หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 106
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 106
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆนะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย พิจารณาใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้น เราจะเอาอะไรไปพิจารณา สติที่เราสร้างขึ้นมานั่นแหละ เราสร้างขึ้นมาแล้วหรือยัง เราทำให้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง เรารู้ลักษณะของใจของเราแล้วหรือยัง อะไรคือใจ อะไรคือกาย อะไรคือรูป อะไรคือนาม ปัญญา ความรู้ตัว ความรู้ตัวไม่มี ก็รู้ไม่เท่าทันใจ ความรู้ตัวไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา ความไม่ต่อเนื่องเราก็พยายามๆ สร้างให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดการดับของใจของความคิดนั้นเขามีมาตั้งแต่นานแล้ว เขาหลงมาตั้งนาน เขาหลงมาเกิดในภพน้อยภพใหญ่ เรายังไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านให้เอาภพของมนุษย์นี่แหละ ศึกษาภพของมนุษย์นี่แหละ ซึ่งมีวิญญาณในกายของเราให้กระจ่าง วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร หรือว่าตัวใจของเราทำไมถึงเกิด ทำไมถึงเป็นทาสของกิเลส มันเป็นหน้าอย่างไร ขันธ์ห้าหน้าตาอย่างไร หน้าตานั่งเหมือนกับท่านเจ้าคุณนี่แหละ ขันธ์ห้ามีใจมายึดว่าเป็นตัวเป็นตนของตัวเองจริงๆ แล้วก็เป็นหญิงเป็นชาย ท่านก็ว่าเป็นสักแต่ว่าธาตุ ถ้าคนไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจหรอกเรื่องนี้
เขาว่าตัวกูของกู อันนั้นก็ของกู ตัวกู ภาษาโลกเขาพูดกันอย่างนั้น ส่วนภาษาธรรมไม่เห็นมีอะไร มีตั้งแต่ธาตุสี่มาประชุมกันเข้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง แล้วก็มายึด มายึดแล้วก็ธาตุขันธ์แตกดับก็ไปสร้างภพใหม่ ถ้าเป็นภพที่ดีก็มีความสุข ถ้าเป็นภพที่ไม่ดีก็มีความทุกข์ ท่านก็ให้ศึกษาตั้งแต่ยังมีกําลัง ยังมีลมหายใจให้ดีๆ น้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญกองกุศล ด้วยแรงศรัทธา ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ศรัทธาต้องมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงด้วย ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหมอดูหมอเดา เราต้องให้รู้แจ้งเห็นจริง เห็นการเกิดการดับ ละกิเลสให้ได้ด้วย นั่นน่ะถึงจะเข้าถึงคําสอนของพระพุทธเจ้า
คำว่าพุทธะก็คือ ผู้รู้ นามของผู้รู้ พุทธเจ้า พระพุทธองค์ เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ที่ใจ ใครเห็นใจคนนั้นเห็นธรรม คนไหนเห็นธรรมคนนั้นเห็นพระพุทธเจ้า พุทธะก็รู้ใจ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเป็นพุทธะทั้งเป็นพุทธหลง ส่วนมากก็เป็นพุทธหลง เพราะว่ามันยังเกิดยังวิ่งอยู่ กําลังสติมีไม่เพียงพอที่จะไปอบรม ไปฝึก ไปสอนใจ เพียงแค่สร้างก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง มันก็ได้บุญอยู่ มันก็ได้บุญอยู่แต่บุญยังหลงอยู่ ถ้าเราเข้าใจมันไม่ยากหรอก หายใจมันยังยากกว่า ปอกกล้วยกินยังยากกว่า กว่าจะปอก กว่าจะเคี้ยว กว่าจะกลืน
การศึกษาใจเจริญสติเข้าไปอบรมใจ มีแต่ดูกับรูป ใจเกิดกิเลสเราก็ดับเราก็ละ ใช้กําลังตบะบารมี ความเพียร ของสติปัญญาให้แหลมคมเร็วไว วิบากกรรมสมมติ วิบากกรรมมันไม่คลายก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายามสร้างกุศลกรรมให้เต็มเปี่ยม ตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า ตื่นขึ้นมาเรามีความรับผิดชอบ อะไรคือสติ อะไรคือปัญญา ใจฝักใฝ่ในบุญ
ทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว มาเอาทุกวันเลยนะ ตั้งแต่ต้นเดือนมานี่ แทบทุกวันนี้ วันละโลงๆๆ เมื่อวานนี้ก็มาเอา 1 โลง ความตายให้เรามองได้เห็นได้พิจารณา อีกสักหน่อยเราก็จะตายเหมือนกัน ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบคนที่ไปก่อน ให้พิจารณาความตายให้มันกระจ่าง อะไรตาย กายตายหรือว่าใจตาย ใจมันตายไม่เป็น ถ้ากายเนื้อแตกดับมันก็ไปหาบ้านใหม่ สร้างบ้านใหม่ สร้างภพใหม่ แต่จะมองด้วยตาเนื้อมองไม่เห็นหรอก ต้องมองด้วยตาปัญญา ด้วยการเจริญสร้างสติเข้าไปอบรม สตินี้คนทั่วไปเขาเรียกว่าผู้รู้ มาสร้างผู้รู้ ใจนี้เป็นธาตุรู้ แต่เขาทั้งรู้ด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งเกิดด้วย มันก็รู้ด้วยความหลงก็ไปอยู่อย่างนั้นแหละ พยายามเอา
ดูดีๆนะ แม่ชีเราก็เหมือนกัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง อะไรไม่อร่อยก็ไม่ต้องเอา เอาแต่สิ่งที่อร่อยๆ ใจมันอยากมันว่างั้น เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม บอกเอาเยอะๆ พอเอาแล้วก็ทานไม่ค่อยจะได้ ทานได้นิดเดียว กิเลสมันเล่นงานเอา แต่ก็ให้เลือกเอาด้วยปัญญานั่นแหละ เอาเลือกเอาในสิ่งที่เป็นประโยชน์นั่นแหละ อันไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่เอา ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน เพียงแค่ความอยากความหิวยังแยกไม่ได้ รวมกันไปหมด ถ้าเราจะฝึกศึกษาจริงๆ แล้วก็นั่งดูสิมันเกิดอย่างไร อยากอย่างไร หิวอย่างไร ความคิดมันก่อตัวอย่างไร เพียงแค่สร้างกําลังสติให้มันได้ เชื่อมโยงกันให้มันได้ ให้ความเกิดความดับของใจนั้นมันมีอยู่เดิม ความคิดเก่าๆ ความคิดโลกๆ ถ้ารู้ด้วยเห็นด้วยนี่จะสนุก ถ้ากิเลสตัวไหนมันจะมาเล่นงานเรา เราแพ้ให้กิเลสหรือเปล่า
ชาวระยองมากันสักกี่คนนะ มากัน 11 คน โอ้ดีจัง โยมอาจารย์ธานินทร์มีบริวารเยอะทั่วประเทศหลายร้อยหลายพันคน ท่านก็ให้บริวารมา มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ถูกบังคับมาหรือเปล่าหรือว่าสมัครใจมา ถูกบังคับมาหรือเปล่าชาวระยองหรือสมัครใจมา คงจะสมัครใจมาเนอะ มีอะไรก็ช่วยกันทำเด้อ มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ได้เจ้านายที่ดีก็อย่างนี้แหละ เจ้านายมาบวชได้รับความสงบ ได้รับความสุข เห็นตัวเองแล้วก็อยากจะให้บริวารได้รู้ใจตัวเอง ก็ส่งมา มาฝึก มาช่วยการช่วยงาน ทำงานไปด้วยได้ประโยชน์ไปด้วย สร้างบารมีไปด้วย
กลับไปบ้าน บ้านที่พักที่อาศัยตรงไหนไม่ดีก็ทำมัน ตรงไหนมันที่ไม่สะอาด ก็ทำมัน เจริญสติไปด้วย ละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน ความขยันไม่เพียงพอ เพิ่มความขยันเข้าไปอีก ก็จะมีความสุข อะไรมันผิดพลาดแก้ไข ผิดพลาดแก้ไข นิวรณ์ก็ไม่ครอบ ความเกียจคร้านก็ไม่ครอบงำ ต่อไปข้างหน้า อันนี้ลักษณะของสติ อันนี้ลักษณะของใจยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่ สนุกสร้างบุญ เราทำหน้าที่ของเราแล้วหรือยัง
เจ้านายให้ทำบุญให้กับบริวาร ทีนี้บริวารทำบุญให้กับตัวเอง ทำบุญให้กับเจ้านาย ด้วยความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเสียสละ รู้จักบริหาร ทั้งสมมติ วิมุตติ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่เกียจคร้าน อยู่คนเดียวก็แก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา มาอยู่ที่วัดถามท่านเจ้าคุณมีอะไรให้ฉันทำบ้าง ตรงไหนไม่ดีก็ทำ ช่วยกัน ช่วยกันก่ออิฐๆ ช่วยกันทำทุกอย่างนั่นแหละให้เป็นประโยชน์ ประโยชน์ภายนอก ประโยชน์ภายใน มันเกื้อหนุนกันหมด ถ้าคนเราเอาได้ความเกียจคร้าน งอมืองอเท้า ทำอะไรก็ไม่เป็น ไปปฏิบัติธรรมก็ยังไม่รู้จัก อันโน้นก็ผิด อันนี้ก็ผิด ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง อีกสักหน่อยป้อนข้าวก็ให้คนป้อน ปฏิบัติธรรมมันต้องเก่ง ล้างถ้วย ล้างชาม ทำความสะอาดที่พัก ที่อาศัย ที่หลับ ที่นอน ที่ถ่าย ที่เยี่ยว ก็สมมติของเรายังอาศัยปัจจัยสี่อยู่
แต่เราต้องเข้าใจในตัวใจของเราให้ได้เสียก่อน ใจต้องคลายจากความยึดมั่นถือมั่น คลายจากขันธ์ห้า ดับความเกิดของใจ มีมากมีน้อย ทำมากทำน้อย ทำด้วยปัญญา แต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปอยู่ที่ไหนมันก็เกียจคร้านเพิ่มไปเรื่อยๆ เป็นดินพอกหางหมู เพียงแค่ระดับของสมมติโลกธรรมก็ยังไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง มันก็เลยลําบาก ลําบากตัวเอง ลําบากคนอื่น ลําบากทุกอย่าง นี่ก็ลําบากส่งถึงข้ามภพข้ามชาติ
บางคนก็ถอนใจออกจากความจมดิ่งไม่ได้ ก็จมดิ่งอยู่กองทุกข์อยู่อย่างนั้น เราต้องมาฝึก มาศึกษาเรื่องชีวิตของเรา ความขยันหมั่นเพียร ให้เป็นเลิศ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละจนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ช่วยเหลือตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นเสียก่อน มันก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่เพื่อนสู่ฝูง ช่วยตัวก็ไม่ได้ บอกตัวเองก็ไม่ได้ ใช้ตัวเองก็ไม่เป็น สอนตัวเองก็ยังไม่ได้ อย่าไปให้เที่ยวคนอื่น คนอื่นเขาสอนได้อย่างไร กิเลสก็ของเรา กายก็เป็นของเรา ใจก็เป็นของเรา แต่เราไม่รู้จักการเจริญสติเข้าไปจําแนกแจกแจงแยกแยะ วิเคราะห์หาเหตุหาผล
คําสอนนั้นมีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ถึงท่านไม่ค้นพบก็มีอยู่ประจำโลก แต่ท่านเป็นบุคคลที่ค้นพบวิธีการแนวทางแล้วก็มาเปิดเผยจําแนกแจกแจง พวกเราจะเดินตามหรือไม่เท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องไปหาที่โน่นที่นี่หรอก หาโอกาสหาเวลาดูตัวเรา ไปศึกษาที่โน่นที่นี่ก็เพื่อหาแนวทางหาวิธี แต่การกระทำเจริญสติลงที่กายของเรา มันต่อเนื่องสืบเนื่อง ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ตื่นขึ้นมาความคิดมันเกิดสักกี่เที่ยว เกิดจากใจโดยตรงหรือเกิดจากขันธ์ห้า จากอาการของใจ อะไรคือสติอะไรคือปัญญา เสียเวลาเปล่าๆ นะถ้าไม่รู้จักใจของตัวเอง
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เสียเวลา ช่วงใหม่ๆ ก็ไม่เข้าใจ เราไปหาแสวงหาแนวทางหาวิธี รู้แนวทาง แล้วเอาจัดการตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติพลั้งเผลอได้อย่างไร ใจมันเกิดมลทินได้อย่างไร อคติ เพ่งโทษคนโน้นคนนี้ มีแต่ของเราทั้งนั้นนะ ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็รีบแก้ไขรีบละ เจริญในทางที่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน อคติคนโน้นคนนี้ เราก็พยายามละความอคติ มองเห็นตั้งแต่สิ่งที่ดีๆเขาบ้าง สิ่งไหนที่ไม่ดีเราก็อย่าไปมอง ต่อไปข้างหน้ามองแล้วใจมันไม่เกิด ใจไม่ปรุงไม่แต่ง ก็สักแต่ว่ามอง สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง แยกรูปรส กลิ่น เสียง ออกจากใจของตัวเรา แต่ตา หู จมูก ลิ้น เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว เราอย่าไปห้ามว่าตาอย่าไปดูนะ หูอย่าไปฟังนะ ไม่ได้หรอก เขาทำหน้าที่ของเขาโดยอัตโนมัติ แต่ส่วนมากก็ไปโทษเอาตั้งแต่ภายนอกว่ามารบกวนตัวเรา มารบกวนตัวเอง อันโน้น คนโน้นก็มารบกวน คนนี้ก็มารบกวน ที่ได้เลย เขาทำหน้าที่ของเขา แล้วไม่ไปจัดการกับใจของตัวเรา
ถ้าเราอยากจะหลบหลีก ก็หลบหลีกด้วยสติด้วยปัญญา แก้ไขด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด ไม่ต้องมาเถียงคําสอนของพระพุทธเจ้า ท่านบอกให้ปฏิบัติตามเสียก่อน ให้รู้ ให้เห็น ท่านถึงบอกให้เชื่อ ถ้าสอนตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นแล้วก็ มันหมดหนทางที่จะเดินได้ถึงจุดหมายนะ ก็ต้องพยายาม ล้มลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ บุญภายนอกเราก็ช่วยกันทำ สร้างความขยันทำลงไปไม่ต้องกลัวตาย ถึงเวลามันก็จะตายเองแหล่ะ ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ก่อนที่จะถึงเวลานั้นพยายามยังประโยชน์ยังบุญให้เต็มเปี่ยม เท่าที่โอกาสจะเอื้ออํานวยให้
ส่วนทางโรงทานก็คงจะ ทางแม่ครัวโรงทานต่างๆ เห็นว่าวันเสาร์วันอาทิตย์ช่วงเช้าก็จะทำทางนี้อยู่ หลังจากนั้นก็จะไปตั้งทางโน้นตลอด เพราะว่าความลําบาก เคลื่อนหลายที่หลายทิศหลายทาง การเคลื่อนย้ายก็เลยไปทำที่จุดเดียวที่ลานเจดีย์ ตื่นเช้าๆ เราเดินลงไปทานข้าวที่โน่นก็ได้ หรือว่าทานที่โรงครัวก็ได้ อย่าไปปล่อยให้หิว
ทางระยองเราก็มีอะไรก็ให้เหมือนกับบ้านของเรานะ อย่าไปกังวลอะไร ให้ทำใจให้สบาย ทำกายให้สบาย มีอะไรเราก็ช่วยกันทำ ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมดูใจ วิเคราะห์ใจของเราบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ถ้าเราไม่แก้ไขใจเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเรา ส่วนบุญอานิสงส์ของสมมติเรามีโอกาสได้ร่วมกันได้ช่วยกัน อันโน้นบ้าง อันนี้บ้าง ได้ทำช่วยกัน ยังประโยชน์ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลัง
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง นั่งตามสบาย วางกายให้สบายและก็วางใจให้สบาย กายของเราก็วางจากพันธะภาระหน้าที่ทางโลกทางสมมติ ทางบ้านทางการงานเก่าๆ มาแล้ว จนกระทั่งน้อมกายของเราเข้ามาอยู่ในวัด ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจของเราเอาไว้ มาเจริญสติ มาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์กันมากเลยทีเดียว เพียงแค่รู้เรื่องลมหายใจนี่ก็รู้กายนะ มีสติเน้นลงที่กาย สร้างความรู้ตัวลงที่กาย หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ทีนี้เรารู้ได้สักนาที 2 นาที 5 นาที 10 นาที จนเป็นชั่วโมง จนเป็นวัน จนทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ก่อนที่จะเป็นทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิตได้ ความรู้ตัวตรงนี้ต้องเอาไปใช้จนรู้เท่าทัน ใจคลายออกจากความคิด เพียงแค่ใจคลายเท่านั้นแหละ มันก็เริ่มจะมองเห็นหนทาง เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงในการบริหารการดำเนินในข้อแรกของอริยมรรคในองค์แปด คือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เห็นอะไร เห็นใจคลายออกจากความคิด นั่นเขาเรียกว่าคลายความหลง เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ใจว่าง พลิกจากของที่คว่ำ หงายขึ้นมา ใจก็เลยว่าง กายแต่ก่อนเคยหนัก เดินนี่หนัก กายก็จะเบาเหมือนกับจะเหาะ เดิน
ทีนี้ก็เห็นการเกิดการดับของความคิด ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ตามดูว่ามันเกิดอย่างไร มันตั้งอยู่อย่างไร มันดับไปอย่างไร พอดับไปแล้ว อนัตตาความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏเรื่องใหม่เข้ามาอีก ใจของเราเข้าไปร่วมหรือไม่ ถ้าไม่เข้าไปร่วมก็ตามดู มันเป็นเรื่องอะไร นั่นแหละเขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า
ตัวใจนี้เขาเรียกว่าตัววิญญาณ ตัวสุดท้ายในกายของเรา มองเห็นความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องนี้ สอนอย่างนี้ วิธีการอย่างนี้ ท่านบอกให้รู้ ให้เห็น แยกให้ได้ ตามดูให้ได้ ใจเกิดส่งออกไปรวมกับขันธ์ห้า เขาหลงทำให้เกิดอัตตาตัวตน ทีนี้ใจส่งไปปรุงแต่ง ส่งไปภายนอกนะ ไปรวมกับขันธ์ห้า ทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งส่งออกไป เขาเรียกว่าใจส่งไปภายนอก หรือว่าเกิดจากตัวใจปรุงแต่งส่งออกไปโดยตรง ในความคิดนั้นมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส กิเลสหยาบหรือกิเลสละเอียดอีก มันไล่เรียงซอยลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะขัดเกลากิเลสออกหมด จนดับความเกิดนั่นแหละ ใจเกิดนั่นแหละมันยังหลงอยู่
เราต้องมาเจริญสติเอาไปใช้ ไปวิเคราะห์ ท่านถึงบอกว่าให้อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ไม่เห็น ไม่ทำไม่ได้ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะใช้ชีวิตมันจะมีแต่กองทุกข์ กายนี้มันกองทุกข์อยู่แล้ว แต่เรามาทำความเข้าใจ บริหารให้มันถูกต้องเสีย มันก็จะอยู่ดีมีความสุข มันก็สุขแบบอยู่บนกองทุกข์นั่นแหละเพราะกายมันก้อนทุกข์ ถึงเวลามันก็ต้องแตกต้องดับแต่เราต้องมาศึกษาเรื่องใจของเรา ไม่ให้ใจของเราไปเกาะไปเกี่ยว ไปยึด ไปหลงอะไร ทำใจให้สะอาด ก่อนที่จะหมดลมหายใจ มองเห็นหนทางเดิน มันมีทางเดียวเท่านี้แหละ ที่หลวงพ่อต้องพูดกันอยู่สิ่งเดียวเท่านี้แหละมาเป็น 20-30 ปี นอกนั้นก็มีตั้งแต่ผักบุ้งโหรงเหรงทั้งนั้นแหละ
ถ้าเราจับจุดถอนรากถอนโคนมันได้ อยู่ที่ไหนมันก็ดับความเกิดให้มันได้ มันต้องไม่กลับมาเกิดกัน มองเห็นหนทางเดินว่าจะกลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด สติก็ไม่ได้สร้าง ไม่ได้ทำให้ต่อเนื่อง มันจะเอาไปประหัตประหารกิเลสได้อย่างไร บุญก็ทำอยู่ ศรัทธาก็มีอยู่ แต่เป็นศรัทธาที่ใจมันยังเกิด ยังหลงอยู่แต่ก็ยังดี ยังหลงอยู่ในบุญในการทำบุญให้ทาน เป็นตบะ เป็นบารมี เป็นเข้าพกเข้าห่อ ต้องศึกษาให้มันรอบ ให้มันรอบในดวงใจ รอบในโลก รอบในสมมติ รอบในวิมุตติ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมันเกิดอย่างไร หน้าตาอย่างไร มันมีไม่มากหรอก มันมีอยู่ในกายของเรากับใจของเราเท่านั้นเอง นอกนั้นเราก็มีตั้งแต่เอามาทับถมดวงใจของตัวเรา จนหมักหมมจนเป็นดินพอกหางหมู ไม่จบไม่สิ้น
เราต้องพยายามแก้ไขๆ ได้เท่าไรก็ต้องพยายามนะ อย่าว่าไม่ทำ ต้องพยายามเอา อยู่ใกล้ อยู่ไกล เรามีโอกาสได้มาร่วมกัน มาสร้างอานิสงส์สร้างบุญร่วมกัน ก็ขอให้ระวังหน่อยนะ ก็ขโมยขโจรมาเยอะทุกวันๆ เลย มันเด็กๆ มันมาขโมยขโจรของอะไรต่างๆ มาเผลอเมื่อไร มันขโมย เผลอเมื่อไรมันขโมย ยิ่งญาติโยมเข้ามากันเยอะๆ มันไป ยิ่งโทรศัพท์ โทรอะไรต่างๆ ไปเสียบเอาไว้ ชาร์จไฟเอาไว้ เผลอเมื่อไรมันก็ขโมยไป กระเป๋าพวกนี้มันก็ไปค้น เมื่อวานนี้ก็ไปคว่ำเอาตู้ตุ่มบริจาค ตุ่มร่วมบุญกันที่ธรรมจักร มาช่วยกันงัดกันคว่ำ 4-5 คนเด็กๆ ก็ไม่เด็กหรอกรุ่นหนุ่มนี่แหล่ะ เราก็ยกให้เป็นกรรมนะ
เขาทำกรรมอย่างไรก็ยกให้ไปให้เรื่องกรรม เป็นเรื่องของกรรมเป็นเครื่องตัดสิน กฎหมายลงโทษไม่ได้ก็ยกให้เป็นกรรม แล้วก็ระวังดูแลของเราให้มันดี เราก็อย่าประมาท ไม่ว่าอยู่ที่ไหนที่บ้าน ที่ไร่ ที่นา ที่ทำการทำงาน ให้มีสติระลึกรู้ รู้กายรู้ใจ แก้ไข ปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา แก้ไขใจของเราตลอดเวลา ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ใครทำอย่างไรก็ยกให้เป็นเรื่องของกรรม
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องกรรม ถ้าเราเข้าใจในเรื่องกรรม ก็กรรมภายในของเราให้ได้ คือแยกรูปแยกนาม แล้วก็กรรมเก่าก็คลาย ถึงเราละกิเลสได้หมดจด กรรมเขาก็ตามไม่ทันก็เป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ใจของเราก็ไม่หลงไม่ยึด ก็เป็นเรื่องปัญญา เขาเรียกว่ากําลังสติ กิริยาของสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน รอจนธาตุขันธ์ของเราแตกดับ ก็กลับเข้าสู่ความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจศึกษาต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
ส่วนการเกิดการดับของใจของความคิดนั้นเขามีมาตั้งแต่นานแล้ว เขาหลงมาตั้งนาน เขาหลงมาเกิดในภพน้อยภพใหญ่ เรายังไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านให้เอาภพของมนุษย์นี่แหละ ศึกษาภพของมนุษย์นี่แหละ ซึ่งมีวิญญาณในกายของเราให้กระจ่าง วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร หรือว่าตัวใจของเราทำไมถึงเกิด ทำไมถึงเป็นทาสของกิเลส มันเป็นหน้าอย่างไร ขันธ์ห้าหน้าตาอย่างไร หน้าตานั่งเหมือนกับท่านเจ้าคุณนี่แหละ ขันธ์ห้ามีใจมายึดว่าเป็นตัวเป็นตนของตัวเองจริงๆ แล้วก็เป็นหญิงเป็นชาย ท่านก็ว่าเป็นสักแต่ว่าธาตุ ถ้าคนไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจหรอกเรื่องนี้
เขาว่าตัวกูของกู อันนั้นก็ของกู ตัวกู ภาษาโลกเขาพูดกันอย่างนั้น ส่วนภาษาธรรมไม่เห็นมีอะไร มีตั้งแต่ธาตุสี่มาประชุมกันเข้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง แล้วก็มายึด มายึดแล้วก็ธาตุขันธ์แตกดับก็ไปสร้างภพใหม่ ถ้าเป็นภพที่ดีก็มีความสุข ถ้าเป็นภพที่ไม่ดีก็มีความทุกข์ ท่านก็ให้ศึกษาตั้งแต่ยังมีกําลัง ยังมีลมหายใจให้ดีๆ น้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญกองกุศล ด้วยแรงศรัทธา ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ศรัทธาต้องมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงด้วย ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหมอดูหมอเดา เราต้องให้รู้แจ้งเห็นจริง เห็นการเกิดการดับ ละกิเลสให้ได้ด้วย นั่นน่ะถึงจะเข้าถึงคําสอนของพระพุทธเจ้า
คำว่าพุทธะก็คือ ผู้รู้ นามของผู้รู้ พุทธเจ้า พระพุทธองค์ เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ที่ใจ ใครเห็นใจคนนั้นเห็นธรรม คนไหนเห็นธรรมคนนั้นเห็นพระพุทธเจ้า พุทธะก็รู้ใจ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเป็นพุทธะทั้งเป็นพุทธหลง ส่วนมากก็เป็นพุทธหลง เพราะว่ามันยังเกิดยังวิ่งอยู่ กําลังสติมีไม่เพียงพอที่จะไปอบรม ไปฝึก ไปสอนใจ เพียงแค่สร้างก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง มันก็ได้บุญอยู่ มันก็ได้บุญอยู่แต่บุญยังหลงอยู่ ถ้าเราเข้าใจมันไม่ยากหรอก หายใจมันยังยากกว่า ปอกกล้วยกินยังยากกว่า กว่าจะปอก กว่าจะเคี้ยว กว่าจะกลืน
การศึกษาใจเจริญสติเข้าไปอบรมใจ มีแต่ดูกับรูป ใจเกิดกิเลสเราก็ดับเราก็ละ ใช้กําลังตบะบารมี ความเพียร ของสติปัญญาให้แหลมคมเร็วไว วิบากกรรมสมมติ วิบากกรรมมันไม่คลายก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายามสร้างกุศลกรรมให้เต็มเปี่ยม ตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า ตื่นขึ้นมาเรามีความรับผิดชอบ อะไรคือสติ อะไรคือปัญญา ใจฝักใฝ่ในบุญ
ทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว มาเอาทุกวันเลยนะ ตั้งแต่ต้นเดือนมานี่ แทบทุกวันนี้ วันละโลงๆๆ เมื่อวานนี้ก็มาเอา 1 โลง ความตายให้เรามองได้เห็นได้พิจารณา อีกสักหน่อยเราก็จะตายเหมือนกัน ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบคนที่ไปก่อน ให้พิจารณาความตายให้มันกระจ่าง อะไรตาย กายตายหรือว่าใจตาย ใจมันตายไม่เป็น ถ้ากายเนื้อแตกดับมันก็ไปหาบ้านใหม่ สร้างบ้านใหม่ สร้างภพใหม่ แต่จะมองด้วยตาเนื้อมองไม่เห็นหรอก ต้องมองด้วยตาปัญญา ด้วยการเจริญสร้างสติเข้าไปอบรม สตินี้คนทั่วไปเขาเรียกว่าผู้รู้ มาสร้างผู้รู้ ใจนี้เป็นธาตุรู้ แต่เขาทั้งรู้ด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งเกิดด้วย มันก็รู้ด้วยความหลงก็ไปอยู่อย่างนั้นแหละ พยายามเอา
ดูดีๆนะ แม่ชีเราก็เหมือนกัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง อะไรไม่อร่อยก็ไม่ต้องเอา เอาแต่สิ่งที่อร่อยๆ ใจมันอยากมันว่างั้น เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม บอกเอาเยอะๆ พอเอาแล้วก็ทานไม่ค่อยจะได้ ทานได้นิดเดียว กิเลสมันเล่นงานเอา แต่ก็ให้เลือกเอาด้วยปัญญานั่นแหละ เอาเลือกเอาในสิ่งที่เป็นประโยชน์นั่นแหละ อันไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่เอา ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน เพียงแค่ความอยากความหิวยังแยกไม่ได้ รวมกันไปหมด ถ้าเราจะฝึกศึกษาจริงๆ แล้วก็นั่งดูสิมันเกิดอย่างไร อยากอย่างไร หิวอย่างไร ความคิดมันก่อตัวอย่างไร เพียงแค่สร้างกําลังสติให้มันได้ เชื่อมโยงกันให้มันได้ ให้ความเกิดความดับของใจนั้นมันมีอยู่เดิม ความคิดเก่าๆ ความคิดโลกๆ ถ้ารู้ด้วยเห็นด้วยนี่จะสนุก ถ้ากิเลสตัวไหนมันจะมาเล่นงานเรา เราแพ้ให้กิเลสหรือเปล่า
ชาวระยองมากันสักกี่คนนะ มากัน 11 คน โอ้ดีจัง โยมอาจารย์ธานินทร์มีบริวารเยอะทั่วประเทศหลายร้อยหลายพันคน ท่านก็ให้บริวารมา มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ถูกบังคับมาหรือเปล่าหรือว่าสมัครใจมา ถูกบังคับมาหรือเปล่าชาวระยองหรือสมัครใจมา คงจะสมัครใจมาเนอะ มีอะไรก็ช่วยกันทำเด้อ มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ได้เจ้านายที่ดีก็อย่างนี้แหละ เจ้านายมาบวชได้รับความสงบ ได้รับความสุข เห็นตัวเองแล้วก็อยากจะให้บริวารได้รู้ใจตัวเอง ก็ส่งมา มาฝึก มาช่วยการช่วยงาน ทำงานไปด้วยได้ประโยชน์ไปด้วย สร้างบารมีไปด้วย
กลับไปบ้าน บ้านที่พักที่อาศัยตรงไหนไม่ดีก็ทำมัน ตรงไหนมันที่ไม่สะอาด ก็ทำมัน เจริญสติไปด้วย ละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน ความขยันไม่เพียงพอ เพิ่มความขยันเข้าไปอีก ก็จะมีความสุข อะไรมันผิดพลาดแก้ไข ผิดพลาดแก้ไข นิวรณ์ก็ไม่ครอบ ความเกียจคร้านก็ไม่ครอบงำ ต่อไปข้างหน้า อันนี้ลักษณะของสติ อันนี้ลักษณะของใจยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่ สนุกสร้างบุญ เราทำหน้าที่ของเราแล้วหรือยัง
เจ้านายให้ทำบุญให้กับบริวาร ทีนี้บริวารทำบุญให้กับตัวเอง ทำบุญให้กับเจ้านาย ด้วยความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเสียสละ รู้จักบริหาร ทั้งสมมติ วิมุตติ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่เกียจคร้าน อยู่คนเดียวก็แก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา มาอยู่ที่วัดถามท่านเจ้าคุณมีอะไรให้ฉันทำบ้าง ตรงไหนไม่ดีก็ทำ ช่วยกัน ช่วยกันก่ออิฐๆ ช่วยกันทำทุกอย่างนั่นแหละให้เป็นประโยชน์ ประโยชน์ภายนอก ประโยชน์ภายใน มันเกื้อหนุนกันหมด ถ้าคนเราเอาได้ความเกียจคร้าน งอมืองอเท้า ทำอะไรก็ไม่เป็น ไปปฏิบัติธรรมก็ยังไม่รู้จัก อันโน้นก็ผิด อันนี้ก็ผิด ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง อีกสักหน่อยป้อนข้าวก็ให้คนป้อน ปฏิบัติธรรมมันต้องเก่ง ล้างถ้วย ล้างชาม ทำความสะอาดที่พัก ที่อาศัย ที่หลับ ที่นอน ที่ถ่าย ที่เยี่ยว ก็สมมติของเรายังอาศัยปัจจัยสี่อยู่
แต่เราต้องเข้าใจในตัวใจของเราให้ได้เสียก่อน ใจต้องคลายจากความยึดมั่นถือมั่น คลายจากขันธ์ห้า ดับความเกิดของใจ มีมากมีน้อย ทำมากทำน้อย ทำด้วยปัญญา แต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปอยู่ที่ไหนมันก็เกียจคร้านเพิ่มไปเรื่อยๆ เป็นดินพอกหางหมู เพียงแค่ระดับของสมมติโลกธรรมก็ยังไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง มันก็เลยลําบาก ลําบากตัวเอง ลําบากคนอื่น ลําบากทุกอย่าง นี่ก็ลําบากส่งถึงข้ามภพข้ามชาติ
บางคนก็ถอนใจออกจากความจมดิ่งไม่ได้ ก็จมดิ่งอยู่กองทุกข์อยู่อย่างนั้น เราต้องมาฝึก มาศึกษาเรื่องชีวิตของเรา ความขยันหมั่นเพียร ให้เป็นเลิศ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละจนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ช่วยเหลือตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นเสียก่อน มันก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่เพื่อนสู่ฝูง ช่วยตัวก็ไม่ได้ บอกตัวเองก็ไม่ได้ ใช้ตัวเองก็ไม่เป็น สอนตัวเองก็ยังไม่ได้ อย่าไปให้เที่ยวคนอื่น คนอื่นเขาสอนได้อย่างไร กิเลสก็ของเรา กายก็เป็นของเรา ใจก็เป็นของเรา แต่เราไม่รู้จักการเจริญสติเข้าไปจําแนกแจกแจงแยกแยะ วิเคราะห์หาเหตุหาผล
คําสอนนั้นมีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ถึงท่านไม่ค้นพบก็มีอยู่ประจำโลก แต่ท่านเป็นบุคคลที่ค้นพบวิธีการแนวทางแล้วก็มาเปิดเผยจําแนกแจกแจง พวกเราจะเดินตามหรือไม่เท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องไปหาที่โน่นที่นี่หรอก หาโอกาสหาเวลาดูตัวเรา ไปศึกษาที่โน่นที่นี่ก็เพื่อหาแนวทางหาวิธี แต่การกระทำเจริญสติลงที่กายของเรา มันต่อเนื่องสืบเนื่อง ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ตื่นขึ้นมาความคิดมันเกิดสักกี่เที่ยว เกิดจากใจโดยตรงหรือเกิดจากขันธ์ห้า จากอาการของใจ อะไรคือสติอะไรคือปัญญา เสียเวลาเปล่าๆ นะถ้าไม่รู้จักใจของตัวเอง
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เสียเวลา ช่วงใหม่ๆ ก็ไม่เข้าใจ เราไปหาแสวงหาแนวทางหาวิธี รู้แนวทาง แล้วเอาจัดการตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติพลั้งเผลอได้อย่างไร ใจมันเกิดมลทินได้อย่างไร อคติ เพ่งโทษคนโน้นคนนี้ มีแต่ของเราทั้งนั้นนะ ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็รีบแก้ไขรีบละ เจริญในทางที่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน อคติคนโน้นคนนี้ เราก็พยายามละความอคติ มองเห็นตั้งแต่สิ่งที่ดีๆเขาบ้าง สิ่งไหนที่ไม่ดีเราก็อย่าไปมอง ต่อไปข้างหน้ามองแล้วใจมันไม่เกิด ใจไม่ปรุงไม่แต่ง ก็สักแต่ว่ามอง สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง แยกรูปรส กลิ่น เสียง ออกจากใจของตัวเรา แต่ตา หู จมูก ลิ้น เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว เราอย่าไปห้ามว่าตาอย่าไปดูนะ หูอย่าไปฟังนะ ไม่ได้หรอก เขาทำหน้าที่ของเขาโดยอัตโนมัติ แต่ส่วนมากก็ไปโทษเอาตั้งแต่ภายนอกว่ามารบกวนตัวเรา มารบกวนตัวเอง อันโน้น คนโน้นก็มารบกวน คนนี้ก็มารบกวน ที่ได้เลย เขาทำหน้าที่ของเขา แล้วไม่ไปจัดการกับใจของตัวเรา
ถ้าเราอยากจะหลบหลีก ก็หลบหลีกด้วยสติด้วยปัญญา แก้ไขด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด ไม่ต้องมาเถียงคําสอนของพระพุทธเจ้า ท่านบอกให้ปฏิบัติตามเสียก่อน ให้รู้ ให้เห็น ท่านถึงบอกให้เชื่อ ถ้าสอนตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นแล้วก็ มันหมดหนทางที่จะเดินได้ถึงจุดหมายนะ ก็ต้องพยายาม ล้มลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ บุญภายนอกเราก็ช่วยกันทำ สร้างความขยันทำลงไปไม่ต้องกลัวตาย ถึงเวลามันก็จะตายเองแหล่ะ ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ก่อนที่จะถึงเวลานั้นพยายามยังประโยชน์ยังบุญให้เต็มเปี่ยม เท่าที่โอกาสจะเอื้ออํานวยให้
ส่วนทางโรงทานก็คงจะ ทางแม่ครัวโรงทานต่างๆ เห็นว่าวันเสาร์วันอาทิตย์ช่วงเช้าก็จะทำทางนี้อยู่ หลังจากนั้นก็จะไปตั้งทางโน้นตลอด เพราะว่าความลําบาก เคลื่อนหลายที่หลายทิศหลายทาง การเคลื่อนย้ายก็เลยไปทำที่จุดเดียวที่ลานเจดีย์ ตื่นเช้าๆ เราเดินลงไปทานข้าวที่โน่นก็ได้ หรือว่าทานที่โรงครัวก็ได้ อย่าไปปล่อยให้หิว
ทางระยองเราก็มีอะไรก็ให้เหมือนกับบ้านของเรานะ อย่าไปกังวลอะไร ให้ทำใจให้สบาย ทำกายให้สบาย มีอะไรเราก็ช่วยกันทำ ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมดูใจ วิเคราะห์ใจของเราบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ถ้าเราไม่แก้ไขใจเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเรา ส่วนบุญอานิสงส์ของสมมติเรามีโอกาสได้ร่วมกันได้ช่วยกัน อันโน้นบ้าง อันนี้บ้าง ได้ทำช่วยกัน ยังประโยชน์ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลัง
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง นั่งตามสบาย วางกายให้สบายและก็วางใจให้สบาย กายของเราก็วางจากพันธะภาระหน้าที่ทางโลกทางสมมติ ทางบ้านทางการงานเก่าๆ มาแล้ว จนกระทั่งน้อมกายของเราเข้ามาอยู่ในวัด ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจของเราเอาไว้ มาเจริญสติ มาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์กันมากเลยทีเดียว เพียงแค่รู้เรื่องลมหายใจนี่ก็รู้กายนะ มีสติเน้นลงที่กาย สร้างความรู้ตัวลงที่กาย หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ทีนี้เรารู้ได้สักนาที 2 นาที 5 นาที 10 นาที จนเป็นชั่วโมง จนเป็นวัน จนทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ก่อนที่จะเป็นทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิตได้ ความรู้ตัวตรงนี้ต้องเอาไปใช้จนรู้เท่าทัน ใจคลายออกจากความคิด เพียงแค่ใจคลายเท่านั้นแหละ มันก็เริ่มจะมองเห็นหนทาง เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงในการบริหารการดำเนินในข้อแรกของอริยมรรคในองค์แปด คือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เห็นอะไร เห็นใจคลายออกจากความคิด นั่นเขาเรียกว่าคลายความหลง เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ใจว่าง พลิกจากของที่คว่ำ หงายขึ้นมา ใจก็เลยว่าง กายแต่ก่อนเคยหนัก เดินนี่หนัก กายก็จะเบาเหมือนกับจะเหาะ เดิน
ทีนี้ก็เห็นการเกิดการดับของความคิด ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ตามดูว่ามันเกิดอย่างไร มันตั้งอยู่อย่างไร มันดับไปอย่างไร พอดับไปแล้ว อนัตตาความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏเรื่องใหม่เข้ามาอีก ใจของเราเข้าไปร่วมหรือไม่ ถ้าไม่เข้าไปร่วมก็ตามดู มันเป็นเรื่องอะไร นั่นแหละเขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า
ตัวใจนี้เขาเรียกว่าตัววิญญาณ ตัวสุดท้ายในกายของเรา มองเห็นความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องนี้ สอนอย่างนี้ วิธีการอย่างนี้ ท่านบอกให้รู้ ให้เห็น แยกให้ได้ ตามดูให้ได้ ใจเกิดส่งออกไปรวมกับขันธ์ห้า เขาหลงทำให้เกิดอัตตาตัวตน ทีนี้ใจส่งไปปรุงแต่ง ส่งไปภายนอกนะ ไปรวมกับขันธ์ห้า ทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งส่งออกไป เขาเรียกว่าใจส่งไปภายนอก หรือว่าเกิดจากตัวใจปรุงแต่งส่งออกไปโดยตรง ในความคิดนั้นมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส กิเลสหยาบหรือกิเลสละเอียดอีก มันไล่เรียงซอยลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะขัดเกลากิเลสออกหมด จนดับความเกิดนั่นแหละ ใจเกิดนั่นแหละมันยังหลงอยู่
เราต้องมาเจริญสติเอาไปใช้ ไปวิเคราะห์ ท่านถึงบอกว่าให้อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ไม่เห็น ไม่ทำไม่ได้ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะใช้ชีวิตมันจะมีแต่กองทุกข์ กายนี้มันกองทุกข์อยู่แล้ว แต่เรามาทำความเข้าใจ บริหารให้มันถูกต้องเสีย มันก็จะอยู่ดีมีความสุข มันก็สุขแบบอยู่บนกองทุกข์นั่นแหละเพราะกายมันก้อนทุกข์ ถึงเวลามันก็ต้องแตกต้องดับแต่เราต้องมาศึกษาเรื่องใจของเรา ไม่ให้ใจของเราไปเกาะไปเกี่ยว ไปยึด ไปหลงอะไร ทำใจให้สะอาด ก่อนที่จะหมดลมหายใจ มองเห็นหนทางเดิน มันมีทางเดียวเท่านี้แหละ ที่หลวงพ่อต้องพูดกันอยู่สิ่งเดียวเท่านี้แหละมาเป็น 20-30 ปี นอกนั้นก็มีตั้งแต่ผักบุ้งโหรงเหรงทั้งนั้นแหละ
ถ้าเราจับจุดถอนรากถอนโคนมันได้ อยู่ที่ไหนมันก็ดับความเกิดให้มันได้ มันต้องไม่กลับมาเกิดกัน มองเห็นหนทางเดินว่าจะกลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด สติก็ไม่ได้สร้าง ไม่ได้ทำให้ต่อเนื่อง มันจะเอาไปประหัตประหารกิเลสได้อย่างไร บุญก็ทำอยู่ ศรัทธาก็มีอยู่ แต่เป็นศรัทธาที่ใจมันยังเกิด ยังหลงอยู่แต่ก็ยังดี ยังหลงอยู่ในบุญในการทำบุญให้ทาน เป็นตบะ เป็นบารมี เป็นเข้าพกเข้าห่อ ต้องศึกษาให้มันรอบ ให้มันรอบในดวงใจ รอบในโลก รอบในสมมติ รอบในวิมุตติ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมันเกิดอย่างไร หน้าตาอย่างไร มันมีไม่มากหรอก มันมีอยู่ในกายของเรากับใจของเราเท่านั้นเอง นอกนั้นเราก็มีตั้งแต่เอามาทับถมดวงใจของตัวเรา จนหมักหมมจนเป็นดินพอกหางหมู ไม่จบไม่สิ้น
เราต้องพยายามแก้ไขๆ ได้เท่าไรก็ต้องพยายามนะ อย่าว่าไม่ทำ ต้องพยายามเอา อยู่ใกล้ อยู่ไกล เรามีโอกาสได้มาร่วมกัน มาสร้างอานิสงส์สร้างบุญร่วมกัน ก็ขอให้ระวังหน่อยนะ ก็ขโมยขโจรมาเยอะทุกวันๆ เลย มันเด็กๆ มันมาขโมยขโจรของอะไรต่างๆ มาเผลอเมื่อไร มันขโมย เผลอเมื่อไรมันขโมย ยิ่งญาติโยมเข้ามากันเยอะๆ มันไป ยิ่งโทรศัพท์ โทรอะไรต่างๆ ไปเสียบเอาไว้ ชาร์จไฟเอาไว้ เผลอเมื่อไรมันก็ขโมยไป กระเป๋าพวกนี้มันก็ไปค้น เมื่อวานนี้ก็ไปคว่ำเอาตู้ตุ่มบริจาค ตุ่มร่วมบุญกันที่ธรรมจักร มาช่วยกันงัดกันคว่ำ 4-5 คนเด็กๆ ก็ไม่เด็กหรอกรุ่นหนุ่มนี่แหล่ะ เราก็ยกให้เป็นกรรมนะ
เขาทำกรรมอย่างไรก็ยกให้ไปให้เรื่องกรรม เป็นเรื่องของกรรมเป็นเครื่องตัดสิน กฎหมายลงโทษไม่ได้ก็ยกให้เป็นกรรม แล้วก็ระวังดูแลของเราให้มันดี เราก็อย่าประมาท ไม่ว่าอยู่ที่ไหนที่บ้าน ที่ไร่ ที่นา ที่ทำการทำงาน ให้มีสติระลึกรู้ รู้กายรู้ใจ แก้ไข ปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา แก้ไขใจของเราตลอดเวลา ให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ใครทำอย่างไรก็ยกให้เป็นเรื่องของกรรม
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องกรรม ถ้าเราเข้าใจในเรื่องกรรม ก็กรรมภายในของเราให้ได้ คือแยกรูปแยกนาม แล้วก็กรรมเก่าก็คลาย ถึงเราละกิเลสได้หมดจด กรรมเขาก็ตามไม่ทันก็เป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ใจของเราก็ไม่หลงไม่ยึด ก็เป็นเรื่องปัญญา เขาเรียกว่ากําลังสติ กิริยาของสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน รอจนธาตุขันธ์ของเราแตกดับ ก็กลับเข้าสู่ความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจศึกษาต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ