หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 20

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 20
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 20
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 20
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558

มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆนะ พระเรา พระเราชีเรา สามเณร อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน ขณะนี้เดี๋ยวนี้ ความรู้ตัวของเราต่อเนื่องหรือไม่ ใจของเราปกติหรือเปล่า การเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของอาการของความคิด กําลังสติปัญญา กําลังความรู้ตัว ต้องให้รู้เท่าทันทุกอิริยาบถ ใจกระดุกกระดิกเมื่อไรก็หยุดดับ ไม่ให้เกิดการปรุงแต่ง ส่งออกไปภายนอก ช่วงใหม่ๆ นี่ก็ยากอยู่ ต้องอด ต้องข่ม ต้องฝืน เพราะว่าเป็นการทวน เป็นการสวนกระแสกิเลส ถ้าเราอด ดับ หยุด สังเกต วิเคราะห์ ใจคลายออก ดับความเกิด ละกิเลส ได้เมื่อไร ใจถึงจะตกกระแสธรรม ความโล่ง ความโปร่ง ความเบา ความสบายก็เกิดขึ้น เห็นเหตุเห็นผลภายใน เหตุผลภายนอกก็มี เหตุผลภายในก็มี แต่เราต้องรู้เหตุผลภายในเสียก่อน

ทําไมใจถึงเกิด ความเกิดนั่นแหละ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้า หรือว่าภพของมนุษย์ นี่แหละความหลงกายเนื้อก็มาปิดบังเอาไว้ ส่วนความคิดนามธรรม ก็มาปิดบังเอาไว้ คิดถูกทําถูก อันนี้อาจจะถูกอยู่เพียงแค่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมเราต้องคลาย ต้องให้รับรู้ผิดถูกชั่วดีอย่างไร ปัญญาไปแก้ไข เพียงแค่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น อยากในอาหาร ขณะนี้เดี๋ยวนี้ เราก็ต้องดู กายก็ยิ่งบวชใหม่ๆ กายก็หิว ก็อดอาหารมาเป็นมื้อ 2 มื้อ ใจจะปรุงแต่งความอยากได้เร็วได้ไว มันบอกเอา ว่าบอกเอาไว้อย่างนั้น เพราะว่าอันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม วันนี้ขอเอาเยอะๆ หน่อย มันว่าอย่างนั้นนะ เอาไปเราก็ทานไม่หมด ก็เอาไปทิ้ง มองซ้าย มองขวา มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา

เราอดครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ก็เป็นการสร้างตบะ จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา จะเอามากเอาน้อย ก็เป็นเรื่องของปัญญา ถ้าเราเข้าใจ ทุกเรื่องๆ ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่ใกล้อยู่ไกล ก็มาอยู่รวมกัน เคยสร้างบุญร่วมกันนั่นแหละ ถึงได้มาอยู่ร่วมกัน เราต้องพยายามเพิ่มความเสียสละ ความรับผิดชอบให้มาก ไม่ใช่ว่าจะชิงดีชิงเด่น เรามาฝึกหัดปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละทิฏฐิ ละมานะ ละอัตตาตัวตน ละของเราแล้วก็ขยันหมั่นเพียร ยังประโยชน์

ต่างคนต่างรู้จักแก้ไขตัวเอง ถ้าไม่รู้จักแก้ไขตัวเองอยู่คนเดียวก็หนักอยู่คนเดียวนั่นแหละ ทุกข์อยู่คนเดียว เราก็แบกทุกข์ไปโยน ให้คนโน้นคนนี้ แล้วก็ไปโทษให้คนโน้นคนนี้ บางคนก็เอาแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงํา นั่นไม่ได้อะไร ความรับผิดชอบ มีความเสียสละต่อส่วนตัว ต่อส่วนรวม ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ อบรมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ของเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ได้เลือกกาล เลือกเวลา จะเอาตั้งแต่คนพาทํา พาเดินพานั่ง คอยกําชับกําชา มีแต่คนประเภทนี้เยอะ ไปไหนมาไหนก็เลยเอาตัวเองไม่รอด ก็เลยหนัก ก็เลยทุกข์ อยู่อย่างนั้นแหละ

เพียงแค่ระดับสมมติก็แก้ไขตัวเองไม่ได้ ระดับวิมุตติทางด้านจิตวิญญาณก็ยิ่งห่างไกล เราต้องพยายาม บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เขาถึงเรียกว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ สติตัวแรกที่เราสร้างขึ้นมา ตัวใจนั้นอีกตัวหนึ่ง ใจยังไปหลงความคิด หลงขันธ์ห้าอีก หลงเกิดอีก เป็นทาสของกิเลสอีก มันก็ยากอยู่นะ พูดง่าย แต่ต้องไม่เหลือวิสัย ไม่เหมือนสมัยพุทธกาล ได้อ่าน ได้ศึกษาพระไตรปิฎกดู แม้แต่ชาวไร่ชาวนาเขาก็สําเร็จ ทําไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าเขาฝักใฝ่ปฏิบัติในธรรม

ในพระไตรปิฎกท่านว่ามีชาวนาคนหนึ่ง ออกไปทําไร่ไถนาตั้งแต่เช้าๆ พอดีบุตรชายที่บ้านก็เลยตาย งูกัดตาย แม่บ้านก็เลยดูแลลูกชายวางศพลูกชายไว้เป็นอย่างดี แล้วก็กลับไปบอกพ่อบ้านที่ไร่ที่นา พ่อบ้านกําลังไถนาอยู่ ก็บุตรชายได้ถูกงูกัดตายแล้ว พ่อบ้านตอบว่าอย่างไร พ่อบ้านก็เลยตอบว่า ตายแล้วก็ตั้งเอาไว้ตรงนั้นก่อน ตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาไม่ได้ แต่เวลานี้กําลังไถนาอยู่ ยังไม่เสร็จ ขอให้ไถนาเสร็จเสียก่อนถึงจะกลับไปจัดการ เอาไว้ตั้งไว้ตรงนั้นก่อน ไม่ได้ไปทุกข์ไปเศร้าไปโศก ไปร้องห่มร้องไห้ไปอะไรเลย เพราะว่าเขารู้ รับรู้รับทราบว่ากฎของความเป็นจริงเป็นอยู่อย่างนั้น เพียงแค่ระดับของสมมติ ความตายมีกันทุกคน โยมพ่อที่ไถนาอยู่ก็ไถนาเสร็จถึงกลับไปบ้าน ไปจัดการศพลูกชาย ไม่ได้ทุกข์ได้เศร้าได้โศก แต่ที่บ้านของเราดูซิร้องห่มร้องไห้เกลือกกลิ้ง นั่นแหละคนไม่รู้ความเป็นจริง

อีกคนหนึ่งก็บุตรชายตาย ร้องห่มร้องไห้ อยากจะให้บุตรชายคืน ไปถามบ้านไหนๆ ก็ไม่มียาแก้ เขาก็เลยชี้แนะให้ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ใช้อุบาย ว่าจะทําให้ฟื้นขึ้นมาให้ได้ แต่มีข้อแม้ ว่าต้องไปหาเมล็ดผักกาดแต่ละบ้านมาให้ได้ แล้วก็ถามแต่ละหลังว่าในบ้านนี้มีคนตายหรือเปล่า ถ้าไม่มีคนตายถึงจะเอาฟื้น ถึงจะทําให้ว่าอย่างนั้นนะ ไปบ้านไหนถามบ้านไหนก็ พ่อก็ตาย แม่ก็ตาย ลูกก็ตาย หลานก็ตาย จนหาคนตายแทบ แต่ละบ้านแต่ละหลังนี้ ตายหมดทุกหลัง ถึงกลับมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ชี้แนะแนวทางอุบายให้ ถึงได้มีสติพิจารณาฟื้นกลับมา สําเร็จเป็นพระอรหันต์ได้เลย นี่แหละ

เราก็ต้องรู้จักแก้ไขปรับปรุง วิเคราะห์พิจารณาแก้ไขตัวเรา ทั้งกาย ทั้งใจ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ปล่อยปละละเลย ให้กิเลสเข้าครอบงํา ให้ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากเข้าครอบงํา ความตระหนี่เข้าครอบงํา เพียงแค่ระดับของสมมติยังแก้ไขไม่ได้ ยังสร้างปัญหาไม่จบไม่สิ้น เราก็ต้องพยายามแก้ไขกันอยู่ตลอดเวลา

ตั้งใจรับพรกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง