หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 52

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 52
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 52
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 52
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 เมษายน 2558

มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศแจ่ม พี่น้องทั้งไกลทั้งใกล้ก็พากันมา คณะชุดดำนี่มาจากกรุงเทพ มาร่วมบุญ มาเที่ยววัด มาเผาศพ เผาศพใครนะ ไม่ต้องไปไอ้นั่นหรอก พวกเราก็จะได้ไปเหมือนกัน ท่านมาก่อนท่านก็เลยได้ไปก่อน เพราะความตายนี่มีกันทุกคน ไม่ไปเร็วก็ไปช้า เพราะว่าคนเราเกิดเท่าไรตายหมด ไม่ว่าตายช้าตายเร็วต้องยอมรับความเป็นจริง ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ถึงเวลาอยากจะไปก็ไม่ได้ไป

ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่เราสํารวจใจของเราได้แล้วหรือยังว่าใจของเราสะอาด ใจของเราบริสุทธิ์ ใจของเราสงบ กายเนื้อแตกดับหรือว่าใจแตกดับ แต่เวลานี้ใจมันแตกมันดับ ทำไมถึงพูดอย่างนี้ ตื่นเช้าขึ้นมาใจเกิดสักกี่เที่ยวก็ไม่รู้ ใจส่งไปภายนอกสักกี่เรื่องก็ไม่รู้ รู้ตั้งแต่ว่าคิดก็รู้ ทำก็รู้อยู่แค่นั้น

การเกิดการดับของวิญญาณในกายหรือว่าใจในกายของเรา การเกิดการดับของขันธ์ห้าในกายในใจของเรา ตรงนี้ยังรู้ไม่ทัน เพราะว่าไม่ได้เจริญสติ สติยังไม่ได้ทำความเข้าใจ ยังแยกแยะไม่ได้ เพราะว่ามีตั้งแต่ปัญญาของโลกของสมมติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาผิดถูกอย่างไรก็อยู่ในระดับของสมมติ ยังแยกยังคลายไม่ได้ ยังดับความเกิดไม่ได้ ละกิเลสไม่เด็ดขาด เอาความถูกต้องระดับสมมติเป็นที่ตั้งไว้ก่อน เราต้องทำความเข้าใจให้ได้หมดทุกอย่างทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รู้กายรู้ใจ จนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้

ดูดีๆ พระเราชีเรา กายเราหิว หรือว่าใจเกิดความอยาก กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง จนกระทั่งถึงเรื่องภาระหน้าที่การงาน ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณ ให้รอบรู้ในโลกธรรม อะไรคือกองสังขาร อะไรคือวิญญาณ อะไรคือโลกธรรม เราต้องเจริญสติรู้จักลักษณะของสติ ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ ก็ปฏิบัติด้วยความหลง ใจบงการพากายปฏิบัติ สงบก็รู้ว่าสงบ ปกติก็รู้ว่าปกติ แต่การเกิดของใจยังไม่เห็น เห็นเมื่อเขาไปแล้ว เขาไปสักกี่เรื่องแล้วก็ไม่รู้ ภายใน 5 นาที ใจมันเร็วมันไว แล้วก็ปุ๊บปั๊บ ปุ๊บปั๊บ บางทีก็เป็นเรื่องเป็นราว บางทีนั่งอยู่ไม่รู้มันไปถึงไหนแล้ว

สมัยก่อนก็เหมือนกัน หลวงพ่อฝึกใหม่ๆ ขณะปากสวดมนต์อยู่ ใจมันยังวิ่งไปนู่นไปนี่ มันคนละส่วน ถ้าเรามาฝึกมาหัด มาขัดมาเกลา ลองอดพูด อดคิด ลองดูสิ มันก็คันหยุกหยิกๆ อยู่ข้างในนั่นแหละ มันอยากจะพูด มันอยากจะว่า ยิ่งผู้บริหารแล้วยิ่งเห็นใหญ่ คนโน้นก็เอาอันโน้นมาโต้มาแย้ง คนนี้ก็เอานั้นมาแก้มาไข ประธานเลยไม่เป็นประธาน มันเลยพุ่งปู๊ดเลย ประธานแทนที่จะนิ่ง แทนที่เป็นกลาง ประธานกระโดดไปเป็นผู้บริหาร ลุย ประธานก็ต้องนิ่ง รับรู้รับทราบ ผิดถูกชั่วดีอย่างไร ทำใจให้เป็นประธาน แต่ใจมันไม่ยอม มันเกิด อัตตามันใหญ่ กูถูกอย่างเดียวว่าอย่างงั้น ชั่วโมงหนึ่งสั่งลูกน้องไม่รู้กี่ร้อยเที่ยว ลูกน้องเล็กๆ น้อยๆ เลยทำตามไม่ทันสักที แม่นบ่ ผู้บริหาร พูดไปมันก็แหย่กิเลสผู้บริหาร มันก็เป็นอย่างนั้น เอาไม่อยู่สักที ทีหลังก็นิ่งหน่อยนะ นิ่งเสียก่อนนะ ลูกน้องทำตามไม่ทัน ภายใน 5 นาทีนี่ เป็น10, 20 เรื่องนะ ลูกน้องวิ่งจนหัวหมุนหมดนะ ค่อยเป็นค่อยไปเอา แต่ก่อนยังไม่มีอะไร สมมติก็ยังทำสมมติให้มันเต็มบริบูรณ์

ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด ใจของเราอิ่มหรือเปล่า นิ่งหรือเปล่า พูดออกไปแล้วทำให้คนอื่นเขาลําบากใจหรือเปล่า เราลําบากใจหรือเปล่า เวลานี้ควรพูดหรือไม่ควรพูด เราก็ต้องดู แล้วก็เกิดประโยชน์หรือไม่ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ในระดับของสมมติ ประโยชน์ในระดับของวิมุตติ เรามาอาศัยสมมติอยู่ อาศัยโลกอยู่

กายของเรานี่แหละก้อนโลก วิญญาณสร้างขึ้นมา ทุกคนนี้ถ้าไม่เข้าใจในหลักของวิญญาณ ก็มีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในเอกลาภ สารพัดอย่าง ทำงานก็อยากจะมีชื่อมีเสียง ในแต่ละเดือนแต่ละปีนี่ มีแต่ความอยาก อยากอะไร อยากได้สองขั้น อยากให้เพิ่มเงินเดือน ผู้บริหารผู้จัดการได้ฟังแล้วก็ไปเพิ่มให้เงินเดือนให้บริวารเขาเด้อ ความอยากจะได้เต็มได้อิ่ม จะได้หายอยาก มันอยากก็สนองให้มัน อยากในอาหาร การอยู่การกิน อยากได้เอกลาภ อยากได้สองขั้น อยากได้เงินเดือน คนไหนอยู่ใกล้คนนั้นได้ก่อน คนไหนอยู่ไกล คนทำงานหนักๆ เลยไม่ดูสักที คนดูแลห้องส้วมห้องน้ำทำความสะอาดโรงเรียน ควรขึ้นเงินเดือนให้จะได้ไม่ได้ลําบาก ส่วนมากจะมองข้าม มองคนเกาแข้งเกาขาได้ดี คนนั้นก็ได้ดี พวกผักชีโรยหน้า แทนที่จะปลูกตั้งแต่ต้นเหตุ ทำตั้งแต่ต้นเหตุ

ในหลักธรรมนั้นท่านให้เอาของเก่า อะไรไม่ดีก็แก้ไขให้มันดี มาเสริมให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ ในหลักของทางโลก อะไรไม่ดีกลบเอาไว้เกลี่ยเอาไว้ เอาใหม่มาทับถมมันก็เลยเน่าเหม็นเน่าเฟะอยู่อย่างนั้น คอยตั้งแต่จะเอารัดเอาเปรียบกันแทงกัน มันจะไปรู้ธรรมได้อย่างไร ไปเห็นธรรมได้อย่างไร มีแต่กิเลสเข้าปิดกั้นเอาไว้ ความเสียสละก็ไม่ค่อยมี มีตั้งแต่ความอยากความโลภเข้าไปปิดกั้น ชิงดีชิงเด่นกัน แทนที่จะชนะขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นการบริหารด้วยปัญญา เอาด้วยปัญญา มันก็มีความสุข มีน้อยคนก็มีความสุข มีหลายคนก็มีความสุข

ตื่นขึ้นมาดูใจได้ทันแล้วหรือยัง กลับไปนี้ไปบริหารใหม่ ไปทำใหม่ ใครบอกไม่ฟังติดบัญชีดำเอาไว้ บอกไม่ฟัง 3 ทีนี่ตัดออกไปเลยนะ เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง เตือนแล้วบอกแล้วอนุเคราะห์แล้ว ต้องเด็ดขาด ไม่ใช่โอนอ่อนตามกิเลส กิเลสของเรา เราต้องชนะเราก่อน

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’

ทำอย่างไรเราถึงจะรู้กายให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เราก็ต้องพยายาสร้างขึ้นมา เวลาลมหายใจเข้ามีความรู้สึกเป็นอย่างนี้ ลมหายใจออกมีความรู้สึกเป็นอย่างนี้ การเชื่อมโยงการต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง พวกเราก็ทำกันไม่ค่อยจะได้เท่าไรก็เลยจะไปรู้เท่าทันใจได้อย่างไร ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม

การเกิดของใจ ใจเกิดสักกี่ครั้ง ใจเกิดสักกี่เที่ยว เป็นกุศล หรือว่าอกุศล เพียงแค่การเกิดของใจเราก็รู้ไม่ทัน การเกิดของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจเราก็รู้ไม่ทัน เขาไปรวมกันแล้ว เราก็รู้เมื่อเขาไปแล้ว หรือบางทีเขาไปจนจบเราถึงรู้เรื่อง เพราะว่าขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ ขาดการทำความเข้าใจ

แต่การทำบุญให้ทานมีอยู่ การสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีก็มีอยู่ การฝึกหัดปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติทั้งก้อน ทั้งกายทั้งหมด ทั้งใจทั้งกายนี่แหละ แต่การเจริญสติเข้าไปแยก เข้าไปทำความเข้าใจว่าลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจตรงนี้ไม่มี

เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมบ่อยๆ ทำบ่อยๆ นิ่งเสียก่อน นิ่ง ใจนิ่ง ใจสงบ ใจไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอย่างนี้ ว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิต วิธีการแนวทางนั้นมีมานาน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราหรือไม่ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง

ทุกคนเกิดมาก็มีบุญมีอานิสงส์มีบารมีอยู่แล้ว ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การมาทำความเข้าใจ การมาศึกษารายละเอียดต่างๆ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ดำเนินก่อนดำเนินหลัง เพียงแค่การเจริญสติลักษณะของความรู้ตัว พวกเราก็ยังไม่ชัดเจน ก็ต้องพยายามนะ พยายามกัน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ว่าเราจะไปอย่างไร มาอย่างไร เราจะบริหารอย่างไร จิตวิญญาณใจของเราถึงจะมีความสุข กายของเราถึงจะมีความสุข

เราจะอยู่ได้อีกนานสักเท่าไร ถึงเวลาไปเราก็ไป เพราะว่าทุกคนเกิดมาอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นบุญ เราก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องขยันหมั่นเพียรกัน อย่าไปปล่อยปละละเลยทุกเรื่องในชีวิตของเรา อะไรที่จะเป็นบุญเป็นอานิสงส์เราก็รีบทำเสียขณะที่ยังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจ หมดโอกาส การชําระสะสางกิเลสก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา

การดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็เอามาเปิดเผย การเจริญสติเป็นอย่างนี้ สัมมาทิฏฐิเป็นอย่างนี้ คําว่า สัมมาทิฏฐิ ของพระพุทธองค์นั้นเป็นลักษณะอย่างไร ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นอะไร นี่แหละเห็นใจของเรานั่นแหละ เอาอะไรไปเห็น เอาเจริญสติปัญญาเข้าไปอบรมใจ ไปแยกไปคลาย ไปทำความเข้าใจ ให้ใจของเรายอมรับความเป็นจริง ขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา อยู่ด้วยปัญญา ทำด้วยปัญญา บริหารด้วยปัญญา จะมีมากมีน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญาเข้าไปบริหาร เข้าไปรับผิดชอบ

ใจของเราก็ต้องสะอาดบริสุทธิ์ รับรู้ อะไรผิดอะไรถูก เราต้องพยายามดำเนินให้ถึงตรงนี้เสียก่อน กายแตกดับแล้วเราก็จะไปไหน มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ตราบใดที่ใจยังเกิด เขาก็ต้องเกิด แต่เราต้องให้รู้ความเกิดในกายของเราให้ได้เสียก่อน ความคิดของเรานั่นแหละ เขาเกิดตรงไหน เรื่องอะไรที่เขาเกิด เราจะดับได้อย่างไร แยกได้อย่างไร เราก็ต้องวิเคราะห์ให้รู้เท่าทัน กิเลสของเรา เราก็ต้องละเอา

หมั่นพร่ำสอนตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราต้องสอนตัวเราถึงจะถูกต้อง แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา มีความรับผิดชอบ ชนะตัวเราเอง แล้วมันจะชนะไปหมด ไม่ใช่ว่าไปชนะระรานตั้งแต่คนโน้นคนนี้อย่างนั้นใช้การไม่ได้ มีแต่คนพาล ถ้าชนะตัวเรา แก้ไขตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข มีความรับผิดชอบร่วมกัน ไปที่ไหนมาที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความเจริญ

สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันนะ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง