ได้คลายใจออก รับรู้ในสิ่งที่เราทำ เพราะว่ายังไม่ถึงเวลากระมัง ถึงเวลาก็ต้องรู้ต้องเห็นต้องเข้าใจ ตราบใดที่ยังดำเนินอยู่ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง
ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ แต่เราต้องเห็นความเกิดความดับภายในของเรา คือเห็นจิตใจของเรา เราต้องดู รู้ให้เท่าทัน การเกิดของวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในกายของเราทำไมถึงไปหลง ทำไมถึงเกิดอัตตาตัวตน ตัวไหนที่เราจะเอาเข้าไปดูนี่แหละ ตัวสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ส่วนมากสร้างกันได้นิดๆ หน่อยๆ ปล่อยปละละเลย ไม่รู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง ไม่รู้จักเอาไปใช้ เอาไปทำการทำงาน เอาไปแก้ไขใจ ผิดถูกชั่วดีเขาก็มีอยู่ แต่ใจไปแก้ใจนั้นไม่ได้ มีตั้งแต่หยุดระงับเลย ดับเลย ต้องเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล แยกคลายออก ตามดูรู้ความเป็นจริงจนใจยอมจำนน ยอมรับความเป็นจริง เราก็ดับความเกิดของใจ แต่ละชั้นๆ
การพูดง่ายอยู่สำหรับบุคคลที่มีความเพียรผ่านมาแล้ว แต่มันยากสำหรับบุคคลที่ยังไม่เข้าใจ ท่านถึงบอกว่าเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส บุคคลที่สร้างบุญมาดีตั้งแต่ภพก่อน มาสร้างต่ออยู่ปัจจุบันอีกมันก็ไปได้เร็วได้ไว ไม่มีข้อโต้แย้ง ถ้าแยกได้คลายได้ ตามดูได้ละได้ หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนได้ ทีนี้ก็ไม่ปล่อยโอกาสทิ้งทั้งภายในภายนอก งานภารกิจภายในก็พยายามทำให้มันจบ งานสมมติภายนอกก็พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบุญให้เต็มเปี่ยมเท่าที่โอกาสจะเอื้ออํานวยให้ ได้ทั้งสมมติได้ทั้งวิมุตติ ก็มีแต่ความสุข
บางคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้ มีแต่หลบแต่หลีก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ไปที่ไหนก็แบกแต่กองทุกข์ อยู่คนเดียวก็ทุกข์ อยู่หลายคนก็ทุกข์ ถ้าไม่ต่อสู้กับความเป็นจริง แก้ไขความเป็นจริงให้ใจของเราสงบสะอาดบริสุทธิ์ อยู่กับขณะที่เรายังยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ขณะอยู่กับกองเพลิง ยืน เดิน นั่ง นอน จะพูดจะจาใจก็ต้องสงบจากการเกิด ต้องแยกต้องแยะต้องคลาย ต้องละต้องดับใจไม่มีกิเลสเขาก็สะอาด ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง การเกิดของใจมันเร็วมันไวปุ๊บปั๊บๆ บางทีก็เป็นเรื่องเป็นราว บางทีก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราว เราก็ใช้สมถะเข้าไปหยุดเข้าไปดับ ขอให้เรารู้ให้ชัดเจนว่าอะไรคือสติที่เราสร้างขึ้นมา เราก็เอาไปใช้การใช้งานให้ได้ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันได้ปั๊บ
ถ้าเราเข้าใจในเรื่องจิตวิญญาณของเรา รู้จักแก้ไข น้อมนําเอาปัญญาไปใช้ไปทำหน้าที่แทนได้ก็จะส่งผลถึงวันข้างหน้า ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้นได้เร็วได้ไว ส่วนมากก็ทำด้วยความอยาก ทั้งอยาก ทั้งหวัง ทั้งยึดในหลักธรรมท่านให้ละทั้งความอยาก ละทั้งความหวัง แต่การบริหารด้วยปัญญา ให้มีรับผิดชอบด้วยปัญญา ด้วยสติด้วยปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน บางคนก็ปิดกั้นตัวเองว่าหมดสมัย ไม่มีแล้วนิพพาน ไม่มีแล้ว สมัยก่อน 30 กว่าปีก่อน พูดเรื่องนี้นี่โดนโจมตีหนัก หมดสมัยไม่มีโอกาสไม่มีเวลาไม่มีแล้ว มันไม่ใช่ มีอยู่ทุกขณะ ทุกลมหายใจเข้าออก ใจของเรานี้ไม่เกิด ใจของเราปราศจากกิเลส ใจของเราว่างจากความยึดมั่นถือมั่น รู้ให้ได้เข้าให้ถึง ให้ประกาศด้วยตัวเองว่าใจของเราเป็นอะไร เป็นอย่างไร นั่นแหละ ไม่ต้องจำเป็นต้องให้ไปเที่ยวให้คนเขาประกาศให้ เรารู้ใจของเราว่าใจของเราสะอาดบริสุทธิ์
ใจของเราละความเกิดได้หรือไม่ ละขันธ์ห้าได้หรือไม่ ใจของเราละความกลัวได้หรือเปล่า กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจส่งเสริมหรือเปล่า ความอยากเกิดขึ้นที่ใจ เรารู้จักหยุดรู้จักดับ ใช้ปัญญาแก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็จะประกาศเห็นด้วยตัวเอง ท่านถึงบอกว่าให้เชื่อ ปฏิบัติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ จิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง มีความอ่อนโยน เราต้องละ เราต้องดับ
บวชเข้ามาแล้วก็เหมือนกัน แทนที่จะขยันหมั่นเพียรในการขัดเกลากิเลส กลับสร้างสะสมกิเลส น่าละอายนะพระเรา แต่ไม่รู้จักขัดเกลากิเลส ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา ทำหน้าที่ของปัญญา เข้ามาแล้วก็พยายามทำภารกิจของเราให้มันจบ บ้างก็หอบกิเลสเข้ามาปิดทับถมดวงใจของตัวเอง
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันเสียก่อนนะ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง หรือว่ามีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา แล้วก็วิ่งตามความนึกคิดปรุงแต่งของตัวเอง นั่นแหละอวิชชาความหลงอยู่ตลอดเวลา เราถึงให้มาเจริญสติให้ได้ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง แล้วก็ไปอบรมใจของเรา แจงให้ออกว่าอะไรคือส่วนของสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือลักษณะของใจ อะไรคือลักษณะของอาการของขันธ์ห้า เราจะได้ค่อยไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ
ส่วนใจนั้นเป็นบุญอยู่ตลอดเวลา ฝักใฝ่ในบุญ มีศรัทธา การกระทำการปฏิบัติในระดับของสมมติ ก็อยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ แต่การเจริญสติตรงนี้แหละไม่ค่อยจะต่อเนื่อง แล้วก็ไปเอาปัญญาไปแก้ไขทั้งใจ ทั้งสมมติ มันก็เลยอีรุงตุงนังไปทั้งก้อน ผิดก็ผิดทั้งก้อน ถูกก็ถูกทั้งก้อน ก็เลยเป็นวงกลมหมุนกันไป กลิ้งกันไปอยู่อย่างนั้น
ในหลักธรรมท่านให้สังเกต ท่านให้วิเคราะห์ ถ้าใจคลายออกเหมือนกับตัดวงกลมได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ วงกลมก็ไม่มีโอกาสที่จะเชื่อมต่อกันได้ก็เรียกว่า แยกรูปแยกนาม วิปัสสนา ละกิเลส ดับความเกิด คลายความหลง ละกิเลสให้มันหมดจด กําลังสติพุ่งแรงจนถึงจุดหมายปลายทาง ขัดเกลากิเลสออกให้มันหมด บริหารชีวิตด้วยปัญญาล้วนๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ก็มีกันทุกที่นั่นแหละ การทำความเข้าใจ การสํารวจก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ให้ต่อเนื่องกัน สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเขาเรียกว่า ครูบาอาจารย์ คอยตรวจสอบใจของเรา อบรมใจของเรา จนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง แยกได้มองเห็น สติตามดู ให้ใจรับรู้เห็นความเป็นจริงได้ เพียงแค่การเกิดของใจ อัตตาก็เกิด ถึงไม่มีความโลภ ความโกรธ ความอยาก เข้าไปเจือปนก็ช่าง เราก็ต้องพยายาม พยายามแก้ไขชีวิตของเราเท่าที่ทำได้ เท่าที่โอกาสเอื้ออํานวย
ทุกคนก็ปฏิบัติกันมาดีแล้วแหละ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้กิเลสนี้มีมาทีหลัง เราก็มาขัดเกลาออก ขัดเกลาเอาออกอีกจนไม่เหลือ จนบริหารด้วยปัญญา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อย ก็เป็นเรื่องของปัญญา บริหารสมมติให้มีความสงบความสุข ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี โอกาสสร้างบุญเราสร้างได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ เพียงแค่ปรับแก้ไขจิตใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศล สมมติภายนอกเราก็มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น ขยันหมั่นเพียรขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็จะสมบูรณ์แบบทั้งสมมติทั้งวิมุตติ เราสนุกสร้างบุญ โอกาสเปิดให้ตลอดเวลา ทางวัดก็เปิดโอกาสให้กับทุกคนได้มาร่วมบุญกัน จากกองน้อยๆ ก็เป็นบุญกองใหญ่มหึมา ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้ในใจของเราทุกคน
พวกแม่ชีต่างๆ พากัน ทั้งชี ทั้งญาติทั้งโยม ว่างๆ ก็พากันไปร่วมกันติดหินกาบที่ห้องน้ำให้หน่อยนะ เดี๋ยวจะไม่ทันเสร็จก่อนวันที่ 1 มิถุนายน ได้ใช้การใช้งานใหญ่ กําแพงด้านนอกช่วยกันติดปิดหินกาบ หินกาบที่เอามากองเอาไว้ทางฝั่งตะวันออก ช่วยกันติดไม่นานเดี๋ยวก็เสร็จ เสร็จแล้วก็จะได้ใช้ประโยชน์ได้เยอะ ใครไปใครมาก็จะได้ไม่ได้ลําบาก เรื่องห้องส้วมห้องน้ำนี่ลําบากมากจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เราก็ช่วยกัน ถ้าคนเราไม่มีความเป็นระเบียบในตัวเองแล้วมันก็ยาก ถ้าคนเรามีความเป็นระเบียบในตัวเรา แล้วมันก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก การฝึกหัดปฏิบัติใจนี่มันก็จะไปได้เร็วได้ไว ความเป็นระเบียบให้เราทำจากภายในสู่ภายนอก จากภายนอกเข้าสู่ภายใน มองข้างบนข้างล่าง มองกลางใจของตัวเรา เราได้ทำประโยชน์ให้กับตัวเราให้กับคนอื่น ใจของเราผลักไสหรือไม่ อคติหรือเปล่า เพ่งโทษหรือไม่ เราก็จะได้แก้ไขใจเรา เราก็จะได้ปฏิบัติ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ
ตื่นขึ้นมาสติรู้ใจ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจของเราเป็นอย่างไร กําลังสติเราหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ใจไปนึกเอาก่อน ขันธ์ห้ามาคิดมาปรุงมาแต่งก่อน เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ‘ความหลง’ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็ยังหลงนะ หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ในภพของมนุษย์ใจยังไปต่ออีก ยังคิด ยังปรุงแต่ง ยังเป็นทาสของกิเลสอีก เราต้องมาขัดมาเกลามาคลายออก ขณะที่ยังอาศัยกายอยู่นี่แหละ ในกายเนื้อของมนุษย์นี้แหละ ภพภูมิอื่นก็ลําบาก
พระพุทธองค์ท่านถึงได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็มาค้นพบ มาขัดเกลา มาแยกแยะ แล้วก็เปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ว่ากายของเรานี่มีอะไรที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกอะไรต่างๆ นิวรณธรรม มลทิน ท่านบัญญัติเอาไว้ให้ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ชื่อลักษณะอาการหน้าตาอย่างนั้น หน้าตาอย่างนี้ มีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเจริญสติเข้าไปค้นคว้าให้ถึงฐานเดิมของใจหรือไม่เท่านั้นเอง
แต่การสร้างบุญสร้างอานิสงส์ก็มีกันอยู่ ถึงเวลามันก็ต้องถึงจุดหมายไม่ถึงช้าก็ต้อง ถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็เดือนหน้า ปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำจะไปต่อเอาภพหน้า อย่าทิ้งบุญเด็ดขาด พยายามให้ใจของเราอยู่ในกองบุญเอาไว้ บุญมากบุญน้อย ทำมากทำน้อยก็เป็นอานิสงส์ของเรา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง อย่าไปปิดกั้นตัวคนอื่น เห็นคนอื่นทำแล้วก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย อยากจะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ก็ต้องขัดเกลากิเลสออกได้อีก จนดับความเกิดได้อีก จนมองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง