หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 72
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 72
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 72
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2558
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย มาทีไรหลวงพ่อก็จะเน้นตั้งแต่การเจริญสติให้ได้เสียก่อน อันหลังก็จะตามมา ถ้ากําลังสติของเราต่อเนื่อง รู้เท่าทันรู้ลักษณะของใจ รู้ความหมาย ดูลักษณะหน้าตาอาการ ความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ ก็รู้สติ รู้กาย ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเวลาลมเข้าลมออก เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่องจากนาที 2 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 นาที กําลังสติของเราก็เชื่อมโยง เราก็จะรู้ว่าแต่ก่อนโน้นสตินั้นเป็นแค่เพียงสติของทางโลกเท่านั้นเอง
สติในทางธรรม เราต้องสร้างขึ้นมา พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ เพียงแค่สร้างนะ เพียงแค่สร้างให้ได้เสียก่อน ถ้าสร้างให้ต่อเนื่อง เชื่อมโยง ส่วนใจนั้นเขาเกิดๆ ดับๆ อยู่แล้ว ถ้ากําลังสติของเรารู้ตรงนี้ เราก็จะไปรู้ลึกลงไปอีกว่าใจก่อตัวอย่างไร อาการของใจเป็นอย่างไร ก็จะเห็นเป็น 2 ส่วน ส่วนที่เราสร้างขึ้นมานี่ส่วนหนึ่ง ส่วนการเกิดของใจหรือว่าวิญญาณในขันธ์ห้าของเรา บางคนบางท่านก็เรียกว่าใจ เขาจะปรุงแต่ง เกิดส่งไปภายนอกนี่เพียงแค่ความเกิดของตัวใจ ยังไม่ได้แยกออกจากความคิด ยังไม่ได้คลายจากความคิดนะ จะมีความคิดอีกตัวหนึ่ง
ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง จะมีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ขณะที่ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะไปเห็นตรงนั้นอีกทีหนึ่ง ถ้าเห็นตรงนั้นอีกทีหนึ่ง พอเรารู้ปุ๊บ ใจมันจะดีดออกจากความคิด โดยที่จะมาผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ เขาเรียกว่า ’แยกรูปแยกนาม’ เขาจะแยกของเขาเอง เหมือนกับขโมยจะเข้าบ้าน ถ้าเจ้าของบ้านเห็นเนี่ยเขาจะรีบกระโดดกระโจนหนีไปทันที นี่ถ้าเราเห็นความคิด 2 จุดนี้ เคลื่อนเข้าไปรวมกัน ใจมันก็จะดีดออกจากความคิดแล้วก็จะหงาย ซึ่งท่านเรียกว่าหงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา กายหนักๆ กายก็จะเบา ใจก็จะว่าง
ความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจนั้น เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นเรื่องอดีต เรื่องอนาคต เป็นกุศล อกุศล ถ้าเป็นอดีตเขาเรียกว่ากองสัญญา บางทีก็เป็นกองของกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ถ้าใจเคลื่อนเข้าไปรวม เขาเรียกว่าไปเสวย ไปรวมกันเป็นตัวเดียวกัน ทำให้เกิดอัตตา พอรวมกันได้ กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก เราไม่รู้ความจริงตรงนี้ ถ้าเรารู้ความจริงแยกได้ ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่องอีก จนใจมองเห็นความเป็นจริงว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ให้เห็นตรงนี้ให้ได้เสียก่อน
ถ้าแยกแยะไม่ได้ก็ ใจก็ยังอยู่ในกองบุญ อยู่ในบุญอยู่ในอานิสงส์ สร้างบารมีกันไป ถึงเวลามันก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าแยกแยะได้ ตามดูได้ รู้เหตุรู้ผล อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนินก่อน อะไรควรดำเนินหลัง มันจะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง สนุกสร้างบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ มองเห็นหนทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน แต่ส่วนมากเราไปเอาในภาพรวม มองในภาพรวม ไปก็ทั้งก้อน อยู่ก็ทั้งก้อน เรายังแกะไม่ออก บอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ก็ยังอยู่ในกองบุญ
เราก็ต้องพยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ถ้าเราจะเอาจริงๆ มีไม่มากเลย แต่มันทำยาก การละกิเลสแต่ละตัวๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ความอยากของใจ ความหลงของใจมันเกิดมาหลงมานาน กว่าจะแยกแยะได้ กว่าจะชี้เหตุชี้ผลได้ ก็จะให้ใจยอมรับความเป็นจริงได้ เนี่ยมันก็ต้อง กําลังสติต้องมีเหตุมีผล ขยันหมั่นเพียร จนหาอะไรมาโต้แย้งไม่ได้นั่นแหละ ใจถึงจะยอมวาง ยอมละ แล้วก็ ใจเกิดกิเลสแล้วก็มาละกิเลสที่ใจอีก ให้มันหมดจดอีก หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน
กําลังสติใหม่ๆ ไม่มี เราก็สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ ทุกเรื่อง จนแยกแยะได้ ตามทำความเข้าใจได้ กําลังสติถึงจะเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญา ถ้าเราทำถึงจุดหมายปลายทาง สติ ปัญญา สมาธิ เขาจะรักษาเรา เราไม่จำเป็นต้องไปรักษาเขา
การเกิดเป็นทุกข์ ใจก็ไม่เกิด ขันธ์ห้ามันไม่เที่ยง คือมันไม่มีตัวมีตน มันก็รู้ความจริงแล้ว มันก็จะค่อยละออกไปเรื่อยๆ แต่เวลานี้กําลังสติตัวแรก ปัจจุบันธรรมยังไม่ต่อเนื่องกันเพียงแค่ 5 นาที 10 นาทีเลย มันจะไปรู้ความจริงได้อย่างไร จะไปขัดเกลากิเลสได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามเพิ่มกําลังสติให้รู้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความเสียสละ ความเห็นแก่ตัว ความอยากนิดๆ หน่อยๆ
หลวงพ่อถึงบอกว่าความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ยังไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ การเกิดของใจไม่มี แต่ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ไอ้ตัวเล็กๆ ไม่สนใจ ความคิดเกิดๆ ดับๆ อยู่ ทั้งที่ใจเป็นบุญ ความคิดเกิดจากขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจ ใจปรุงแต่งความคิด กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจปรุงแต่งร่วมหรือไม่ หรือเกิดกิเลสเกิดขึ้นที่ใจ ทั้งใจ ทั้งสติ ทั้งปัญญา ทั้งขันธ์ห้า มันเป็นลักษณะอย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายาม
เพียงแค่สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไปไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2558
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย มาทีไรหลวงพ่อก็จะเน้นตั้งแต่การเจริญสติให้ได้เสียก่อน อันหลังก็จะตามมา ถ้ากําลังสติของเราต่อเนื่อง รู้เท่าทันรู้ลักษณะของใจ รู้ความหมาย ดูลักษณะหน้าตาอาการ ความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ ก็รู้สติ รู้กาย ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเวลาลมเข้าลมออก เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่องจากนาที 2 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 นาที กําลังสติของเราก็เชื่อมโยง เราก็จะรู้ว่าแต่ก่อนโน้นสตินั้นเป็นแค่เพียงสติของทางโลกเท่านั้นเอง
สติในทางธรรม เราต้องสร้างขึ้นมา พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ เพียงแค่สร้างนะ เพียงแค่สร้างให้ได้เสียก่อน ถ้าสร้างให้ต่อเนื่อง เชื่อมโยง ส่วนใจนั้นเขาเกิดๆ ดับๆ อยู่แล้ว ถ้ากําลังสติของเรารู้ตรงนี้ เราก็จะไปรู้ลึกลงไปอีกว่าใจก่อตัวอย่างไร อาการของใจเป็นอย่างไร ก็จะเห็นเป็น 2 ส่วน ส่วนที่เราสร้างขึ้นมานี่ส่วนหนึ่ง ส่วนการเกิดของใจหรือว่าวิญญาณในขันธ์ห้าของเรา บางคนบางท่านก็เรียกว่าใจ เขาจะปรุงแต่ง เกิดส่งไปภายนอกนี่เพียงแค่ความเกิดของตัวใจ ยังไม่ได้แยกออกจากความคิด ยังไม่ได้คลายจากความคิดนะ จะมีความคิดอีกตัวหนึ่ง
ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง จะมีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ขณะที่ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะไปเห็นตรงนั้นอีกทีหนึ่ง ถ้าเห็นตรงนั้นอีกทีหนึ่ง พอเรารู้ปุ๊บ ใจมันจะดีดออกจากความคิด โดยที่จะมาผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ เขาเรียกว่า ’แยกรูปแยกนาม’ เขาจะแยกของเขาเอง เหมือนกับขโมยจะเข้าบ้าน ถ้าเจ้าของบ้านเห็นเนี่ยเขาจะรีบกระโดดกระโจนหนีไปทันที นี่ถ้าเราเห็นความคิด 2 จุดนี้ เคลื่อนเข้าไปรวมกัน ใจมันก็จะดีดออกจากความคิดแล้วก็จะหงาย ซึ่งท่านเรียกว่าหงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา กายหนักๆ กายก็จะเบา ใจก็จะว่าง
ความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจนั้น เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นเรื่องอดีต เรื่องอนาคต เป็นกุศล อกุศล ถ้าเป็นอดีตเขาเรียกว่ากองสัญญา บางทีก็เป็นกองของกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ถ้าใจเคลื่อนเข้าไปรวม เขาเรียกว่าไปเสวย ไปรวมกันเป็นตัวเดียวกัน ทำให้เกิดอัตตา พอรวมกันได้ กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก เราไม่รู้ความจริงตรงนี้ ถ้าเรารู้ความจริงแยกได้ ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่องอีก จนใจมองเห็นความเป็นจริงว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ให้เห็นตรงนี้ให้ได้เสียก่อน
ถ้าแยกแยะไม่ได้ก็ ใจก็ยังอยู่ในกองบุญ อยู่ในบุญอยู่ในอานิสงส์ สร้างบารมีกันไป ถึงเวลามันก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าแยกแยะได้ ตามดูได้ รู้เหตุรู้ผล อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนินก่อน อะไรควรดำเนินหลัง มันจะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง สนุกสร้างบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ มองเห็นหนทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน แต่ส่วนมากเราไปเอาในภาพรวม มองในภาพรวม ไปก็ทั้งก้อน อยู่ก็ทั้งก้อน เรายังแกะไม่ออก บอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ก็ยังอยู่ในกองบุญ
เราก็ต้องพยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ถ้าเราจะเอาจริงๆ มีไม่มากเลย แต่มันทำยาก การละกิเลสแต่ละตัวๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ความอยากของใจ ความหลงของใจมันเกิดมาหลงมานาน กว่าจะแยกแยะได้ กว่าจะชี้เหตุชี้ผลได้ ก็จะให้ใจยอมรับความเป็นจริงได้ เนี่ยมันก็ต้อง กําลังสติต้องมีเหตุมีผล ขยันหมั่นเพียร จนหาอะไรมาโต้แย้งไม่ได้นั่นแหละ ใจถึงจะยอมวาง ยอมละ แล้วก็ ใจเกิดกิเลสแล้วก็มาละกิเลสที่ใจอีก ให้มันหมดจดอีก หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน
กําลังสติใหม่ๆ ไม่มี เราก็สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ ทุกเรื่อง จนแยกแยะได้ ตามทำความเข้าใจได้ กําลังสติถึงจะเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญา ถ้าเราทำถึงจุดหมายปลายทาง สติ ปัญญา สมาธิ เขาจะรักษาเรา เราไม่จำเป็นต้องไปรักษาเขา
การเกิดเป็นทุกข์ ใจก็ไม่เกิด ขันธ์ห้ามันไม่เที่ยง คือมันไม่มีตัวมีตน มันก็รู้ความจริงแล้ว มันก็จะค่อยละออกไปเรื่อยๆ แต่เวลานี้กําลังสติตัวแรก ปัจจุบันธรรมยังไม่ต่อเนื่องกันเพียงแค่ 5 นาที 10 นาทีเลย มันจะไปรู้ความจริงได้อย่างไร จะไปขัดเกลากิเลสได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามเพิ่มกําลังสติให้รู้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความเสียสละ ความเห็นแก่ตัว ความอยากนิดๆ หน่อยๆ
หลวงพ่อถึงบอกว่าความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ยังไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ การเกิดของใจไม่มี แต่ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ไอ้ตัวเล็กๆ ไม่สนใจ ความคิดเกิดๆ ดับๆ อยู่ ทั้งที่ใจเป็นบุญ ความคิดเกิดจากขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจ ใจปรุงแต่งความคิด กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจปรุงแต่งร่วมหรือไม่ หรือเกิดกิเลสเกิดขึ้นที่ใจ ทั้งใจ ทั้งสติ ทั้งปัญญา ทั้งขันธ์ห้า มันเป็นลักษณะอย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายาม
เพียงแค่สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไปไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ