หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 103

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 103
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 103
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ท่านได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็ทำเสียนะ หลวงพ่อเป็นแค่พูดแค่กระตุ้นให้รู้จักวิธีการแนวทาง ลักษณะของการเจริญสติลงที่กายของเรา ลงที่รู้สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย เพียงแค่เรื่องการนั่งการดูรู้ลมหายใจพวกเราก็ยังขาดความเพียรกัน ทั้งที่ใจก็อยากจะรู้บุญอยากจะได้บุญ ความอยากนั่นปิดกันเอาไว้ ความเกิดนั่นแหละปิดกั้นตัวใจเอาไว้หมด

การเกิดของใจนี่เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นะ หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ แต่เราอาจจะไม่รู้เรื่องตรงนั้น ทีนี้เขาก็มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า นี่ก็หลง ถ้าไม่หลงก็ไม่มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เกิดในภพของมนุษย์เราก็หลงอยู่ในระดับส่วนลึกๆ หลงขันธ์ห้าอีก หลงขันธ์ห้าก็ยังไม่พอ แล้วก็ไปหลงโลกธรรมอีก หลงเกิดอีกเกิดต่ออีก ความคิดของเรานะยังปรุงแต่งต่อด้วยใจ เกิดต่อยังไม่พอ ยังมีอาการของใจ มารวมมาผสมกันอีกไปด้วยกัน กายก็เลยหนักใจก็เลยหนัก ไปหลงเอาข้างนอกโลกธรรมอีก อันนั้นก็ของเราสารพัดอย่าง มันหลายชั้น

พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติ สร้างผู้รู้ สร้างความรู้ตัวตนใหม่ลงที่กาย สร้างความรู้สึกตัวแล้วแต่เราจะใช้วิธีการอย่างไร ขอให้มีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง ในหลักธรรมแล้วก็ท่านให้เน้นที่อานาปานสติ สร้างความรู้ตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน เพราะว่าถ้าคนเราเกิดมาก็หายใจแล้ว ถ้าลมหายใจไม่เข้าไม่ออกภายในนาทีสองนาทีก็หมดสภาพแล้ว เราพยายามหัดสังเกต หัดสร้างความรู้ตัวบ่อยๆ ความรู้สึกไม่ชัดเจน เราก็พยายามหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ กระตุ้นความรู้ตัว สัมผัสของลมหายใจก็จะชัดเจน

เพียงแค่เรื่องการหายใจ หายใจหยาบเป็นอย่างไร หายใจละเอียดเป็นอย่างไร เรารู้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันแล้วหรือยัง ถ้าเรารู้ต่อเนื่องเชื่อมโยง เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ ไม่ใช่ไปนึกเอา ไปคิดเอา เรารู้อารมณ์ สัมผัสอารมณ์ ลมเข้าเป็นอย่างนี้ ลมออกเป็นอย่างนี้ ขณะเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันอย่างนี้แหละ ตัวใจน่ะมันคิด มันเกิดอยู่แล้ว บางทีมันก็คิดผุดขึ้นมาไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ มันจะเห็น เห็นการคิด แต่ส่วนมากเราก็จะรู้เมื่อเขาเกิดเป็นเรื่องเป็นราว หรือบางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมาใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมอีก มันมีอยู่แล้ว

เรามาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ ถ้าผู้รู้ของเราเข้มแข็งต่อเนื่อง รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุของความคิด เราก็หยุดเอาไว้ กระตุ้นความรู้สึก การหายใจเข้าออกใหม่ หรือสร้างความรู้สึกอยู่ที่การเดิน จนเกิดความเคยชินจนเป็นอัตโนมัติในสติรู้กาย อันนี้เป็นเพียงแค่สติต่อเนื่องกันนิดหน่อย ถ้าเราสังเกตใจกับความคิดทัน แล้วใจเขาแยกออกจากกันได้ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา

ตัวสติที่เราสร้างขึ้นมา ตามดูความคิด เห็นการเกิดการดับ เห็นตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เป็นในเรื่องอดีตหรือเรื่องอนาคต มันจบลงแล้ว มันหายไปไหนนั่นแหละ อนัตตาความว่าง เข้ามาปรากฏเรื่องใหม่ก็เข้ามา ใจก็ต้องว่างรับรู้อยู่ แต่ส่วนมากมันรวมกันไปแล้วเราถึงรู้ มันเป็นของละเอียด ละเอียดอ่อนมากทีเดียว ถ้าเราไม่สังเกต ไม่วิเคราะห์ ไม่ต่อเนื่อง ไม่มีความเพียร ก็ยากที่จะเข้าใจ ส่วนมากก็เหมารวมกันไปหมด

ใจคิดก็รู้ ทำก็รู้ ไม่ได้ทุกข์ ไม่ใช่มันการเกิดนั่นแหละคือความหลง เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ขนาบแล้วก็ขนาบอีก ชี้เหตุชี้ผลแล้ว ถ้าเห็นแล้วแยกแยะได้ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่องอีก เขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิม เขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิม ถ้ากําลังสติเราตามดู กําลังสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละจะเป็นมหาสติ ค้นคว้าไม่หยุด จนหมดความสงสัย หมดความลังเล เห็นเหตุเห็นผล

ถ้ากําลังสติพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ เพียงแค่การสร้างกับการทำให้ต่อเนื่องมันก็อยากแสนยาก เราก็ต้องพยายาม ถ้ามันรู้ด้วยเห็นด้วยแล้วเป็นมหาสติแล้วก็อะไรก็ฉุดรั้งเอาไว้ไม่อยู่ เขาก็จะค้นคว้าจนหมดความสงสัย จนไม่มีอะไรจะให้ค้นคว้านั่นแหละ จนเอาปัญญาไปทำหน้าที่แทนได้ จนสติ สมาธิปัญญาเขาจะรักษาเรา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเพียงอิริยาบถ

เพียงแค่เริ่มต้นของการเจริญสติ พวกเราก็ทำยากอยู่ แต่หลวงพ่อจะพูดในภาพรวมจนกระทั่งถึงความว่างความบริสุทธิ์ ดับความเกิด ถ้าเราไม่เห็นจุดเกิด จุดดับแล้วเราก็ รู้จุดไม่รู้จุด ปล่อยจุดวาง ถ้าเรารู้จุดแยกแยะได้ ตามดูได้ รู้ได้ ละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ขอให้รู้ต้นเหตุเสียก่อน ส่วนมากจะรู้แต่กลางเหตุปลายเหตุหรือไม่รู้เลย มันก็เอาความถูกต้องเพียงแค่ระดับของสมมติ แต่มันก็ยังหลงอยู่ ก็ต้องพยายาม

แนวทางนั้นมีมานานตั้งหลายร้อยหลายพันปี ตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ ท่านเอามาเปิดเผยจําแนกแจกแจงวิธีการแนวทางการสร้างตบะ สร้างบารมี ใจดวงนี้ดวงเดิมสะอาดบริสุทธิ์มาก่อน ความไม่รู้ เขาถึงเกิดเขาถึงหลง หลงแบบชนิดที่ว่าหาฝั่งไม่เจอแล้ว นอกจากคําสอนของพระพุทธองค์ เราอย่าไปปล่อยวันเวลา ทิ้งเสียดายเวลา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราแก้ไขเราอยู่ปัจจุบันนี้แหละ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ มันอยากอะไร เราดับความอยากเสียก่อน ดับความอยากเห็น การเกิดก่อตัวให้ได้เสียก่อน แล้วก็หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน อดพูดอดคิด สังเกตดูความคิด ดูไม่ทันดับเอาไว้ โง่ก็ต้องโง่เสียก่อน มันฉลาดแบบโลกๆ มาตั้งนาน ปัญญาทางโลกมีทั้งร้อยก็ต้องคลายทั้งร้อยหนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน จนกว่ามันจะเต็มรอบ จนกว่าไปใช้การใช้งานได้ พูดง่าย แต่การลงมือ การวิเคราะห์ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เหล่านี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ได้สร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง