หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 39
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 39
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 39
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 มีนาคม 2558
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ลมหายใจก็มีมาตั้งแต่เกิด แต่เราขาดการสร้างความรู้ตัวแล้วก็ทำความเข้าใจ ลักษณะของความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความเชื่อมโยงเป็นลักษณะอย่างนี้ ก็เลยขาดการเจริญสติ เอาตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวใจหรือว่าเกิดจากวิญญาณกับอาการของวิญญาณ ซึ่งเขาหลงเกิดมานาน พอหลงเกิดมาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้ามาปิดกันตัวเอง อันนี้ความหลงอยู่ในกายของเราอยู่
ทีนี้ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจก็ยังเกิดต่อ แล้วก็มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจอีก รวมกันในชั้นในอีก ใจของเราก็เกิดความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความยินดียินร้าย ความผลักไสความดึงเข้ามาความเป็นกลางไม่ค่อยจะมี มีบางครั้งก็ความสงบก็มีอยู่ การดิ้นรน การเกิดของเขามีมาตั้งนาน เพราะว่าเขาหลงมาตั้งนาน ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
เราต้องมาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ให้เข้าไปอบรมใจของเราให้ได้เสียก่อน แต่กําลังสติของเรามีน้อย แต่การทำบุญให้ทาน ความเสียสละ การสร้างบารมีส่วนอื่นตรงนั้นมีกันมีกันอยู่ บางครั้งก็มากบางครั้งก็น้อย แต่การเจริญสติเข้าไปควบคุมใจ อบรมใจ สังเกตใจ จนรู้ว่าใจกับอาการของใจคลายออกจากกันได้นี่แหละ เขาถึงจะเรียกว่าคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนาม ในหลักธรรมเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’
ความรู้แจ้งเห็นจริง เปิดทางให้ในอริยมรรคในองค์แปดในข้อแรก ที่ท่านบัญญัติเอาไว้ ที่ท่านชี้แนะเอาไว้ เห็นจริงแล้วก็ตามดู เห็นการเกิดการดับ การดับ เห็นรู้อาการเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร นี่แหละเขาเรียกว่าอะไร รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า แต่ใจยังว่างรับรู้อยู่ แต่เราต้องคลายใจออกจากความคิด ถ้าเราสังเกตทันเขาจะคลายของเขาเอง แต่ส่วนมากก็ไปกอด ก็รวมกันไปก่อน บางทีคิดก็รู้ ทำก็รู้ เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่
ตราบใดที่ยังมี ยังมีการปรุงยังมีการแต่ง ยังมีการเกิดความหลง นั่นแหละ เพียงแค่การเกิดนั่นแหละหลง เราต้องคลายตามดู รู้เห็นดับความเกิด หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน ไม่ใช่ว่าไม่ให้คิด ให้คิดด้วยกําลังสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ รู้จักเอาไปใช้เอาไปทำหน้าที่แทนใจ เอาไปแก้ไขปัญหาทุกอย่าง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง ลิ้นทำหน้าที่ลิ้มรส ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิมหมด แต่ให้ใจรับรู้ เปรี้ยวหวานมัน มันเค็ม อร่อยหรือไม่อร่อยก็ใจรับรู้ ตาเห็นรูปสวยๆ งามๆ ใจก็รับรู้ แต่อย่าให้เกิดความยินดียินร้าย อย่าให้เกิดกิเลส อย่าให้ปรุงแต่งส่งออกไป ถ้าเราต้องการสิ่งต่างๆ ก็เรื่องเป็นเรื่องของปัญญา
การพูดง่าย แต่การสังเกต การวิเคราะห์ การเห็นจริงๆ ถึงจะมองเห็นความเป็นจริงได้ ถึงเรายังแยกแยะไม่ได้ ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ การสร้างคุณงามความดี การสร้างประโยชน์ทั้งระดับภายนอกภายใน สมมติวิมุตติ ก็เป็นการสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้กับตัวเรา อย่าไปทิ้ง ต้องจัดการจัดระบบของความคิดของอารมณ์ ไล่ลงไป กาย วาจา ใจ ลักษณะชื่อมัน อาการ หน้าตาอาการท่านเรียกอย่างนั้นท่านเรียกอย่างนี้ สักแต่ว่าดู สักจะว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างนี้
กายของเราเป็นก้อนรูป ใจของเราเป็นส่วนนาม อะไรคือรูปอะไรคือนาม อยู่ในกายของเราหมด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราหัดวิเคราะห์ เจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน ถ้ารู้ด้วยเห็นด้วยจะมีความสุขในการดูในการรู้ว่าเราพลั้งเผลอให้กิเลสได้อย่างไร กิเลสเกิดภายในหรือว่าเกิดภายนอก เหตุจากข้างนอกหรือว่าเหตุจากข้างใน เราจะแก้ตรงไหนก่อน มันมีวิธีมีเหตุมีผลหมดเลย ถ้าเรารู้จักวิธีการแนวทาง
ถ้าใจของเราเบาบางละกิเลส มันก็จะไปได้เร็วได้ไว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจที่สงบ ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ เราต้อง อันนี้ส่วนสติปัญญา อันนี้ส่วนใจ อันนี้อาการของใจ อะไรควรตามดูให้รู้ชัดเจนแล้วก็ค่อยละ มันก็มีเป็นชั้นเป็นขั้นเป็นตอน ท่านถึงเรียกว่าวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ เห็นความเกิด ความดับละกิเลสได้ เบาบางถึงขั้นโน้นขั้นนี้ แต่มันก็อยู่ในแนวทางอันเดียวกัน จนถึงความบริสุทธิ์ของใจ ต้องอาศัยเวลา อาศัยความเพียร
บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์ฟังนิดเดียว ฟังครั้งเดียวนิดเดียว ไปแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากหวังมากเลย อยู่คนเดียวเราก็แก้ไขใจเรา ภาระหน้าที่การงานอะไรเราขาดตกบกพร่อง เรามีความขยันเพียงพอหรือไม่ เรายังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์หรือไม่ ถึงเวลาแล้วก็กลับคืนสู่สภาวะเดิมคือดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนเดิม ตัววิญญาณไปต่อ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 มีนาคม 2558
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ลมหายใจก็มีมาตั้งแต่เกิด แต่เราขาดการสร้างความรู้ตัวแล้วก็ทำความเข้าใจ ลักษณะของความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความเชื่อมโยงเป็นลักษณะอย่างนี้ ก็เลยขาดการเจริญสติ เอาตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวใจหรือว่าเกิดจากวิญญาณกับอาการของวิญญาณ ซึ่งเขาหลงเกิดมานาน พอหลงเกิดมาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้ามาปิดกันตัวเอง อันนี้ความหลงอยู่ในกายของเราอยู่
ทีนี้ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจก็ยังเกิดต่อ แล้วก็มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจอีก รวมกันในชั้นในอีก ใจของเราก็เกิดความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความยินดียินร้าย ความผลักไสความดึงเข้ามาความเป็นกลางไม่ค่อยจะมี มีบางครั้งก็ความสงบก็มีอยู่ การดิ้นรน การเกิดของเขามีมาตั้งนาน เพราะว่าเขาหลงมาตั้งนาน ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
เราต้องมาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ให้เข้าไปอบรมใจของเราให้ได้เสียก่อน แต่กําลังสติของเรามีน้อย แต่การทำบุญให้ทาน ความเสียสละ การสร้างบารมีส่วนอื่นตรงนั้นมีกันมีกันอยู่ บางครั้งก็มากบางครั้งก็น้อย แต่การเจริญสติเข้าไปควบคุมใจ อบรมใจ สังเกตใจ จนรู้ว่าใจกับอาการของใจคลายออกจากกันได้นี่แหละ เขาถึงจะเรียกว่าคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนาม ในหลักธรรมเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’
ความรู้แจ้งเห็นจริง เปิดทางให้ในอริยมรรคในองค์แปดในข้อแรก ที่ท่านบัญญัติเอาไว้ ที่ท่านชี้แนะเอาไว้ เห็นจริงแล้วก็ตามดู เห็นการเกิดการดับ การดับ เห็นรู้อาการเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร นี่แหละเขาเรียกว่าอะไร รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า แต่ใจยังว่างรับรู้อยู่ แต่เราต้องคลายใจออกจากความคิด ถ้าเราสังเกตทันเขาจะคลายของเขาเอง แต่ส่วนมากก็ไปกอด ก็รวมกันไปก่อน บางทีคิดก็รู้ ทำก็รู้ เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่
ตราบใดที่ยังมี ยังมีการปรุงยังมีการแต่ง ยังมีการเกิดความหลง นั่นแหละ เพียงแค่การเกิดนั่นแหละหลง เราต้องคลายตามดู รู้เห็นดับความเกิด หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน ไม่ใช่ว่าไม่ให้คิด ให้คิดด้วยกําลังสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ รู้จักเอาไปใช้เอาไปทำหน้าที่แทนใจ เอาไปแก้ไขปัญหาทุกอย่าง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง ลิ้นทำหน้าที่ลิ้มรส ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิมหมด แต่ให้ใจรับรู้ เปรี้ยวหวานมัน มันเค็ม อร่อยหรือไม่อร่อยก็ใจรับรู้ ตาเห็นรูปสวยๆ งามๆ ใจก็รับรู้ แต่อย่าให้เกิดความยินดียินร้าย อย่าให้เกิดกิเลส อย่าให้ปรุงแต่งส่งออกไป ถ้าเราต้องการสิ่งต่างๆ ก็เรื่องเป็นเรื่องของปัญญา
การพูดง่าย แต่การสังเกต การวิเคราะห์ การเห็นจริงๆ ถึงจะมองเห็นความเป็นจริงได้ ถึงเรายังแยกแยะไม่ได้ ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ การสร้างคุณงามความดี การสร้างประโยชน์ทั้งระดับภายนอกภายใน สมมติวิมุตติ ก็เป็นการสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้กับตัวเรา อย่าไปทิ้ง ต้องจัดการจัดระบบของความคิดของอารมณ์ ไล่ลงไป กาย วาจา ใจ ลักษณะชื่อมัน อาการ หน้าตาอาการท่านเรียกอย่างนั้นท่านเรียกอย่างนี้ สักแต่ว่าดู สักจะว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างนี้
กายของเราเป็นก้อนรูป ใจของเราเป็นส่วนนาม อะไรคือรูปอะไรคือนาม อยู่ในกายของเราหมด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราหัดวิเคราะห์ เจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน ถ้ารู้ด้วยเห็นด้วยจะมีความสุขในการดูในการรู้ว่าเราพลั้งเผลอให้กิเลสได้อย่างไร กิเลสเกิดภายในหรือว่าเกิดภายนอก เหตุจากข้างนอกหรือว่าเหตุจากข้างใน เราจะแก้ตรงไหนก่อน มันมีวิธีมีเหตุมีผลหมดเลย ถ้าเรารู้จักวิธีการแนวทาง
ถ้าใจของเราเบาบางละกิเลส มันก็จะไปได้เร็วได้ไว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจที่สงบ ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ เราต้อง อันนี้ส่วนสติปัญญา อันนี้ส่วนใจ อันนี้อาการของใจ อะไรควรตามดูให้รู้ชัดเจนแล้วก็ค่อยละ มันก็มีเป็นชั้นเป็นขั้นเป็นตอน ท่านถึงเรียกว่าวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ เห็นความเกิด ความดับละกิเลสได้ เบาบางถึงขั้นโน้นขั้นนี้ แต่มันก็อยู่ในแนวทางอันเดียวกัน จนถึงความบริสุทธิ์ของใจ ต้องอาศัยเวลา อาศัยความเพียร
บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์ฟังนิดเดียว ฟังครั้งเดียวนิดเดียว ไปแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากหวังมากเลย อยู่คนเดียวเราก็แก้ไขใจเรา ภาระหน้าที่การงานอะไรเราขาดตกบกพร่อง เรามีความขยันเพียงพอหรือไม่ เรายังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์หรือไม่ ถึงเวลาแล้วก็กลับคืนสู่สภาวะเดิมคือดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนเดิม ตัววิญญาณไปต่อ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ