หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 26
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 26
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 26
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 มีนาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก หรือว่าใจปกติ ใจปกติ ปัญญาต้องรู้ว่าใจปกติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แต่ละวันๆ ผ่านไป มีแต่มืดกับแจ้ง เสาร์ จันทร์ถึงอาทิตย์ ตื่นขึ้นมาก็มีตั้งแต่งาน งานภายในงานภายนอก งานชําระใจของตัวเรา งานสมมติ งานโลกธรรมยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์ งานภายในของเราสำเร็จถึงจุดหมายแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามนะ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
เราเข้ามาวัดก็เพื่อที่จะมาศึกษาใจของตัวเรา ไม่ใช่แบกปัญหาแบกภาระมาโยนให้คนโน้นโยนให้คนนี้ เรามาแก้ปัญหาของเรา อะไรคือการเจริญสติ อะไรคือการแยกรูปแยกนาม อะไรคือใจ กายทำหน้าที่อย่างไร ประโยชน์สมมติ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกลเป็นอย่างไร พยายามช่วยเหลือตัวเอง บอกตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น สมมติภายนอกเราก็พอที่จะช่วยเหลือกันได้ในระดับหนึ่ง แต่การขัดเกลากิเลส ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนโน้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนนี้ ความเป็นระเบียบของสมมติภายนอกเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามช่วยกัน ความสะอาด ความเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่คนเดียวเราก็จัดระบบระเบียบ อยู่ที่บ้าน ที่ไร่ ที่นา ที่ทำการทำงานก็เหมือนกันหมด เรารู้ใจของเรา
ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ ทุกคนก็ปรารถนาต้องการความสุข แต่การขัดเกลากิเลส การทำความเข้าใจ การสํารวจ เราต้องมีอยู่ตลอดเวลา คนเราเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เราต้องมาศึกษาเรื่องกรรม กรรมก็คือความคิดนั่นแหละ ความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ฝ่ายรูปธรรม การเกิดการดับของใจการสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมี ความเสียสละ เสียสละทั้งกําลังกาย กําลังใจ กําลังทรัพย์ การกระทำก็ต้องถึงพร้อม มันถึงจะบรรลุถึงเป้าหมายได้ เอาตั้งแต่นึกแต่คิด วาดวิมานไว้กลางอากาศ มันก็ไปไม่ถึงไหน ทำไมเราถึงขาดตกบกพร่อง ทำไมเราถึงลําบาก เราก็ต้องดูที่เหตุ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีหรือเปล่า การกระทำของเรามีหรือไม่ แต่ละวันๆๆ ประโยชน์สมมติเป็นอย่างไร ประโยชน์วิมุตติเป็นอย่างไร
ทุกคนเกิดมาก็มาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เราต้องศึกษาให้ละเอียด บางคนก็มาเพียบพร้อม บางคนก็มาสร้างเอาใหม่ สมมติภายนอกก็ไม่มีใครเอาติดตัวมาได้หรอก นอกนอกจากความขยันหมั่นเพียร มาสร้างขึ้นมาใหม่ แล้วก็รู้จักรับผิดชอบ มันก็เกี่ยวโยง เกี่ยวโยงกันถึงอานิสงส์ภพก่อนๆ บางคนก็ทำบุญมาดี ก็ไม่ได้ลําบาก บางคนก็ขัดสน อัตคัดขัดสนก็เพราะไม่ได้เคยทำบุญมาก่อน ก็มาทำเอาใหม่ ยิ่งเยอะกว่าเก่าก็มี บางคนก็กินบุญเก่า บางคนก็มาสร้างบุญใหม่ บางคนก็ทั้งบุญเก่าบุญใหม่สะสมกันไป ก็ยิ่งเพิ่มพอกพูนเป็นทวีคูณ ขัดเกลากิเลสออกจากใจตัวเองจนหมดจด จนไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
แนวทางนั้นมีมานาน เราต้องน้อมสำเหนียก ดู รู้ชีวิตของเรา อะไรคือปัญญาที่สร้างขึ้นมา อะไรคือใจ ทุกคนก็มาแสวงหาตัวเอง ไม่ใช่ว่ามา กูดี มึงดี กูใหญ่ มึงใหญ่ ความลําบากฉันไม่สนใจ ฉันต้องการแต่ความสุข หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อย่างนั้นก็เอาตัวเองไม่รอด เพียงแค่ระดับของสมมตินะ ปล่อยเวลาทิ้งไปแต่ละวันๆ แต่ละลมหายใจเข้าออก หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ ถ้าต้องการ บุคคลที่จะฝักใฝ่ในธรรม จะขวนขวาย ฝักใฝ่ แสวงหา กระโจนเข้าใส่เลย ความเสียสละเป็นอย่างนี้ บางคนพูดจนปากเปียกปากแฉะก็ไม่สนใจ ความเสียสละแม้แต่น้อยนิดก็ยังยาก มันก็เลยห่างไกลธรรม ความเสียสละก็ออกจากภายใน ทางด้านใจมีความเสียสละ การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ท่านถึงบอกว่าให้จัดระบบระเบียบของกาย ของวาจา ของใจ
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต ท่านสอนวิธีการดำเนินชีวิตสอนไม่ให้หลงไม่ให้ยึด ให้อยู่เหนือทุกอย่าง ให้คลายใจออกจากความยึดมั่นถือมั่นทุกอย่าง กายทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณทำหน้าที่อย่างไร ทำไมวิญญาณมาหลงมายึดในกายในใจของตัวเรา กายของเรานี้ประกอบขึ้นมาด้วยอะไร มีหนังห่อหุ้ม มีโครงกระดูก
เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดพิจารณาดีๆ อยากจะเห็นภาพชัดเจนนั้น ต้องเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็พิจารณาอะไรก็ให้เข้าถึงต้นเหตุ จนกระทั่งรู้รูป รู้นาม รู้แยกรูปแยกนาม คลายความหลงเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างพระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ เหตุเกิดทางด้านจิตวิญญาณ ทางด้านนามธรรมมีกี่ส่วน ทางด้านรูปธรรมมีกี่ส่วน
กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทำหน้าที่อย่างไร ส่วนมากก็หลง ทำไมถึงว่าหลง เพราะว่าการเกิดของวิญญาณตั้งแต่เช้ามาเกิดสักกี่เรื่อง เกิดสักกี่เที่ยว ภายนอกมาทำให้เกิด หรือเกิดขึ้นจากภายใน เราก็ต้องดู เราก็เถียงจนหัวปักหัวปำนั่นแหละว่าไม่หลง เพราะว่าเราอาจจะไม่หลงในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมเราต้อง ถ้าแยกได้เมื่อไร เจริญสติให้ต่อเนื่องได้เมื่อไร เราถึงรู้ว่าแต่ก่อนนั้นสติปัญญานั้นเป็นแค่เพียงสติปัญญาโลกๆ สติปัญญาทางโลก
ไม่หลงในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมยังหลงอยู่ เพราะว่าการเกิดของวิญญาณยังเกิดอยู่ เพียงแค่การเกิดนั้นเองคือความหลง แล้วก็มาหลงสร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเอาไว้ แล้วก็มาเป็นทาสของกิเลสอีก มาเป็นทาสของความทะยานอยาก สร้างสมมติมาปิดกั้นตัวเองอีก เราต้องคลายภายใน แล้วก็อยู่เหนือ แล้วก็ยังสมมติด้วยสติด้วยปัญญาเพื่อให้เกิดประโยชน์ ก็พยายามกัน มันไม่เหลือวิสัย
กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร กายของเรานี้แหละก้อนกิเลส กายของเรานี้แหละก้อนกรรม ตื่นขึ้นมาเราก็รีบดู รีบแก้ไข ส่วนมากก็มีแต่จะสร้างปัญหามาหมักหมมเหมือนกับดินพอกหางหมู อยากได้แต่ธรรมแต่ไม่ขัดเกลากิเลส มีแต่ความอยาก ไม่มีการขัดเกลา เกียจคร้านในการเจริญสติ ในการวิเคราะห์ ในการสํารวจ ในการสำรวม มันก็เลยไม่เข้าถึงกันสักที เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียรให้เต็มที่ ถึงจุดหมายแล้วค่อยพัก คือความสะอาดความบริสุทธิ์ เพราะว่าทุกอย่างมีเหตุมีผล
วันนี้ก็เป็นวันที่เท่าไรนะ วันที่ 11 เดือน มีนา เมษา พฤษภา มิถุนา วันที่ 1 มิถุนา ก็จะได้พาทำบุญใหญ่ๆ สร้างมหาทานใหญ่ หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน พี่น้องเราทุกคน เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาก็ได้มาร่วมกัน มารวมพลัง ตั้งกองทุนให้กับสถานที่ต่างๆ ที่ลําบากกว่าพวกเรา อันนี้ก็เทวดาก็มารับไปหมด ทั้งเครื่องฟอกไต วันนั้นก็คงจะได้มารับมอบกันที่นี่ นี่แหละโอกาส เป็นของบุคคลใดมีโอกาสมากก็ได้ทำ มีความพร้อมก็ได้ทำ คนที่ไม่มีความพร้อม ก็น้อมใจเข้ามาอนุโมทนาสาธุร่วมกัน ก็เป็นอานิสงส์แห่งบุญ เราก็พลอยมีอานิสงส์นั้นด้วย ที่วัดของเรานี้เป็นกองบุญอันใหญ่ เหมือนกับจุดเทียนใหญ่เล่มหนึ่งตั้งเอาไว้ คนโน้นคนนี้ก็มาจุดต่อ สว่างไสว ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ไม่ใช่สมบัติของคนใดคนหนึ่ง
พวกเราเป็นแค่เพียงบุคคลที่มีโอกาสได้มาทำร่วมกัน ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน พวกเราจากไป คนรุ่นหลังก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ ขณะที่พวกเรามาอยู่ร่วมกันก็พยายามช่วยกันทำ อย่าไปงอมืองอเท้า ขยันหมั่นเพียร ดูแลรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตั้งแต่ประตูทางเข้าถึงก้นครัว อะไรที่ไม่ดีก็รีบแก้ไข ทุกคนก็ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงสะพาน พาทำพาสร้าง พาก่อร่างสร้างตัว จากความไม่มีก็ทำให้มีให้เกิดขึ้น ให้เป็นบุญของทุกคน พวกเรามาอยู่ก็มาสานต่อ มาดูแลต่อ ไม่ใช่ว่ามาทำลาย ถึงไม่ทำลายมันก็เสื่อมอยู่ตั้งแต่วันทำนั่นแหละ แต่ก็ขอให้เป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่ในระดับของสมมติ
ระดับของวิมุตติทางด้านจิตใจก็ขัดเกลาตัวเรา แก้ไขตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ทำความเข้าใจกับภาษาโลกภาษาธรรม ศีลเป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร โลกธรรมเป็นอย่างไร โลกวัชชะเป็นอย่างไร เราต้องวิเคราะห์พิจารณา ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนก็ยิ่งระมัดระวัง ทั้งภายนอกภายใน
เรานี่มันมีจิตไม่เหมือนกัน บางทีก็จิตเป็นอกุศลก็เยอะ บางทีก็เป็นกุศล บางทีก็ฝักใฝ่ในธรรม บางทีก็เป็นอกุศล มองโลกตั้งแต่ในแง่ร้าย เราก็พยายามขัดเกลาตัวเรา แล้วก็พยายามยังประโยชน์ เขาก็อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา ทำภาระหน้าที่ของเราให้จบ ภายนอกมาก็ค่อยแก้ไขกันไป อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย พันธะภาระหน้าที่ทางสมมติ เราก็หยุดเอาไว้ ถึงได้มาถึงวัด ทีนี้กายของเราก็นั่งอยู่ที่นี่
หลวงพ่อก็เพียงแค่พูด แค่ชี้แนะ อุบาย วิธี แนวทาง พวกท่านจงน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเรามันจะคิดไปที่ไหนมันก็หยุด สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละ ในหลักธรรมท่านว่าสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เวลาลมหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ หายใจยาวก็รู้ หายใจออกยาวเข้ายาวก็รู้ หายใจเป็นธรรมชาติก็รู้ ช่วงที่ฝึกใหม่ๆ นี่อึดอัด อึดอัดมากทีเดียว บางทีก็เหมือนกับจะขาด ลมหายใจจะขาด กายก็หงุดหงิด บางทีก็คนโน้นคนนี้ สารพัดอย่างที่มันจะมาฉุดมารั้งเอาไว้
เราพยายามทำบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน มีสติรู้กายแล้ว สติต่อเนื่องกันแล้ว สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เขาจะไปรู้ลักษณะของใจ ซึ่งเขามีอยู่เดิม เขาเกิดๆ ดับๆ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เราก็จะเห็นการก่อตัว การเกิด รู้จักควบคุมใจ รู้จักอบรมใจ ว่าอะไรผิด อะไรถูก กายทำหน้าที่อย่างไร การสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีกัน สร้างวิธีไหน ทำอย่างไร เราก็จะคลายปมออกทีละเปลาะๆๆ จนกระทั่งเข้าถึงตัวใจ กําลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน คลายใจออกจากขันธ์ห้า ละกิเลสออกจากใจ ดับความเกิดด้วยสมถะ สร้างกําลังใจด้วยสมถะ หนุนกําลังสติปัญญาไปแก้ไขปัญหาต่างๆ รู้จักมองเห็นหนทางเดิน ต้องคลายภายในให้ได้เสียก่อน ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
หลวงพ่อเพียงแค่พูดให้ฟัง แค่เล่าให้ฟัง พวกท่านจงไปทำ ว่าทั้งกลางวันทั้งกลางคืน สติเราพลั้งเผลอได้อย่างไร เรามีความเพียรอยู่ในระดับไหน จิตใจของเรามีความอ่อนโยน หรือว่ามีความแข็งกระด้าง จิตใจของเราฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อย ก็เป็นเรื่องของปัญญา ก็ต้องพยายามกันอย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกัน จะลุกจะก้าวจะเดิน ความรู้สึกอยู่ที่การเดิน พวกเราก็ขาดความสนใจกัน อยากได้ตั้งแต่ธรรม ความอยากนั่นแหละปิดกั้นเอาไว้ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดยังหลงอยู่
เรื่องการทำบุญให้ทาน ศรัทธาตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม มีกันมาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย พาทำบุญให้ทาน ตักบาตรใส่บาตร อนุเคราะห์กัน แต่การเจริญสตินี้มีไม่ค่อยต่อเนื่อง ก็เลยเข้าไม่ถึงจุดหมายปลายทางกัน แถมไม่อยากจะทำด้วย เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ มันปกปิดเอาไว้ เขาก็หาเหตุหาผลมาปกปิดเอาไว้ สติปัญญาก็หาเหตุหาผล กําลังฝ่ายไหนมันจะเยอะกว่ากัน นี่แหละก็ต้องพยายามทำขณะเรายังมีกําลังอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ สิ่งพวกนี้เราจะไปยกให้กันไม่ได้เลย เราต้องทำเอา กิเลสของเรา เราต้องแก้ไขเอา การทำบุญให้ทาน เราก็ทำเอา
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 มีนาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก หรือว่าใจปกติ ใจปกติ ปัญญาต้องรู้ว่าใจปกติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แต่ละวันๆ ผ่านไป มีแต่มืดกับแจ้ง เสาร์ จันทร์ถึงอาทิตย์ ตื่นขึ้นมาก็มีตั้งแต่งาน งานภายในงานภายนอก งานชําระใจของตัวเรา งานสมมติ งานโลกธรรมยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์ งานภายในของเราสำเร็จถึงจุดหมายแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามนะ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
เราเข้ามาวัดก็เพื่อที่จะมาศึกษาใจของตัวเรา ไม่ใช่แบกปัญหาแบกภาระมาโยนให้คนโน้นโยนให้คนนี้ เรามาแก้ปัญหาของเรา อะไรคือการเจริญสติ อะไรคือการแยกรูปแยกนาม อะไรคือใจ กายทำหน้าที่อย่างไร ประโยชน์สมมติ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกลเป็นอย่างไร พยายามช่วยเหลือตัวเอง บอกตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น สมมติภายนอกเราก็พอที่จะช่วยเหลือกันได้ในระดับหนึ่ง แต่การขัดเกลากิเลส ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนโน้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนนี้ ความเป็นระเบียบของสมมติภายนอกเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามช่วยกัน ความสะอาด ความเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่คนเดียวเราก็จัดระบบระเบียบ อยู่ที่บ้าน ที่ไร่ ที่นา ที่ทำการทำงานก็เหมือนกันหมด เรารู้ใจของเรา
ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ ทุกคนก็ปรารถนาต้องการความสุข แต่การขัดเกลากิเลส การทำความเข้าใจ การสํารวจ เราต้องมีอยู่ตลอดเวลา คนเราเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เราต้องมาศึกษาเรื่องกรรม กรรมก็คือความคิดนั่นแหละ ความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ฝ่ายรูปธรรม การเกิดการดับของใจการสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมี ความเสียสละ เสียสละทั้งกําลังกาย กําลังใจ กําลังทรัพย์ การกระทำก็ต้องถึงพร้อม มันถึงจะบรรลุถึงเป้าหมายได้ เอาตั้งแต่นึกแต่คิด วาดวิมานไว้กลางอากาศ มันก็ไปไม่ถึงไหน ทำไมเราถึงขาดตกบกพร่อง ทำไมเราถึงลําบาก เราก็ต้องดูที่เหตุ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีหรือเปล่า การกระทำของเรามีหรือไม่ แต่ละวันๆๆ ประโยชน์สมมติเป็นอย่างไร ประโยชน์วิมุตติเป็นอย่างไร
ทุกคนเกิดมาก็มาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เราต้องศึกษาให้ละเอียด บางคนก็มาเพียบพร้อม บางคนก็มาสร้างเอาใหม่ สมมติภายนอกก็ไม่มีใครเอาติดตัวมาได้หรอก นอกนอกจากความขยันหมั่นเพียร มาสร้างขึ้นมาใหม่ แล้วก็รู้จักรับผิดชอบ มันก็เกี่ยวโยง เกี่ยวโยงกันถึงอานิสงส์ภพก่อนๆ บางคนก็ทำบุญมาดี ก็ไม่ได้ลําบาก บางคนก็ขัดสน อัตคัดขัดสนก็เพราะไม่ได้เคยทำบุญมาก่อน ก็มาทำเอาใหม่ ยิ่งเยอะกว่าเก่าก็มี บางคนก็กินบุญเก่า บางคนก็มาสร้างบุญใหม่ บางคนก็ทั้งบุญเก่าบุญใหม่สะสมกันไป ก็ยิ่งเพิ่มพอกพูนเป็นทวีคูณ ขัดเกลากิเลสออกจากใจตัวเองจนหมดจด จนไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
แนวทางนั้นมีมานาน เราต้องน้อมสำเหนียก ดู รู้ชีวิตของเรา อะไรคือปัญญาที่สร้างขึ้นมา อะไรคือใจ ทุกคนก็มาแสวงหาตัวเอง ไม่ใช่ว่ามา กูดี มึงดี กูใหญ่ มึงใหญ่ ความลําบากฉันไม่สนใจ ฉันต้องการแต่ความสุข หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อย่างนั้นก็เอาตัวเองไม่รอด เพียงแค่ระดับของสมมตินะ ปล่อยเวลาทิ้งไปแต่ละวันๆ แต่ละลมหายใจเข้าออก หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ ถ้าต้องการ บุคคลที่จะฝักใฝ่ในธรรม จะขวนขวาย ฝักใฝ่ แสวงหา กระโจนเข้าใส่เลย ความเสียสละเป็นอย่างนี้ บางคนพูดจนปากเปียกปากแฉะก็ไม่สนใจ ความเสียสละแม้แต่น้อยนิดก็ยังยาก มันก็เลยห่างไกลธรรม ความเสียสละก็ออกจากภายใน ทางด้านใจมีความเสียสละ การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ท่านถึงบอกว่าให้จัดระบบระเบียบของกาย ของวาจา ของใจ
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต ท่านสอนวิธีการดำเนินชีวิตสอนไม่ให้หลงไม่ให้ยึด ให้อยู่เหนือทุกอย่าง ให้คลายใจออกจากความยึดมั่นถือมั่นทุกอย่าง กายทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณทำหน้าที่อย่างไร ทำไมวิญญาณมาหลงมายึดในกายในใจของตัวเรา กายของเรานี้ประกอบขึ้นมาด้วยอะไร มีหนังห่อหุ้ม มีโครงกระดูก
เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดพิจารณาดีๆ อยากจะเห็นภาพชัดเจนนั้น ต้องเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็พิจารณาอะไรก็ให้เข้าถึงต้นเหตุ จนกระทั่งรู้รูป รู้นาม รู้แยกรูปแยกนาม คลายความหลงเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างพระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ เหตุเกิดทางด้านจิตวิญญาณ ทางด้านนามธรรมมีกี่ส่วน ทางด้านรูปธรรมมีกี่ส่วน
กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทำหน้าที่อย่างไร ส่วนมากก็หลง ทำไมถึงว่าหลง เพราะว่าการเกิดของวิญญาณตั้งแต่เช้ามาเกิดสักกี่เรื่อง เกิดสักกี่เที่ยว ภายนอกมาทำให้เกิด หรือเกิดขึ้นจากภายใน เราก็ต้องดู เราก็เถียงจนหัวปักหัวปำนั่นแหละว่าไม่หลง เพราะว่าเราอาจจะไม่หลงในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมเราต้อง ถ้าแยกได้เมื่อไร เจริญสติให้ต่อเนื่องได้เมื่อไร เราถึงรู้ว่าแต่ก่อนนั้นสติปัญญานั้นเป็นแค่เพียงสติปัญญาโลกๆ สติปัญญาทางโลก
ไม่หลงในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมยังหลงอยู่ เพราะว่าการเกิดของวิญญาณยังเกิดอยู่ เพียงแค่การเกิดนั้นเองคือความหลง แล้วก็มาหลงสร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเอาไว้ แล้วก็มาเป็นทาสของกิเลสอีก มาเป็นทาสของความทะยานอยาก สร้างสมมติมาปิดกั้นตัวเองอีก เราต้องคลายภายใน แล้วก็อยู่เหนือ แล้วก็ยังสมมติด้วยสติด้วยปัญญาเพื่อให้เกิดประโยชน์ ก็พยายามกัน มันไม่เหลือวิสัย
กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร กายของเรานี้แหละก้อนกิเลส กายของเรานี้แหละก้อนกรรม ตื่นขึ้นมาเราก็รีบดู รีบแก้ไข ส่วนมากก็มีแต่จะสร้างปัญหามาหมักหมมเหมือนกับดินพอกหางหมู อยากได้แต่ธรรมแต่ไม่ขัดเกลากิเลส มีแต่ความอยาก ไม่มีการขัดเกลา เกียจคร้านในการเจริญสติ ในการวิเคราะห์ ในการสํารวจ ในการสำรวม มันก็เลยไม่เข้าถึงกันสักที เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียรให้เต็มที่ ถึงจุดหมายแล้วค่อยพัก คือความสะอาดความบริสุทธิ์ เพราะว่าทุกอย่างมีเหตุมีผล
วันนี้ก็เป็นวันที่เท่าไรนะ วันที่ 11 เดือน มีนา เมษา พฤษภา มิถุนา วันที่ 1 มิถุนา ก็จะได้พาทำบุญใหญ่ๆ สร้างมหาทานใหญ่ หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน พี่น้องเราทุกคน เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาก็ได้มาร่วมกัน มารวมพลัง ตั้งกองทุนให้กับสถานที่ต่างๆ ที่ลําบากกว่าพวกเรา อันนี้ก็เทวดาก็มารับไปหมด ทั้งเครื่องฟอกไต วันนั้นก็คงจะได้มารับมอบกันที่นี่ นี่แหละโอกาส เป็นของบุคคลใดมีโอกาสมากก็ได้ทำ มีความพร้อมก็ได้ทำ คนที่ไม่มีความพร้อม ก็น้อมใจเข้ามาอนุโมทนาสาธุร่วมกัน ก็เป็นอานิสงส์แห่งบุญ เราก็พลอยมีอานิสงส์นั้นด้วย ที่วัดของเรานี้เป็นกองบุญอันใหญ่ เหมือนกับจุดเทียนใหญ่เล่มหนึ่งตั้งเอาไว้ คนโน้นคนนี้ก็มาจุดต่อ สว่างไสว ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ไม่ใช่สมบัติของคนใดคนหนึ่ง
พวกเราเป็นแค่เพียงบุคคลที่มีโอกาสได้มาทำร่วมกัน ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน พวกเราจากไป คนรุ่นหลังก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ ขณะที่พวกเรามาอยู่ร่วมกันก็พยายามช่วยกันทำ อย่าไปงอมืองอเท้า ขยันหมั่นเพียร ดูแลรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตั้งแต่ประตูทางเข้าถึงก้นครัว อะไรที่ไม่ดีก็รีบแก้ไข ทุกคนก็ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงสะพาน พาทำพาสร้าง พาก่อร่างสร้างตัว จากความไม่มีก็ทำให้มีให้เกิดขึ้น ให้เป็นบุญของทุกคน พวกเรามาอยู่ก็มาสานต่อ มาดูแลต่อ ไม่ใช่ว่ามาทำลาย ถึงไม่ทำลายมันก็เสื่อมอยู่ตั้งแต่วันทำนั่นแหละ แต่ก็ขอให้เป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่ในระดับของสมมติ
ระดับของวิมุตติทางด้านจิตใจก็ขัดเกลาตัวเรา แก้ไขตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ทำความเข้าใจกับภาษาโลกภาษาธรรม ศีลเป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร โลกธรรมเป็นอย่างไร โลกวัชชะเป็นอย่างไร เราต้องวิเคราะห์พิจารณา ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนก็ยิ่งระมัดระวัง ทั้งภายนอกภายใน
เรานี่มันมีจิตไม่เหมือนกัน บางทีก็จิตเป็นอกุศลก็เยอะ บางทีก็เป็นกุศล บางทีก็ฝักใฝ่ในธรรม บางทีก็เป็นอกุศล มองโลกตั้งแต่ในแง่ร้าย เราก็พยายามขัดเกลาตัวเรา แล้วก็พยายามยังประโยชน์ เขาก็อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา ทำภาระหน้าที่ของเราให้จบ ภายนอกมาก็ค่อยแก้ไขกันไป อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย พันธะภาระหน้าที่ทางสมมติ เราก็หยุดเอาไว้ ถึงได้มาถึงวัด ทีนี้กายของเราก็นั่งอยู่ที่นี่
หลวงพ่อก็เพียงแค่พูด แค่ชี้แนะ อุบาย วิธี แนวทาง พวกท่านจงน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเรามันจะคิดไปที่ไหนมันก็หยุด สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละ ในหลักธรรมท่านว่าสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เวลาลมหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ หายใจยาวก็รู้ หายใจออกยาวเข้ายาวก็รู้ หายใจเป็นธรรมชาติก็รู้ ช่วงที่ฝึกใหม่ๆ นี่อึดอัด อึดอัดมากทีเดียว บางทีก็เหมือนกับจะขาด ลมหายใจจะขาด กายก็หงุดหงิด บางทีก็คนโน้นคนนี้ สารพัดอย่างที่มันจะมาฉุดมารั้งเอาไว้
เราพยายามทำบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน มีสติรู้กายแล้ว สติต่อเนื่องกันแล้ว สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เขาจะไปรู้ลักษณะของใจ ซึ่งเขามีอยู่เดิม เขาเกิดๆ ดับๆ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เราก็จะเห็นการก่อตัว การเกิด รู้จักควบคุมใจ รู้จักอบรมใจ ว่าอะไรผิด อะไรถูก กายทำหน้าที่อย่างไร การสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีกัน สร้างวิธีไหน ทำอย่างไร เราก็จะคลายปมออกทีละเปลาะๆๆ จนกระทั่งเข้าถึงตัวใจ กําลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน คลายใจออกจากขันธ์ห้า ละกิเลสออกจากใจ ดับความเกิดด้วยสมถะ สร้างกําลังใจด้วยสมถะ หนุนกําลังสติปัญญาไปแก้ไขปัญหาต่างๆ รู้จักมองเห็นหนทางเดิน ต้องคลายภายในให้ได้เสียก่อน ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
หลวงพ่อเพียงแค่พูดให้ฟัง แค่เล่าให้ฟัง พวกท่านจงไปทำ ว่าทั้งกลางวันทั้งกลางคืน สติเราพลั้งเผลอได้อย่างไร เรามีความเพียรอยู่ในระดับไหน จิตใจของเรามีความอ่อนโยน หรือว่ามีความแข็งกระด้าง จิตใจของเราฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อย ก็เป็นเรื่องของปัญญา ก็ต้องพยายามกันอย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกัน จะลุกจะก้าวจะเดิน ความรู้สึกอยู่ที่การเดิน พวกเราก็ขาดความสนใจกัน อยากได้ตั้งแต่ธรรม ความอยากนั่นแหละปิดกั้นเอาไว้ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดยังหลงอยู่
เรื่องการทำบุญให้ทาน ศรัทธาตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม มีกันมาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย พาทำบุญให้ทาน ตักบาตรใส่บาตร อนุเคราะห์กัน แต่การเจริญสตินี้มีไม่ค่อยต่อเนื่อง ก็เลยเข้าไม่ถึงจุดหมายปลายทางกัน แถมไม่อยากจะทำด้วย เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ มันปกปิดเอาไว้ เขาก็หาเหตุหาผลมาปกปิดเอาไว้ สติปัญญาก็หาเหตุหาผล กําลังฝ่ายไหนมันจะเยอะกว่ากัน นี่แหละก็ต้องพยายามทำขณะเรายังมีกําลังอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ สิ่งพวกนี้เราจะไปยกให้กันไม่ได้เลย เราต้องทำเอา กิเลสของเรา เราต้องแก้ไขเอา การทำบุญให้ทาน เราก็ทำเอา
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง