หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 100

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 100
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 100
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน เป็นวันเสาร์ที่ 7 งานบุญงานกฐินที่ยังไม่ได้ถวายก็หลายวัดหลายที่ มีโอกาสก็พากันไปร่วมบุญกัน ไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล น้อมใจของเราเข้าไปอนุโมทนาสาธุช่วยกัน จะได้อานิสงส์แห่งบุญร่วมกัน อยู่ใกล้อยู่ไกล มีโอกาส ทั้งกําลังกาย กําลังใจ กําลังทรัพย์ ไม่พลาดโอกาส อย่าไปปล่อยโอกาส

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็รีบวิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง อะไรควรดำเนิน เจริญสติไปวิเคราะห์ใจของเรา อบรมใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ใจเกิดเมื่อไรเราก็รู้จักพิจารณา รู้จักแก้ไข ก็จะได้แก้ไขชีวิตของเราได้ทัน ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ

พระเราชีเราก็เหมือนกัน พยายามขยันหมั่นเพียร พิจารณาทั้งสมมติทั้งวิมุตติ แม้ตั้งแต่กระทั่งความอยากความหิว พิจารณาอาหารในการขบฉันของตัวเราเอง กะประมาณในการขบฉัน กายของเราเกิดความหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก หรือว่าใจปกติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความหิวนี่ทำให้ใจปรุงแต่งได้เร็วได้ไว ความหิวทำให้เกิดความอยาก อยากให้ทางด้านร่างกาย ทางด้านรูปธรรม ทีนี้ก็อยากมีอยากเป็น อยากคิด ไม่อยากมีไม่อยากเป็น

การเกิดของใจนั่นแหละคือความไม่เที่ยง เราต้องวิเคราะห์พิจารณาแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนเป็นปกติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ แต่ละวันเราก็จะได้สร้างอานิสงส์กันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ละความเกียจคร้าน เพิ่มความรับผิดชอบ หัดวิเคราะห์หัดสังเกต ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราเอาไปใช้ เอาไปควบคุม เอาไปดูแล จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ กายทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา อะไรที่จะนําความสุขมาให้ เราก็พยายามดำเนิน ไม่หลงไม่ยึด อะไรที่จะนําความทุกข์มาให้แก่ตัวเรา แก่หมู่แก่คณะเราก็พยายามแก้ไข

ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนมีมาตั้งแต่เหตุ มีเหตุ มีปัจจัย เหตุภายในการเกิดการดับของวิญญาณ เหตุสมมติการกระทำถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย พวกเรายังมีกําลัง พยายามสร้างคุณงามความดี สร้างอานิสงส์ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง สร้างเอาไว้นั่นแหละ ระลึกนึกถึงเมื่อไหร่จิตใจก็มีความสุข ขัดเกลาตัวเรา โอกาสเปิด เรามีความพร้อม เราก็ได้ช่วยกัน อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง

แต่เวลานี้เราต้องทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณในกายของเราให้ได้ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การเกิดของใจเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ เราจะเอาอะไรไปประหัตประหารกิเลส ใจเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ให้ระดับสมมติ ให้ระดับวิมุตติ จนแยกแยะ เดินปัญญา แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจ ให้อภัยทาน ทานความยึดมั่นถือมั่น บริหารด้วยปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราก็จะมีความสุข อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าทำไม่ได้ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก เราก็ดูรู้ยังไม่ชํานาญเลย จิตใจสอนได้ๆ ถ้าเจริญสติเข้าไปอบรมบ่อยๆ สอนบ่อยๆ

เอาล้อเลื่อนมาๆใส่

คนเราเกิดมาก็เพื่อที่จะมาหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่อย่ากลับไปหลง จะไปโทษคนโน้น ไปโทษคนนี้ จงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ใจเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดในภพของมนุษย์ หลงเกิด เกิดในภพน้อยภพใหญ่ อันนั้นเราอย่าไปสนใจ เรามาสนใจการเกิดอยู่ในกายของเรานี่ตรงนี้ให้มันทันเสียก่อน ที่ว่าเกิดอยู่ในภพมนุษย์มีกายเนื้อ มีขันธ์ห้าเข้ามาห่อหุ้ม เห็นความเกิดความดับ ตัวที่จะเข้าไปเห็น คือเรามาสร้างผู้รู้ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง แล้วก็เอาไปอบรมใจ

ส่วนมากก็มีตั้งแต่ใจกับความคิดซึ่งเขาหลงกันอยู่ไปด้วยกัน ถ้าเข้าใจตามดู รู้ละความเป็นจริงได้ก็ต้องใช้ความเพียรตบะอย่างแรงกล้า รู้แล้วเห็นแล้วทำความเข้าใจได้แล้วค่อยละ เห็นความเกิดความดับ แยกแยะได้เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ว่าท่านสอนเรื่องอะไร หลักของความจริงของชีวิต ส่วนรูปส่วนนาม การขัดเกลากิเลส วิธีการแนวทางมีมาตั้งนาน จะไปแสวงหาที่โน่นที่นี่ ไม่เจริญสติเข้าไปอบรมใจ มันก็ยากที่จะเข้าใจ กิเลสมารเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เอามาหลอกตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทุกเวลานั่นแหละ

หลวงพ่อจะพูดแต่เรื่องเก่านี้แหละ ท่านต้องไปสังเกต ไปวิเคราะห์ให้เห็น ไม่ได้จํากัดกาลจํากัดเวลา กิเลสมันไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลานั้นจะเกิด เวลานี้จะเกิด มันเกิดมาตั้งนานแล้ว คนมีบุญมีอานิสงส์ คนมีความเพียรฟังนิดเดียว หมั่นพร่ำสอนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กิเลสนั้นไม่ได้อยู่กับว่ามาวัดแล้วจะไม่เกิด ไม่ได้อยู่กับใส่ชุดขาวชุดเหลือง

อันนี้เป็นในทางสมมติ แต่ทางวิมุตตินั่นมันตัวใจ ฐานของใจนี่เราต้องจัดการให้ได้ แต่เราก็ต้องเคารพสมมติ ต่อมาอาศัยสมมติก็กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ มีพ่อมีแม่ มีพี่ มีน้อง มีเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีบริวาร ชําระกิเลสภายใน แล้วก็ช่วยเหลืออนุเคราะห์กันในระดับหนึ่ง ส่วนกิเลสก็ต้องละเอา ใจจะสะอาดได้ก็สะอาดได้ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ มันจะสะอาด ไปอยู่ที่โน่นทำไมไม่เข้าใจ ไปอยู่ที่นี่ทำไมไม่เข้าใจ ก็วิบากกรรมของเรามันยังไม่คลาย อันโน้นก็ยังไม่พร้อมอันนี้ก็ยังไม่พร้อม ครอบครัวก็ยังลําบาก อาหารการอยู่การกินก็ยังลําบาก ที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอนก็ยังลําบาก มันก็ต้องทำให้มันบริบูรณ์ ถึงไม่มีค่ามีราคามากมาย แต่ก็ให้สมบูรณ์ในระดับของสมมติ ใจมันก็ผ่อนคลายได้เร็วได้ไว

บางคนก็เอามาทับถมลงใจของตัวเองอีก เอาความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก สร้างพันธะตัวเองยังไม่พอ ไปผูกกับคนโน้นคนนี้ แล้วก็ไปโทษคนโน้นโทษคนนี้เป็นอย่างงั้นเป็นอย่างนี้ มีแต่คนพาลนะอย่างนั้น เราจงโทษตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ให้ถึงจุดหมายปลายทางกันให้เร็วให้ไว พระเราก็เยอะ ออกพรรษาก็เยอะ ในพรรษาก็เยอะ ชีก็เยอะ อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ก็ให้สมัครสมานสามัคคี ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ เป็นโทษ เราก็รู้จักแก้ไข กว่าจะได้สมมติให้ได้มาอยู่รวมกันนี่ก็ต้องอาศัยเวลาตั้งหลายปี กว่าพวกท่านจะได้มาอยู่สะดวกสบาย อะไรที่จะประหยัดได้ก็ประหยัด มัธยัสถ์ก็มัธยัสถ์ รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ตั้งใจรับพร

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องพวกเราก็ทำกันยากอยู่ นั่งตามสบาย วางตามสบาย วางกายวางใจให้สบาย ฟังไปด้วย เสียงก็สักแต่ว่าเสียง วิธีการแนวทาง ลักษณะของการเจริญสติ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สักสองสามเที่ยว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’

พยายาม เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกก็จะชัดเจน ความรู้ตัวเวลาลมหายใจกระทบปลายจมูก ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องทั้งลมหายใจเข้า หายใจออก ท่านเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่อง จาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง จากนาที จากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็น 2-3นาที จาก2-3นาที เป็น 5นาที 10นาที เป็นชั่วโมง จนกําลังสติของเรามีความเข้มแข็งต่อเนื่อง

ใจที่จะปรุงแต่งส่งไปภายนอก สติตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่ก็จะรู้เท่าทัน รู้การเกิดของใจ รู้การเกิดของความคิดซึ่งมีอยู่ในกายของเรา ซึ่งเรียกว่าขันธ์ห้า เวลาความคิดผุดขึ้นมา ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราก็จะเห็น ถ้าเราเห็นขณะใจเคลื่อนเข้าไปรวม ใจจะแยกออกจากความคิด ซึ่งภาษาธรรมท่านเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ใจก็จะหงายจากของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา การเกิดการดับของความคิด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นแหละที่ท่านเรียกว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ถ้าเป็นเรื่องอดีตเขาเรียกว่ากองของสังขาร ตัวใจของเราไปรวมเป็นสิ่งเดียวกันไปด้วยกัน ก็เลยคิดก็รู้ ทำก็รู้ เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่

นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง จนแยกแยะได้ ตามดูได้ หมดความสงสัยได้ ทุกเรื่อง กําลังสติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะเริ่มกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา รู้เห็นปัญญา ฝ่ายเกิดฝ่ายดับ ปัญญาทำความเข้าใจ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ใจของเราเกิดกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เราละได้ระดับไหน ก็จะไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ต้องให้รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย

แต่ส่วนมากก็มีศรัทธากันอยู่ แต่เป็นศรัทธาที่ยังขาดปัญญา เป็นปัญญาอยู่ในระดับของโลกียะ ฝักใฝ่ในบุญ เอาแค่ทำบุญ แต่การดำเนินสติปัญญา ละกิเลส ดับความเกิดให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทางตรงนั้นขาดความเพียรกันเยอะ ยืน เดิน นั่ง นอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราเข้าใจแล้วการเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ สติ หรือว่าความรู้ตัวพลั้งเผลอ เป็นอย่างนี้ เราเอาไปใช้งานได้หรือไม่ เอาไปอบรมใจของเราได้หรือไม่ ใจเกิดส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ทุกเรื่อง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร

ข้อวัตรปฏิบัติที่คร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละกิเลส เพื่อที่จะคลายความหลง ตามธรรมชาติของใจนั้นเขาหลงมาตั้งแต่เรายังไม่ได้เกิด หลงวนเวียนว่ายอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาสร้างภพของมนุษย์ มาสร้างกาย ขันธ์ห้า เข้ามาปิดกั้นตัวเอง พระพุทธองค์ท่านถึงให้มาเจริญสติ มาเจริญผู้รู้ตัวใหม่ลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ความรู้สึก ลงไปที่กายของเรา จนกว่าจะรู้เท่าทัน รู้เท่า รู้ทัน ทำความเข้าใจ รู้กัน รู้แก้ รู้ละ จนวางสมมติได้ จนอยู่เหนือสมมติได้ ยังประโยชน์สมมติให้เกิดประโยชน์เต็มที่ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ภายในประโยชน์ภายนอก ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า

หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ ก็ยากที่จะเข้าใจ ก็อาจจะเข้าใจอยู่ในระดับของสมมติ ฝักใฝ่ในบุญก็ยังดี ถึงเวลาก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำ เขาจะไปต่อภพหน้า อย่าไปมองข้ามในการสร้างบุญ แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ แต่การเจริญสติเอาไปใช้ ทุกคนต้องพยายาม ดำเนินให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ขึ้นอยู่กับคนโน้นคนนี้ ขึ้นอยู่กับตัวของเรา พยายามนะ

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้เชื่อมโยง ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง