หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 030
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 030
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พระเรา ชีเรา ตื่นขึ้นมาก็รีบรู้ใจรู้กายของตัวเองนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ดูรูปธรรมคือร่างกายของเรา ความรู้ตัวเขาเรียกว่า รู้กาย ความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ลึกลงไปก็รู้ความปกติของใจ ใจของเราก่อตัวอย่างไร เกิดอย่างไรสติปัญญาเป็นตัวสั่งงานพากายไป ให้ใจรับรู้ แต่เวลานี้ใจเป็นตัวสั่ง ทั้งความคิดเก่าปัญญาเก่าเป็นตัวสั่ง เขาก็รู้ คิดก็รู้ ทำก็รู้ มันก็รู้ มันหลงอยู่ในความรู้ เพราะว่าการเกิดของใจมีอยู่ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ เข้าไปวิเคราะห์ใจ เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจไม่ได้ก็ขอให้มีสติรู้กาย ให้เกิดความเคยชิน ถ้ากําลังสติมีมากเขาก็จะไปจัดการกับเขาเอง จัดการกับกิเลสได้เอง
ดูดีๆ ต้องเป็นผู้ใหม่ ผู้รู้ ผู้ตื่น ยิ่งบวชใหม่สามเณรบวชใหม่ ดูความอยากกับความหิวนะ กายมันหิว อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม บอกว่าอย่างนั้น เอาเยอะๆ ยังไม่มาถึง อันโน้นก็จะเอา อันนี้ก็จะเอา ตามองเห็นอาหาร เรื่องความอยากนี่แหละสำคัญ เราดับความอยากได้หมดจดได้เมื่อไร แล้วก็กิเลสตัวอื่นมันก็จะเบาบาง เพราะว่าความเกิด กายมันหิว ใจมันอยาก เราดับความเกิด ดับจิตวิญญาณ มันเกิดความอยาก เราดับความอยากตั้งแต่แรก กิเลสต่างๆ ก็เลยเบาบาง ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็น จะเอามาก ทานมากทานน้อย ก็เป็นเรื่องของปัญญา แต่เราต้องกําจัดความอยากที่เกิดจากตัววิญญาณให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่ว่ามันจะทำได้ง่ายๆ มันต้องฝึกต้องฝน ต้องค่อยอาศัยความเพียร อาศัยกาลอาศัยเวลา ไม่ใช่เฉพาะความอยากเอา อยากมี อยากเป็น ไม่อยากก็เหมือนกัน
เราก็ต้องเจริญพรหมวิหาร ความเสียสละเข้าไปทดแทน มีความขยันหมั่นเพียร มองโลกในทางที่ดี คิดดี แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ประกอบกันอยู่เอื้ออํานวยกันอยู่ กายของเราก็มีรูปร่างกายขันธ์ห้านี้แหละมาปิดกั้นเอาไว้ชั้นหนึ่ง ความคิดอารมณ์ก็อีกชั้นหนึ่ง การเกิดของใจก็อีกชั้นหนึ่ง กิเลสเยอะแยะหลายชั้น ไม่รู้จะเอาอะไรบ้าง นอกจากบุคคลที่เขามีความเพียร ค่อยขัด ค่อยเกลา รู้เหตุรู้ผล รู้จุดปล่อยรู้จุดวาง รู้การละการวาง นั่นแหละถึงจะถึงเป้าหมายจุดหมายปลายทางได้
ดูดีๆ นะสามเณร ที่วัดป่ามีกฎเกณฑ์อยู่นะ ถ้าสามเณรมาบวชอยู่ที่นี่ ถ้าเกิดความอยากให้นั่งดู ไม่ให้เอา หายอยากค่อยเอา ดับความอยากไม่ได้ มันหายใจก่อนค่อยเอา แล้วก็ใครเอาเกินประมาณ ขบฉันไม่หมดเดี๋ยวท่านเจ้าคุณมาจะโดนลงโทษ แล้วก็ก่อนวันที่จะสึก น้ำหนักไม่เพิ่มก็ไม่ได้สึก น้ำหนักต้องเพิ่มอย่างน้อยสัก 2 กิโล อยากไม่ให้เอา แต่น้ำหนักต้องเพิ่ม น้ำหนักไม่เพิ่มนี้ก็ต้องยืดเวลา จะได้สึก
สงสัยก่อนเมษานี้เห็นว่าจะมาอีก 10 กว่าสามเณร จะมีที่นั่งกันหรือเปล่า หลังจากเมษาอีกก็รุ่นใหญ่อีกก็มาบวชอีก 30 กว่า พากันลางาน เคลียร์งานมาบวช จากหมู่คณะของดร.วรภัทร์ ทางกรุงเทพก็จะพากันมาบวช สามเณรชุดที่จะบวชนี้ก็คงจะได้อยู่ประมาณสักปลายเดือนมีนานะ ทุกคนจะมาบวช ต่อไปก็ให้รุ่นใหญ่เข้ามา จึงจะได้มีที่นั่งกัน ไปสร้างสะสมอานิสงส์บุญไปทีละเล็กทีละน้อย จากตัวน้อยๆ นี่แหละ โตขึ้นไปก็จะได้เก่งๆ ฝักใฝ่ในบุญ มีโอกาสมีบุญ
ทีนี้การเจริญสติ การเจริญปัญญา มาสร้างความขยันหมั่นเพียร พระอาจารย์จิตร์ หรือว่าอาจารย์โก๋ปลูกต้นวาสนากัน จะได้มีวาสนา เดินไปเดินมาก็จะได้หอมดอกวาสนากัน ปลูกได้เยอะแล้วมั้ง ทีนี้พากันเอาไปปลูกตามรายทาง ตามที่ทางเข้ามาหน้าพระปรางค์เลไลย์ ต้นไทรที่มันตาย ต้นไทรใหญ่นะ เอาไปปลูกรอบต้นไทรใหญ่ให้เป็นแนวทางมา วันนี้หลังจากนั้นก็พากันไปปลุกหลังวิหารพระหยก หลังน้ำตกใหญ่ เห็นพากันทำทั้งวันทั้งคืน
ละนิวรณ์ ละความเกียจคร้าน ดูใจ ขยันหมั่นเพียร หยุดไม่ได้ ความขยันหมั่นเพียรของสติปัญญา กายก็ยังมีกําลังแข็งแรง เอางานเอาการเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย มีความสุข บอกหยุดก็ไม่ยอมหยุดนะ จะเอาให้มันจบ บอกว่าอย่างนั้นนะ ดูสิกําลังสติกําลังปัญญา ถ้าเราไม่สนใจในการดู ในการรู้ ว่ากิเลสมันเกิดมาอย่างไร สติมันพลั้งเผลอได้อย่างไร ความเกียจคร้านครอบงำได้ยังไง การละความกลัวเป็นยังไง การควบคุมใจเป็นยังไง
เราต้องมาฝึก มาดู มารู้ มาเห็น มาทำความเข้าใจ เดี๋ยวก็ลุยเอง เอาไม่อยู่ จนกว่าจะหมดภารกิจภายในคือใจที่สะอาด ดับความเกิดได้หมดจด ต้องอาศัยเวลา เรามองเห็นทางเราก็ต้องอาศัยเวลากันเอา หลวงพ่อก็เล่าของเก่าทุกวัน แต่พวกท่านไม่ไปทำให้มันปรากฏ ไม่รู้ว่าพูดอะไรบอกว่าอย่างนั้น ไม่เห็นรู้เรื่อง จะไปรู้เรื่องได้อย่างไร สติก็ยังไม่ได้สร้างให้มันต่อเนื่องกันสักคืบสักศอก นาทีหนึ่งมีกี่วินาที 5 นาที ชั่วโมงหนึ่งมีเท่าไร ลมหายใจเข้าออก สติต่อเนื่องกัน ทำได้ต่อเนื่องกันเท่าไร มีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา อยากจะได้ตั้งแต่ธรรม อยากจะได้แต่บุญ ความรู้ตัวไม่ไปสร้าง กุศลกับอกุศลฝ่ายไหนมันจะเยอะกว่ากัน
มาเจริญสติได้ทีละ 2-3 นาที 4-5 นาทีแล้วก็ทิ้งไป เวลาที่มันเหลือล่ะ สติไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาแบบโลกๆ มันปิดกั้นตัวเอง เราต้องคลาย ต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจ แก้ไขใจ คลายใจออกจากความคิด จนหมดทุกอย่าง จนเอาสติจนกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติจนกลายเป็นมหาปัญญา แล้วก็ขัดเกลา ละกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด การเกิดของใจอีก ได้อยู่ แต่ต้องอาศัยความเพียร อย่างพวกเรามานี่แหละ ก็ได้มาสร้างความเพียรกัน ได้ทำโน้นบ้าง ทำนี้บ้าง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป จะเอาตั้งแต่ธรรม อบรมตั้งแต่ธรรม มันยาก เท่าไรก็ยิ่งห่างไกลนะ ขยันไม่ถูกที่ ถูกวิธี ถูกทาง มันก็ยิ่งห่างไกล
ถ้าใจของเรามีความเสียสละ มีการอนุเคราะห์ มีพรหมวิหาร มีการกระทำหนักเอาเบาสู้ตามสภาวะ ถึงเวลาเขาก็จะเป็นของเขาเอง ส่วนมากก็หามรุ่งหามค่ำ ปฏิบัติจะเอาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักละกิเลส ไม่รู้จักการเจริญสติ ไม่รู้จักความเสียสละ จะเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว มันจะไปได้อะไร ถ้าเราฝึกอบรม มีการให้ มีการเอาออก ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความเสียสละชนะตัวเองได้ล่ะดี
ทีนี้คําสอนของพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร เราก็ต้องดู เราก็สร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องหลักอนัตตา คําว่าอนัตตา ความว่างเปล่า อะไรคือว่างเปล่า สอนเรื่องหลักของอริยสัจ ความเกิดๆ ดับๆ ต้องมีอยู่ในกายในใจของเรา อะไรคือส่วนวิญญาณในกายของเราซึ่งเป็นส่วนนาม อะไรคือส่วนรูป ร่างกายก็ส่วนรูป เขาทำหน้าที่อย่างไร แจงภายในไม่ได้ ก็วิ่ง วิ่งแต่ภายนอก ทะเลาะเบาะแว้งกัน กิเลสมันสั่งงานอยู่ตลอด
ยิ่งฝึกใหม่ๆ ยิ่งเห็นใหม่ๆ ยิ่งมีความสุข ยิ่งบุคคลที่เคยสร้างบุญบารมี การให้ การเอาออก การอนุเคราะห์มาก่อน ใจไม่มีความโลภ ความอยาก ใจมันก็ยิ่งเบาบางจากกิเลส มาฝึกก็ยิ่งไปได้เร็วได้ไว ความทะเยอทะยานอยากเต็มอัตราศึก ความเกียจคร้านก็เข้าครอบงำ มันก็ยิ่งห่างไกล ก็ต้องพยายามกัน
ในหลักธรรมท่านทั้งละความอยาก ละความหวัง ไม่ให้มีความอยาก ละความอยาก ละความหวัง แต่การกระทำด้วยสติด้วยปัญญาให้ขยันหมั่นเพียรให้มี ความรับผิดชอบให้มี จะสมมติวิมุตติมันก็ค่อยดำเนินไป พากันทำ สมมติภายนอกเราก็ทำให้น่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ ทั้งพระทั้งชีเราก็ช่วยกันดี
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง ขณะที่เรากําลังนั่งอยู่นี่แหละ ก็ยังดี ทั้งที่ใจของพวกเราก็เป็นบุญเป็นอานิสงส์ ฝักใฝ่ในบุญ ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม อยากจะเข้าใจในธรรม แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปอบรมใจ สังเกตใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน ตรงนี้ต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวด แล้วก็ต้องรู้จักข่มใจทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เป็นเรื่องของการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราทั้งนั้น จนล้นออกไปสู่สมมติ ล้นออกไปสู่โลกธรรม ว่าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรมได้อย่างไร ด้วยใจที่ยังสงบนิ่งอยู่
แต่เวลาในการเกิดของใจเขาเกิดมาตั้งนมนานจริงๆ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเกิดมาตั้งแต่เมื่อไร อย่าเพิ่งไปเอาถึงตรงโน้น เราต้องมาดูอยู่ปัจจุบันนี่แหละ เจริญสติเข้าไปดูรู้ให้ทันอยู่ปัจจุบัน แยกแยะ คลายทำความเข้าใจให้ได้ ละกิเลสให้ได้อยู่ปัจจุบัน มันจะส่งผลถึงอนาคต แนวทางนั้นมีมานาน เพราะพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย คําว่าลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน คือทุกขณะลมหายใจเข้า หายใจออก นี่เขาเรียกว่า ปัจจุบัน แต่ต้องให้เชื่อมโยง ให้รู้เชื่อมโยงแล้วก็ให้รู้เท่าทันใจ ไปควบคุมใจอบรมใจ แล้วก็ใจเขาก็จะคลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน เรารู้เท่าทันเขาจะคลายออกจากกันเอง เขาจะแยกออกจากกันเอง ถ้าแยกได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่การเอาออก การให้ การละกิเลสนี้มีอยู่ มีอยู่กันทุกคน จะมีมากมีน้อย การควบคุมใจก็มีอยู่ แต่เราต้องให้รู้ทุกเรื่องถึงจะเข้าไปดับทุกข์ได้ หยุด ละกิเลสได้หมดจด มันไม่หมดจริงๆ มันจะไปสานต่อในวันข้างหน้านั่นแหละ
หลวงพ่อก็ขอพูดย้ำของเก่า เอาของเก่านี่แหละ ขอให้พวกท่านไปทำให้เห็นฐานเดิมเสียก่อน แล้วมันก็จะมองเห็นออกหมด แล้วค่อยละค่อยขัดค่อยเกลา กําลังสติปัญญาก็จะตามค้นคว้าให้ได้หมดนั่นแหละ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนกันนะ
ว่ายังไงตี๋ จะกลับวันนี้เหรอ นั่นแหละเจ้าภาพใหญ่ 5 กองทุน มาจากพัทยา โชคดีนะ
สร้างความรู้สึกให้ชัดเจนกันนะ ไหว้พระๆ พร้อมกัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อนะ
อันนี้เพียงแค่เล่า แค่ย้ำ แค่เตือนเท่านั้นเอง
ดูดีๆ ต้องเป็นผู้ใหม่ ผู้รู้ ผู้ตื่น ยิ่งบวชใหม่สามเณรบวชใหม่ ดูความอยากกับความหิวนะ กายมันหิว อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม บอกว่าอย่างนั้น เอาเยอะๆ ยังไม่มาถึง อันโน้นก็จะเอา อันนี้ก็จะเอา ตามองเห็นอาหาร เรื่องความอยากนี่แหละสำคัญ เราดับความอยากได้หมดจดได้เมื่อไร แล้วก็กิเลสตัวอื่นมันก็จะเบาบาง เพราะว่าความเกิด กายมันหิว ใจมันอยาก เราดับความเกิด ดับจิตวิญญาณ มันเกิดความอยาก เราดับความอยากตั้งแต่แรก กิเลสต่างๆ ก็เลยเบาบาง ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็น จะเอามาก ทานมากทานน้อย ก็เป็นเรื่องของปัญญา แต่เราต้องกําจัดความอยากที่เกิดจากตัววิญญาณให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่ว่ามันจะทำได้ง่ายๆ มันต้องฝึกต้องฝน ต้องค่อยอาศัยความเพียร อาศัยกาลอาศัยเวลา ไม่ใช่เฉพาะความอยากเอา อยากมี อยากเป็น ไม่อยากก็เหมือนกัน
เราก็ต้องเจริญพรหมวิหาร ความเสียสละเข้าไปทดแทน มีความขยันหมั่นเพียร มองโลกในทางที่ดี คิดดี แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ประกอบกันอยู่เอื้ออํานวยกันอยู่ กายของเราก็มีรูปร่างกายขันธ์ห้านี้แหละมาปิดกั้นเอาไว้ชั้นหนึ่ง ความคิดอารมณ์ก็อีกชั้นหนึ่ง การเกิดของใจก็อีกชั้นหนึ่ง กิเลสเยอะแยะหลายชั้น ไม่รู้จะเอาอะไรบ้าง นอกจากบุคคลที่เขามีความเพียร ค่อยขัด ค่อยเกลา รู้เหตุรู้ผล รู้จุดปล่อยรู้จุดวาง รู้การละการวาง นั่นแหละถึงจะถึงเป้าหมายจุดหมายปลายทางได้
ดูดีๆ นะสามเณร ที่วัดป่ามีกฎเกณฑ์อยู่นะ ถ้าสามเณรมาบวชอยู่ที่นี่ ถ้าเกิดความอยากให้นั่งดู ไม่ให้เอา หายอยากค่อยเอา ดับความอยากไม่ได้ มันหายใจก่อนค่อยเอา แล้วก็ใครเอาเกินประมาณ ขบฉันไม่หมดเดี๋ยวท่านเจ้าคุณมาจะโดนลงโทษ แล้วก็ก่อนวันที่จะสึก น้ำหนักไม่เพิ่มก็ไม่ได้สึก น้ำหนักต้องเพิ่มอย่างน้อยสัก 2 กิโล อยากไม่ให้เอา แต่น้ำหนักต้องเพิ่ม น้ำหนักไม่เพิ่มนี้ก็ต้องยืดเวลา จะได้สึก
สงสัยก่อนเมษานี้เห็นว่าจะมาอีก 10 กว่าสามเณร จะมีที่นั่งกันหรือเปล่า หลังจากเมษาอีกก็รุ่นใหญ่อีกก็มาบวชอีก 30 กว่า พากันลางาน เคลียร์งานมาบวช จากหมู่คณะของดร.วรภัทร์ ทางกรุงเทพก็จะพากันมาบวช สามเณรชุดที่จะบวชนี้ก็คงจะได้อยู่ประมาณสักปลายเดือนมีนานะ ทุกคนจะมาบวช ต่อไปก็ให้รุ่นใหญ่เข้ามา จึงจะได้มีที่นั่งกัน ไปสร้างสะสมอานิสงส์บุญไปทีละเล็กทีละน้อย จากตัวน้อยๆ นี่แหละ โตขึ้นไปก็จะได้เก่งๆ ฝักใฝ่ในบุญ มีโอกาสมีบุญ
ทีนี้การเจริญสติ การเจริญปัญญา มาสร้างความขยันหมั่นเพียร พระอาจารย์จิตร์ หรือว่าอาจารย์โก๋ปลูกต้นวาสนากัน จะได้มีวาสนา เดินไปเดินมาก็จะได้หอมดอกวาสนากัน ปลูกได้เยอะแล้วมั้ง ทีนี้พากันเอาไปปลูกตามรายทาง ตามที่ทางเข้ามาหน้าพระปรางค์เลไลย์ ต้นไทรที่มันตาย ต้นไทรใหญ่นะ เอาไปปลูกรอบต้นไทรใหญ่ให้เป็นแนวทางมา วันนี้หลังจากนั้นก็พากันไปปลุกหลังวิหารพระหยก หลังน้ำตกใหญ่ เห็นพากันทำทั้งวันทั้งคืน
ละนิวรณ์ ละความเกียจคร้าน ดูใจ ขยันหมั่นเพียร หยุดไม่ได้ ความขยันหมั่นเพียรของสติปัญญา กายก็ยังมีกําลังแข็งแรง เอางานเอาการเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย มีความสุข บอกหยุดก็ไม่ยอมหยุดนะ จะเอาให้มันจบ บอกว่าอย่างนั้นนะ ดูสิกําลังสติกําลังปัญญา ถ้าเราไม่สนใจในการดู ในการรู้ ว่ากิเลสมันเกิดมาอย่างไร สติมันพลั้งเผลอได้อย่างไร ความเกียจคร้านครอบงำได้ยังไง การละความกลัวเป็นยังไง การควบคุมใจเป็นยังไง
เราต้องมาฝึก มาดู มารู้ มาเห็น มาทำความเข้าใจ เดี๋ยวก็ลุยเอง เอาไม่อยู่ จนกว่าจะหมดภารกิจภายในคือใจที่สะอาด ดับความเกิดได้หมดจด ต้องอาศัยเวลา เรามองเห็นทางเราก็ต้องอาศัยเวลากันเอา หลวงพ่อก็เล่าของเก่าทุกวัน แต่พวกท่านไม่ไปทำให้มันปรากฏ ไม่รู้ว่าพูดอะไรบอกว่าอย่างนั้น ไม่เห็นรู้เรื่อง จะไปรู้เรื่องได้อย่างไร สติก็ยังไม่ได้สร้างให้มันต่อเนื่องกันสักคืบสักศอก นาทีหนึ่งมีกี่วินาที 5 นาที ชั่วโมงหนึ่งมีเท่าไร ลมหายใจเข้าออก สติต่อเนื่องกัน ทำได้ต่อเนื่องกันเท่าไร มีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา อยากจะได้ตั้งแต่ธรรม อยากจะได้แต่บุญ ความรู้ตัวไม่ไปสร้าง กุศลกับอกุศลฝ่ายไหนมันจะเยอะกว่ากัน
มาเจริญสติได้ทีละ 2-3 นาที 4-5 นาทีแล้วก็ทิ้งไป เวลาที่มันเหลือล่ะ สติไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาแบบโลกๆ มันปิดกั้นตัวเอง เราต้องคลาย ต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจ แก้ไขใจ คลายใจออกจากความคิด จนหมดทุกอย่าง จนเอาสติจนกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติจนกลายเป็นมหาปัญญา แล้วก็ขัดเกลา ละกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด การเกิดของใจอีก ได้อยู่ แต่ต้องอาศัยความเพียร อย่างพวกเรามานี่แหละ ก็ได้มาสร้างความเพียรกัน ได้ทำโน้นบ้าง ทำนี้บ้าง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป จะเอาตั้งแต่ธรรม อบรมตั้งแต่ธรรม มันยาก เท่าไรก็ยิ่งห่างไกลนะ ขยันไม่ถูกที่ ถูกวิธี ถูกทาง มันก็ยิ่งห่างไกล
ถ้าใจของเรามีความเสียสละ มีการอนุเคราะห์ มีพรหมวิหาร มีการกระทำหนักเอาเบาสู้ตามสภาวะ ถึงเวลาเขาก็จะเป็นของเขาเอง ส่วนมากก็หามรุ่งหามค่ำ ปฏิบัติจะเอาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักละกิเลส ไม่รู้จักการเจริญสติ ไม่รู้จักความเสียสละ จะเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว มันจะไปได้อะไร ถ้าเราฝึกอบรม มีการให้ มีการเอาออก ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความเสียสละชนะตัวเองได้ล่ะดี
ทีนี้คําสอนของพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร เราก็ต้องดู เราก็สร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องหลักอนัตตา คําว่าอนัตตา ความว่างเปล่า อะไรคือว่างเปล่า สอนเรื่องหลักของอริยสัจ ความเกิดๆ ดับๆ ต้องมีอยู่ในกายในใจของเรา อะไรคือส่วนวิญญาณในกายของเราซึ่งเป็นส่วนนาม อะไรคือส่วนรูป ร่างกายก็ส่วนรูป เขาทำหน้าที่อย่างไร แจงภายในไม่ได้ ก็วิ่ง วิ่งแต่ภายนอก ทะเลาะเบาะแว้งกัน กิเลสมันสั่งงานอยู่ตลอด
ยิ่งฝึกใหม่ๆ ยิ่งเห็นใหม่ๆ ยิ่งมีความสุข ยิ่งบุคคลที่เคยสร้างบุญบารมี การให้ การเอาออก การอนุเคราะห์มาก่อน ใจไม่มีความโลภ ความอยาก ใจมันก็ยิ่งเบาบางจากกิเลส มาฝึกก็ยิ่งไปได้เร็วได้ไว ความทะเยอทะยานอยากเต็มอัตราศึก ความเกียจคร้านก็เข้าครอบงำ มันก็ยิ่งห่างไกล ก็ต้องพยายามกัน
ในหลักธรรมท่านทั้งละความอยาก ละความหวัง ไม่ให้มีความอยาก ละความอยาก ละความหวัง แต่การกระทำด้วยสติด้วยปัญญาให้ขยันหมั่นเพียรให้มี ความรับผิดชอบให้มี จะสมมติวิมุตติมันก็ค่อยดำเนินไป พากันทำ สมมติภายนอกเราก็ทำให้น่าอยู่ น่าอาศัย น่ารื่นรมย์ ทั้งพระทั้งชีเราก็ช่วยกันดี
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง ขณะที่เรากําลังนั่งอยู่นี่แหละ ก็ยังดี ทั้งที่ใจของพวกเราก็เป็นบุญเป็นอานิสงส์ ฝักใฝ่ในบุญ ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม อยากจะเข้าใจในธรรม แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปอบรมใจ สังเกตใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน ตรงนี้ต้องมีความเพียรอย่างยิ่งยวด แล้วก็ต้องรู้จักข่มใจทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เป็นเรื่องของการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราทั้งนั้น จนล้นออกไปสู่สมมติ ล้นออกไปสู่โลกธรรม ว่าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรมได้อย่างไร ด้วยใจที่ยังสงบนิ่งอยู่
แต่เวลาในการเกิดของใจเขาเกิดมาตั้งนมนานจริงๆ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเกิดมาตั้งแต่เมื่อไร อย่าเพิ่งไปเอาถึงตรงโน้น เราต้องมาดูอยู่ปัจจุบันนี่แหละ เจริญสติเข้าไปดูรู้ให้ทันอยู่ปัจจุบัน แยกแยะ คลายทำความเข้าใจให้ได้ ละกิเลสให้ได้อยู่ปัจจุบัน มันจะส่งผลถึงอนาคต แนวทางนั้นมีมานาน เพราะพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย คําว่าลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน คือทุกขณะลมหายใจเข้า หายใจออก นี่เขาเรียกว่า ปัจจุบัน แต่ต้องให้เชื่อมโยง ให้รู้เชื่อมโยงแล้วก็ให้รู้เท่าทันใจ ไปควบคุมใจอบรมใจ แล้วก็ใจเขาก็จะคลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน เรารู้เท่าทันเขาจะคลายออกจากกันเอง เขาจะแยกออกจากกันเอง ถ้าแยกได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่การเอาออก การให้ การละกิเลสนี้มีอยู่ มีอยู่กันทุกคน จะมีมากมีน้อย การควบคุมใจก็มีอยู่ แต่เราต้องให้รู้ทุกเรื่องถึงจะเข้าไปดับทุกข์ได้ หยุด ละกิเลสได้หมดจด มันไม่หมดจริงๆ มันจะไปสานต่อในวันข้างหน้านั่นแหละ
หลวงพ่อก็ขอพูดย้ำของเก่า เอาของเก่านี่แหละ ขอให้พวกท่านไปทำให้เห็นฐานเดิมเสียก่อน แล้วมันก็จะมองเห็นออกหมด แล้วค่อยละค่อยขัดค่อยเกลา กําลังสติปัญญาก็จะตามค้นคว้าให้ได้หมดนั่นแหละ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนกันนะ
ว่ายังไงตี๋ จะกลับวันนี้เหรอ นั่นแหละเจ้าภาพใหญ่ 5 กองทุน มาจากพัทยา โชคดีนะ
สร้างความรู้สึกให้ชัดเจนกันนะ ไหว้พระๆ พร้อมกัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อนะ
อันนี้เพียงแค่เล่า แค่ย้ำ แค่เตือนเท่านั้นเอง