หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 118

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 118
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 118
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศแจ่ม อากาศเย็นลดลงมาหน่อยหนึ่งเนอะ สงสัยฝนฟ้าคงจะตกดีที่อื่นอากาศก็เลยเย็น งานไหมปีนี้ไม่ค่อยจะหนาวเท่าไร ทุกปีนี้จะหนาวอยู่ วันแต่ละวันผ่านพ้นไป ตื่นขึ้นมามีตั้งแต่มืดกลับแจ้ง ตื่นขึ้นก็เช้าค่ำลงก็มืด ระยะเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน เราได้วิเคราะห์ใจของเราทันแล้วหรือยัง

รู้จักเจริญสติให้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ใจของเราปกติ ใจของเราเกิดความกังวล ใจของเราเกิดความกลัว ถ้าใจเกิดความกลัวนี้ใจจะไม่มีกําลัง มันจะคิดปรุงแต่งไปทั่ว เขาเรียกว่าใจหลอกใจ ถ้าเราหยุดได้ดับได้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด สติอบรมใจ อันนี้เป็นแค่ควบคุม ถ้าเราสังเกตแยกแยะได้ ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ออกจากความคิดได้ ใจถึงจะหงายขึ้นมา เขาเรียกว่าพลิกจากของที่คว่ำ ภาษาธรรมท่านเรียกว่าแยกรูปแยกนาม

สัมมาทิฏฐิหมายถึงความเห็น เห็นใจแยก ใจคลาย คลายจากความหลง เขาเรียกว่าเห็นถูก แต่ถ้ายังแยกไม่ได้ก็อยู่ในการควบคุม ควบคุมก็เรียกว่าสมถะ ควบคุมแล้วก็อบรม แล้วก็รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุง จนกว่าจะมองเห็นความเป็นจริง เพราะว่าใจแต่ละดวงนี่เขาหลงมานาน เขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน จนกระทั่งได้มาเกิดสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มาหลงต่ออีก หลงเกิดต่ออีก หลงยึดนั่นยึดนี่อีก กิเลสมารนี่ลําบากจริงๆ กว่าจะแก้ไขได้ ยิ่งฝึกไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจแล้วค่อยละ

มีแนวทางเดียวคือทางของพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ การเจริญพรหมวิหาร การขัดเกลากิเลส การเจริญสติ คําว่าความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต ตรงนี้ต้องสร้างให้มี สร้างความรู้ตัวให้มีให้ต่อเนื่อง แล้วก็เอาไปปรับสภาพใจของตัวเรา ใจของเราเกิดความแข็งกระด้าง เราก็ละความแข็งกระด้าง ใจเกิดความเห็นแก่ตัวก็ละความเห็นแก่ตัว ใจยังหลงความคิด หลงขันธ์ห้าก็หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ถ้าสังเกตทัน เขาแยกออกจากกันได้ คลายออกจากกันได้ เพียงแค่เริ่มต้น ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่อง เขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิมรวมกันไปใหม่ แล้วก็หลงไปไม่มีจบไม่มีสิ้น

แต่เวลานี้มีตั้งแต่แรงบุญ แรงศรัทธา แรงบุญกับการฝักใฝ่กับการสนใจ แต่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ไม่ค่อยจะมีกันเท่าไร มีอาจจะระลึกได้เป็นบางช่วง บางครั้งบางคราว เราก็ต้องพยายาม ไม่เหลือวิสัย เพราะเป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของตัวเอง การทำบุญให้ทาน มีเป็นพื้นฐานมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มาตั้งแต่พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ให้เรามีความละอาย ละอาย ให้มีความกล้าหาญในสิ่งที่กล้าหาญ ให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย

การเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเรา จนกระทั่งเห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า ตามดูขันธ์ห้านั่นแหละ ตามดูให้รู้ทุกเรื่อง ไปอ่านหนังสือเล่มไหนก็จะเข้าใจ อ่านหนังสือธรรมะครูบาอาจารย์องค์ใดก็จะเข้าใจ อ่านพระไตรปิฎกก็จะเข้าใจ ถ้าเราแยกแยะได้ตามดูได้ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไร แล้วเราก็ละกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ดับการเกิดของใจได้ ไปอ่านเถอะ เราก็จะเข้าใจในเรื่องการสร้างบารมี ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือเปล่า ความรับผิดชอบความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน สร้างความขยัน หมั่นฝักใฝ่ หมั่นสนใจ นั่นแหละบารมี 10 บารมี 30 ความเสียสละก็ไม่มี สติก็ยังไม่รู้จัก ใจก็มีตั้งแต่ความเห็นผิด เอาตั้งแต่เข้าข้างตัวเอง มันอาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังเลย ห่างไกล

ปัญญามีทั้งร้อยก็ต้องคลายออกทั้งร้อยแหละ ปัญญาที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า คลาย รู้ไม่ทันต้นเหตุแล้วก็ดับ หยุด หยุดดับแล้วก็ชี้เหตุชี้ผล ถ้าเข้าใจก็ง่ายนะ ถ้าไม่เข้าใจนี่ยาก ยากแสนยากจริงๆ ไม่ใช่ว่านาทีหนึ่ง 2 นาที วัน หนึ่งเดือน สองเดือนจะรู้จะเห็น อานิสงส์ผลบุญผลทาน ศรัทธา บารมี ต้องสร้างมาแล้วก็มาสานต่อ ให้รีบแก้ไขปรับปรุงตัวเรา สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน พยายามมองโลกในทางที่ดี คิดดี หมั่นวิเคราะห์ว่าเราจะไปอย่างไรมาอย่างไร กายของเราเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกเป็นอย่างไร โลกธรรมเป็นอย่างไร ความเป็นอยู่ระดับสมมติเราทำให้บริบูรณ์ ไม่ถึงกับลําบากแล้วหรือยัง เพียงแค่ที่พึ่งระดับของสมมตินั้นก็ยังยากลําบากอยู่ ไปเที่ยวพึ่งวิ่งหาที่พึ่งภายนอก มันก็พึ่งอยู่แค่ระดับของสมมติของกายเท่านั้นแหละ แต่ส่วนใจนี่วิ่งอยู่ตลอดเวลา เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจเป็นเพื่อนใจ คุยกับใจอยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

ขณะนี้ใจเกิดความอยากหรือไม่ เวลาจะรับประทานข้าวปลาอาหารจะขบจะฉัน กายของเราหิวหรือว่ากายปกติ ใจปกติหรือว่าใจเกิดความยินดียินร้าย เรากะประมาณในการขบฉันของเรา อะไรมีประโยชน์ อะไรมีคุณค่า ก็ให้เอาด้วยปัญญา อย่าเอาด้วยอำนาจของกิเลสที่เกิดจากใจ ยังไม่เอาแล้ว ใจมันสั่งแล้วอันโน้นก็อยากอันนี้ก็อยาก อันนั้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม เอาเยอะๆ กิเลสมันสั่ง ไม่เคยขัดไม่เคยเกลา มันก็เลยพอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆ เพียงแค่การเกิดของใจนั่นแหละ ไม่ต้องไปเอาอะไรมากหรอก ความคิดมันก่อตัวอย่างไร มันเริ่มเกิดอย่างไร ตรงนั้นแหละรู้ไม่ทัน ถ้าเราดับตั้งแต่ต้นเหตุ ตั้งแต่มันเริ่มก่อตัว กําลังกิเลสมันจะไปมีที่ไหน ความอยากที่เกิดจากใจแม้แต่นิดเดียว เรายังไม่ให้มี เรายังไม่ให้เกิด

คนทั่วไปล่ะ ความคิดก็ไม่รู้จักหยุด จักดับ จักควบคุม วาจาก็ไม่รู้จักควบคุม การกระทำสมมติอีกก็ไม่รู้จักพิจารณา มันก็เลยหลงตั้งแต่ข้างใน มัดไปหมดทุกอย่าง ไม่มีใครอยากจะหลงหรอก เพราะว่าอำนาจของกิเลสความไม่รู้ ทำให้หลง ทำให้เกิด ไม่รู้จักฐานของใจ ไม่รู้จักลักษณะของใจ คําว่าอัตตา อนัตตาของพระพุทธองค์เป็นอย่างไรก็ยังไม่เห็น ได้ยินแต่ชื่อ มันไม่มีตัวมีตนว่าอย่างนั้น ทั้งที่เราคงมองเห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่ พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นแค่เพียงธาตุ เป็นแค่เพียงนามธรรมประชุมกันเข้า แล้วก็ถึงเวลาก็เสื่อมสลาย ทุกอย่างมันเสื่อมตลอดเวลา กายเนื้อแตกดับ มันก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในทางด้านรูปธรรม ความเกิด ความดับของจิตวิญญาณ นั่นเป็นฝ่ายนามธรรมนั่นแหละ มันเสื่อม มันเกิดอยู่ตลอดเวลา ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องสู่จุดจบกันหมด แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น เราต้องพยายามอบรมใจให้เห็นใจของเราให้ชัดเจน มองเห็นหนทางเดิน ไม่เหลือวิสัย

ได้แต่พูดให้ฟังเท่านั้นล่ะนะ พวกท่านไม่ไปทำก็จะไม่เข้าใจในชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน้นฉันจะเข้าใจในธรรม ไปอยู่ที่นี้จะเข้าใจในธรรม มันไม่เข้าใจหรอกถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปดู เข้าไปรู้ เข้าไปเห็นตั้งแต่เกิด มันก็ได้ ไม่ใช่ว่าไม่ดี ไปสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ถึงเวลามันก็จะเข้าใจ ถ้าไม่ถึงเวลาวิบากกรรมมันก็ไม่คลาย เหมือนกับเราปลูกผลไม้สักต้น เราจะไปให้ออกดอกออกผลให้ได้กินวันเดียวไม่ได้ เราต้องปลูกแล้วก็ดูแลรักษาให้เจริญเติบโตให้น้ำให้ปุ๋ย ใจก็เหมือนกัน เขาหลงมานาน ก็ค่อยเจริญสติเข้าไปอบรม ไปสังเกตวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล ทุกเรื่อง เขาก็จะคลาย เขาก็จะพัฒนาของเขาไปเรื่อยๆ จนมองเห็นความเป็นจริง รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด แต่เราต้องคลายความหลงคือแยกรูปแยกนามให้ได้ แต่เวลานี้กําลังสติมีไม่เพียงพอจะไปแยกได้อย่างไร เพียงแค่สร้าง แค่เจริญให้ต่อเนื่องมันก็ทั้งยาก

หลวงพ่อพูดของเก่านี่แหละ มาตั้ง 30 ปีแล้ว พูดของเก่ามาตั้ง 30 ปี อีกอย่างหนึ่งนั้นหลวงพ่อเห็นตรงนี้ ใจว่างมาแต่เป็นเด็ก ใจว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากกิเลส เพราะมีตั้งแต่ให้ มีแต่ทาน แต่ไม่เข้าใจว่าความว่างนั้นคือองค์ธรรม กําลังสติมีมาตั้งแต่เป็นเด็ก อยู่กับหนังสือธรรมะ แต่อ่านหนังสือธรรมะไม่รู้เรื่อง เพราะว่าอะไร เพราะว่าใจยังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้า ยังไม่ได้ตามดู พอมาเห็น พอมาแยกได้ ตามได้ ไปจับนั้นเล่มไหนก็ร้องอ๋อ เราว่างมาแต่เป็นเด็ก ใจว่างตรงนี้มันมีมาแต่เป็นเด็ก แต่การเกิดก็มีอยู่ ความยึดไม่มี

กิเลสก็มีกันทุกคน บางทีคนก็มีเบาบาง บางคนก็หนาเตอะ เราต้องมาขัด มาเกลา มาเอาออก มาแก้ไขปรับปรุงทุกลมหายใจเข้าออก สติพลั้งเผลออย่างไร ถึงได้ทุกคน พวกท่านจะทำหรือไม่เท่านั้นเอง ความจริงมีอยู่ แต่ส่วนมากจะไปโน่น ไปเอายอด เด็ดเอาตั้งแต่ยอด มันก็แตกยอดปกคลุม ไม่ยอมถอนรากถอนโคน ตั้งแต่การเกิด ต้นเหตุของการเกิด แต่การเกิดของจิตวิญญาณนั้นเขาเกิดมานาน มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า พระพุทธองค์ท่านถึงให้มาคลายขันธ์ห้า มาแยกรูปแยกนามให้รู้เห็นเป็นกองเป็นขันธ์ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน สติปัญญาที่สร้างขึ้นมาเอาไปใช้ได้ย่างไร

เพียงแค่ความคิด อะไรควรคิดหรือไม่ควรคิด สูงขึ้นไปก็สติปัญญาเป็นตัวคิด หรือแม้แต่สติปัญญา เราก็คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด สมองก็ได้พัก ใจก็ได้พัก พักขณะเราทำการทำงานนี่แหละ เอาการงานเป็นการปฏิบัติ จะไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ แบกกองสมมติไปตลอดเวลา แล้วก็ไปโทษตั้งแต่สิ่งโน้นมารบกวนเรา สิ่งนี้มารบกวนเรา ที่ไหนได้เราแบกกองสมมติไป เข้าป่าเข้าเขาเข้าถ้ำ ออกจากป่าจากเขาจากถ้ำมาก็วุ่นวาย ก็วิ่งเข้าป่าเข้าถ้ำอีก นั่นล่ะไม่มีปัญญา เขาเรียกว่าหลบหลีกความจริง ต้องทำความจริงให้ปรากฏ ให้สงบอยู่กับกลางโรงหนัง กลางกองเพลิง แม้จะหมดลมหายใจ แม้จะตายจะแตกจะดับ ใจก็เตรียมพร้อม มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน

ขณะยังมีลมหายใจอยู่ก็สนุกสร้างประโยชน์ สร้างบุญ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความขยันหมั่นเพียรเรามีเพียงพอหรือไม่ การสังเกต การวิเคราะห์ การสํารวจ การทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปวัดแล้วจะได้เห็นธรรมเลย ไอ้วัดข้างในไม่เคยเข้า เอาตั้งแต่วัดภายนอก ไปวัดภายนอกก็ยังไม่พอนะ เราไปตําหนิเจ้าคุณเป็นอย่างนั้น เจ้าคุณเป็นอย่างนี้ ไม่พาเดิน ไม่พานั่งแล้วนะ ไม่เห็นพาปฏิบัติสักที ไปปฏิบัติธรรมอยู่ในกรอบ ในกรม ในศูนย์ ปฏิบัติธรรม ศูนย์อบรมธรรม หรือศูนย์ภายในกายนี้ ไม่ดูสักที ไม่เข้าสักที ตั้งแต่ต้นเหตุ ไปเอาตั้งแต่ศูนย์ข้างนอก ให้ตั้งแต่เขาตีกรอบ ตีกรอบพาเดิน พานั่ง พาทำ พาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติได้ยินเสียงระฆังแล้วก็ลุกเตรียมตัวตั้งแต่ดึกๆ เดินจงกรม นั่งสมาธิ มีคนพาบอก พาเดินพานั่ง มีแต่คนโง่นะ คนฉลาดเขาจะแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา พอตีระฆังหมดเวลาเท่านั้นแหละใจมันโล่ง วิ่งเข้าห้องน้ำ มันโดน โดนบังคับหลายชั่วโมง พอไปเข้าห้องน้ำมันแย่งกันเข้าได้ล่ะทีนี้ กูจะเข้า มึงจะเข้าเถียงกัน ทุกข์อีก ถ้าไม่รู้จักควบคุมใจ ควบคุมอารมณ์

ไม่ว่าพระว่าโยมก็เหมือนกันแหละ คล้ายกันหมดนะ เพราะมีขันธ์ห้าเหมือนกัน มีใจเหมือนกัน แค่ไม่รู้จักแก้ไข ถ้ารู้จักใจแล้วรู้จักดับ รู้จักละ แล้วจะมองเห็นเป็นธรรมดาหมด เห็นเป็นธรรมดาหมด ไม่เหลือวิสัยหรอก บางคนก็ไปได้เร็ว บางคนก็ไปได้ช้า เพราะว่าวิบากของแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนก็ไปร่อนเร่ที่นั่นบ้าง ร่อนเร่ที่นี่บ้าง บางคนก็ไปสร้างงอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างบารมี ถึงเวลาแล้วอยู่คนเดียวก็ต้องเข้าใจ ตราบใดที่เรายัง ใจของเรายังอยู่ในกองบุญอยู่ ถึงเวลาก็ต้องเข้าใจ เพราะว่าทรัพย์ที่เราสร้างขึ้นมาจะส่งผลให้เราถึงวันข้างหน้าอยู่ ถึงไม่หลุดพ้นวันนี้ เดือนนี้ปีหน้าก็ไปต่อเอาภพหน้า ถ้าไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราสร้างมานี่แหละจะเป็นตบะเป็นอานิสงส์แห่งบุญเกื้อหนุนตัวเราให้ไม่ได้ลําบาก

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคนจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่ง สักนาที 2 นาทีก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก น้อมหมายถึงมองเข้าไปในกายของเรา ความสร้างความรู้ตัว การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกนั่นแหละ เขาเรียกว่าสติรู้กาย

ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องทั้งลมหายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้า หายใจออก ให้เป็นธรรมชาติที่สุด เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ ความรู้ตัว รู้พร้อมกันแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอตื่นขึ้นมาลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ ส่วนใจนั้นเขาก็ปกติอยู่ ขณะที่เรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เวลาใจจะคิด จะเกิด มันจะเริ่มปรุงแต่ง เราก็จะเห็น เห็นแล้วก็รู้จักหยุดจักดับจักควบคุม ใหม่ๆ ดับไม่ได้ก็ควบคุม เหมือนกับขโมยขโจร นักโทษหนักก็ต้องควบคุม ทั้งใส่โซ่ตรวน ทั้งเฆี่ยน ทั้งตี จนกว่าจะประพฤติปฏิบัติดีก็ค่อยคลายโซ่ตรวน ค่อยปล่อย ค่อยคลาย ใจก็เหมือนกัน เปรียบเสมือนกับนักโทษ เปรียบเสมือนกับลิงเร็วไว ก็ต้องใช้เชือกใช้โซ่ไปผูก ก็สตินี่แหละ เปรียบเสมือนเชือกกับโซ่ ผูกกับลมหายใจ ใจก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ

เพียงแค่การเจริญสติยังไม่เพียงพอ ถ้ากําลังสติของเราต่อเนื่องเข้มแข็ง แล้วก็เราขยับเขยื้อน รู้เท่าทันใจ อบรมใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากความคิด คลายออกจากขันธ์ห้า เขามีอยู่เดิมหมด ของเก่ามีหมด แต่กําลังสติของเราไม่รู้ ไม่เห็น เพราะว่าเราไม่ได้เจริญให้ต่อเนื่อง พอที่จะเอาไปใช้การใช้งานได้ เขาก็เลยหลงไปกับความคิดเก่าๆ เขาก็เอาสิ่งดีๆ นั่นแหละมาหลอก เขาถึงว่าใจหลอกใจ จิตหลอกจิต ขันธ์ห้าหลอกจิต แม้สติปัญญาก็ยังหลอกตัวเอง

เราแยก เราแยกได้ คลายได้ ตามดูได้ เห็นเหตุเห็นผล ละได้ ใจคลายออกอยู่ในความเป็นกลางไม่เข้าข้างตัวเองได้นั่นแหละ ทุกวินาทีทุกลมหายใจเข้าออก จนไม่มีอะไรเหลือ จนสติปัญญาที่เราสร้างมากลายเป็นมหาสติ จากมหาสติกลายเป็นมหาปัญญา ชี้เหตุชี้ผล ดำเนินเอาสติปัญญาไปใช้ รอบรู้ในใจในขันธ์ห้า รอบรู้ในโลกธรรม บริหารสมมติ อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ด้วยใจที่สะอาด ด้วยใจที่บริสุทธิ์ อยู่กับบุญ ตัวใจนั่นคือตัวบุญ ใจไม่มีกิเลส ใจไม่เกิด ใจบริสุทธิ์ นั่นแหละคือตัวบุญเลย บุญเป็นตัว มีความสุข ใครๆ ก็อยากจะได้สิ่งนี้ แสวงสิ่งนี้

สมัย 30 ปีก่อน พอหลวงพ่อเห็นจุดนี้ปุ๊บ มองเห็นหลวงปู่หลวงตาอายุมากๆ กําลังจิตของท่านคงจะมาก ทำให้หลวงพ่อต้องเข้ามาป่าช้าองค์เดียว สมัยก่อนอยู่ในบ้าน สองทุ่มออกมาป่าช้า ตีห้ากลับเข้าไปในบ้าน มาอยู่ตามหลุมศพ มาฝึกละความกลัว ละความกลัวแล้วก็ไปละความอยาก ละความเกิด ตั้งแต่ 30 ปีก่อน มันเกิดตรงไหนดับมันตรงนั้น เคี่ยวเข็ญมันทุกวินาที ทั้งละความกลัว ละความอยาก บางทีก็อดอาหารทีละมื้อ สองมื้อ เคลื่อนไปเป็นอาทิตย์ สองอาทิตย์ อดหลับอดนอน ตามดูใจ สติพลั้งเผลออย่างไร 4 ปีแน่ะใจถึงสงบนิ่งได้ ใจถึงไม่เกิดได้ ขนาดใจปล่อยวาง แยกแยะขันธ์ห้า ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทั้งอดอาหาร ทั้งอยู่ตามป่าตามเขาตามถ้ำ ขนาดใจเนี่ยว่างมาแต่เป็นเด็ก ถ้าแยกได้ ตามดูได้ ไปอ่านหนังสือเล่มไหน น้อมดูใจมีหมดถ้าเราเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจ นิดๆ หน่อยๆ ก็ปิดกั้นเอาไว้หมด เพราะว่าเป็นของละเอียดมากทีเดียว เราก็ต้องพยายามอย่าไปท้อ เดินให้ถึงจุดหมายสักวันหนึ่ง เราก็คงจะถึงจุดหมายกัน

หลวงพ่อก็ร้องอ๋อ แต่ก่อนเราเป็นเด็กมันก็มีอยู่ เห็นอยู่ แต่ทำไมเราไม่เข้าใจ อ่านหนังสือธรรมะของพ่อตั้งเยอะแยะ ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้หนังสืออะไร พอมาเห็นตรงนี้ แยกตรงนี้ได้ ตามดูได้ จับหนังสือเล่มไหนก็เข้าใจหมด เทียบเคียงดูความเป็นกลาง ความว่าง เห็นการเกิดการดับ มาละกิเลส มาละความกลัว เอาออกให้มันหมดอย่าให้เหลือ คนทั่วไปน่ะสติก็ไม่ได้สร้าง ความอยากก็มีตั้งแต่วิ่งหา พระเราก็เหมือนกัน เห็นอะไรก็มีแต่เพียงแค่เรื่องเอกลาภก็น้อมหาวิ่งใส่มันจะเป็นเข้าถึงได้อย่างไร เขาให้เอาออกให้ขัดให้เกลา ให้เอาออก ให้มาด้วยแรงบุญ ให้เกิดด้วยแรงบุญ ให้ทำด้วยแรงบุญ มันถึงจะเป็นอานิสงส์ที่แท้จริง

พอบวชเข้ามาปุ๊บ เราก็ยากได้ธรรม อยากรู้ธรรมก็หาด้วยความอยาก อยากได้ลาภได้ยศก็สารพัด โน้มน้าวสารพัดอย่าง มันปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็เหมือนกัน ถ้ารู้ความจริงแล้วจะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นการบริหารด้วยปัญญา ทำให้เกิดประโยชน์ขณะที่เรายังมีลมหายใจ นี่สร้างให้เกิดประโยชน์กับคนหมู่มากส่วนมาก เราก็ปล่อยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่เราสร้างด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่เราสร้างด้วย

เพียงแค่ระดับของสมมติ ก็พากันทำให้มันดีเถอะ กายของเราก็ยังอาศัยโลกธรรม อาศัยที่พักที่อยู่ที่หลับที่นอนปัจจัยสี่อยู่ ยังจะมาสร้างความเกียจคร้าน มาทะเลาะเบาะแว้งกัน กูดีมึงดี กูทำน้อยมึงทำมาก สารพัดอย่างกิเลสมันจะเล่นงาน เราทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน ไล่ลึกลงไปจัดระบบระเบียบของความคิด อารมณ์ อะไรควรคิด ถ้าเกิดจากใจนี่หยุดไม่ให้เกิดโดยตรงเลย

แม้แต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลก็ยังให้ดับอีก ไม่ให้เกิดอีก แล้วก็ดูเวลา เวลาไหนควรพูด เวลาไหนไม่ควรพูด คำๆ เดียว เวลานี้พูดจะเกิดประโยชน์หรือไม่ เวลาไหนพูดจะเกิดประโยชน์ อันนี้คําพูดวาจาก็ไม่รู้จักรักษา ตื่นขึ้นมาเหมือนกับนกกระจอก เจี้ยวเจ้าๆๆ ไม่ว่าพระว่าโยมมาชี ใจมันจะเป็นนิ่งได้อย่างไร สติก็ไม่ได้สร้าง จะไปโทษใครล่ะถ้าไม่โทษเรา จะไปเที่ยวโทษแต่คนโน้น ไปที่โน่นไม่รู้ธรรม ไปที่นี่ไม่รู้ธรรม ไม่เคยโทษตัวเองสักที ไม่เคยแก้ไขตัวเองสักที ไปเที่ยวโทษแต่คนโน้น คนโน้นไม่ดี คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เพียงแค่วาจาก็ยังไม่รู้จักรักษา นั่นแหละวิบากกรรมเพียงแค่วาจา ใจล่ะ มันคิดมันวิ่งอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามเอา ถ้ารู้จักรักษาเรา เราก็รู้จักรักษาสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ สร้างประโยชน์จนกว่าจะหมดลมหายใจ ก็ต้องพากันเดินนะ

วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง