หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 28
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 28
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 28
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 มีนาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศครึ้มๆ โปรยลงมานิดหน่อย หรืออาจจะหนัก อากาศครึ้มๆ จะเข้าฤดูฝน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน อากาศเปลี่ยนแปลงเยอะ บางทีก็ร้อนจัด ไฟไหม้ป่ากัน บางทีก็ตกน้ำท่วม หิมะลง เหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่ละสถานที่ เพราะว่าคนเราไม่รักธรรมชาติเท่าไร พากันทำลายป่าไม้ หมั่นจุด พากันเผา ได้ยินข่าวทุกวันๆ ในประเทศของเรานี่ก็หนัก เมฆหมอกควันไฟ แต่ละจังหวัดบอกว่าเยอะ อันตราย
ก็พากันรู้จักรักษาปลูกต้นไม้ ก็จะให้ความร่มรื่นร่มเย็น โยมเข้ามาถวายเลย ถ้ามีธรรมชาติฝนฟ้าก็ตกตามฤดูกาล ถ้าขาดธรรมชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ พอคนเราไม่เข้าใจในหลักของการดำเนินชีวิตก็เลยลําบากอยู่ เข้าใจคนละอย่าง ไปมุ่งทางวัตถุกันเยอะ อันนี้ก็เหตุการณ์สมมติบังคับ ต้องดิ้นรน ถ้าสมมติไม่บริบูรณ์ก็ลําบาก ก็ดิ้นรนทางสมมติ ก็เลยหนัก
พวกเรามาช่วยกันทำ ช่วยกันดูแล สร้างความสะอาดความเป็นระเบียบ จัดระบบระเบียบทางกาย ก็ทั้งกายทั้งวาจาแล้วก็ทั้งใจ จัดให้เป็นระเบียบ วาจาของเราก็ไม่ให้กระทบกระทั่งคนโน้นคนนี้ กายของเราก็ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนโน้นคนนี้ ลึกลงไปใจก็ไม่ให้หลงความคิด หลงอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส ไล่เลียงลงไปเรื่อยๆ
คนทั่วไปกายก็ไม่ค่อยจะรักษา วาจาก็ยิ่งไม่ค่อยรักษา พูดอะไรก็พูดออกไปโดยที่ไม่คิดไม่พิจารณาตัวเองก็เสียหายคนอื่นก็เสียหาย ยิ่งใจแล้วยิ่งห่างไกล ถ้าเรารู้จักดูแลรักษา แก้ไข ปรับปรุง วิธีการแนวทาง การขัดเกลาการละกิเลส แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานาน จากการควบคุมการดูแล การบริหารทั้งสมมติทั้งวิมุตติ
ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร กองสังขารของพระพุทธองค์เป็นลักษณะอย่างไร กองสังขารคือความคิด คืออารมณ์ หรือว่ากายขันธ์ห้าของเรานี่ ขันธ์ห้าเรียกว่าห้ากอง ทำไมท่านถึงเรียกว่าห้ากอง มีวิญญาณเป็นกองสุดท้าย มาบริหาร มาหลง แล้วก็มายึดมาติด
เราก็ต้องมาสร้างผู้รู้คือสติ ใจวิญญาณนั้นเป็นธาตุรู้ ทั้งรู้ทั้งเกิดทั้งหลง เวลานี้ ต้อนลงไปเรื่อยๆๆๆๆ ไล่เรียงลงไปจนถึงตัว รู้ไม่ทันต้นเหตุก็หยุดก็ดับควบคุม อึดอัด ใหม่ๆ ก็อึดอัดสารพัดอย่าง เพราะกิเลสเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน
กิเลสมันเป็นหน้าตาอย่างไร อยากจะรู้ไหมล่ะ นั่งอยู่นี่แหละ นั่งตัวตะโมตะเมนี่แหละก้อนกิเลสเดี๋ยวมันก็อยากอันโน้น เดี๋ยวก็อยากอันนี้ ตัววิญญาณตัวนามธรรม มีน้อยๆ ก็ไม่พอ มันอยากได้เยอะๆ อยากเอาเยอะๆ แต่ว่าไม่ให้เอาแต่ให้เอานะ ไม่ให้เอาแต่ให้เอา
ในหลักธรรมของพระพุทธองค์คือ ท่านให้ละความอยากที่ใจที่วิญญาณ ให้คลายความหลง เปลี่ยนจากความอยากเป็นความต้องการสติปัญญา บริหารสมมติ จะเอามากเอาน้อยก็เป็นเรื่องของความขยันหมั่นเพียร อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ อะไรที่เป็นประโยชน์ ตรงนี้แหละคือเราต้องกลับให้ได้เสียก่อน พลิกให้ได้เสียก่อน ส่วนมากมันพลิกไม่ได้มันก็ถูกก็ถูกทั้งก้อน หลงก็หลงทั้งก้อน ถึงแยกแยะไม่ได้ นั่นไม่ได้มันก็หลงอยู่ แต่หลงอยู่ในคุณงามความดี
ในหลักธรรมแล้วความอยากแม้แต่นิดเดียวนะท่านยังไม่ให้เกิดเลย อยากมีอยากเป็น กับไม่อยากอีก ท่านก็ยังให้หยุด คือไม่ให้ใจเกิดเสียเลย แต่ เวลานี้ใจยังเกิด ในความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันลุ่มลึก หลงเกิด เกิดแล้วก็มาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้ ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปคลายกายเนื้อ กับขันธ์ห้าของเราให้ได้เสียก่อน หรือว่าแยกรูปแยกนาม แล้วก็ค่อยขัดเกลา ละกิเลสออกไป ทีละชิ้นๆๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด จนกระทั่งการเกิด การเกิดไม่มี แต่เขาเกิดมาแล้วๆ คือสร้างกายเนื้อมาแล้ว เราต้องมาทำความเข้าใจตรงนี้ แล้วก็ดับความเกิดที่ตัววิญญาณอีกทีหนึ่ง รอให้กายเนื้อแตกดับ ก่อนที่จะถึงเวลากายเนื้อแตกดับ อันนี้นี่แหละจะบริหารอย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุข
คนเราทั่วไปไม่เข้าใจ มีแต่ความอยาก อยากจะได้ธรรม อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้บุญ มันก็เลยปิดกั้นเอาไว้ ไม่ใช่แค่ภพนี้ภพเดียว หลายภพหลายชาติที่ผ่านมา ก็ค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ ตัววิญญาณนี้จะค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ ถ้าเราได้เจริญสติเข้าไปอบรมอยู่บ่อยๆ ชี้เหตุชี้ผล เขาก็ยอมรับความเป็นจริง ว่าอะไรควรเจริญ อะไรควรละ เขาสอนได้อยู่
สติปัญญาก็ค่อยพัฒนาขึ้นไปๆ ขอให้เรารู้ลักษณะของสติ คําว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างไร ความเชื่อมโยงเป็นอย่างไร ใจก่อตัว เราดับตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เหตุจากภายนอก หรือเกิดจากภายใน มีความสุขสนุกในการดูในการรู้ ถ้าเราเข้าใจ จนไม่มีอะไรเหลือเลยแหละ จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ความไม่เกิด
เขาหลงมาแล้วนะ เขาถึงเกิด หลงเกิด แล้วมาสร้างกายเนื้อ แล้วก็มาสร้างอันโน้นอันนี้เข้าไปปิดกั้นอีก นั่นก็ของกู ตัวกูของกู ของเราอยู่ในระดับของสมมติ แต่ถ้าเขาแตกดับ แล้วสภาพกลับคืนสู่สภาพเดิมก็หมด ระดับปัญญาล้วนๆ เข้าไปใช้ เข้าไปบริหาร เข้าไปทำหน้าที่แทน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจมันหนีไปเที่ยวสักกี่เรื่องก็ไม่รู้ จนกระทั่งมาถึงเวลานี้เวลาจะรับประทานข้าวปลาอาหาร กายมันอยาก กายมันหิว หรือใจมันอยาก เราดูให้ละเอียด กะประมาณในการขบฉัน
อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติให้ดีแต่เราต้องแจงต้องแยกให้ได้เสียก่อน น้อยคนที่จะแยกได้ น้อยคนที่จทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง มันเกิดๆ ดับๆ แต่ก็ขอให้อยู่ในคุณงามความดี ให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ อย่าไปทิ้งบุญ
การทำบุญให้ทาน อันนี้เป็นเสบียงเดินทาง ตราบใดที่ใจยังดับความเกิดไม่ได้ ถ้าเรารู้จักควบคุมดูแล สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิด ความเกียจคร้านมีก็ละความเกียจคร้าน ความขยันของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญู ความเสียสละ มีสัจจะกับตัวเอง สัจจะนี่สําคัญมากทีเดียว จนกระทั่งถึงฝั่ง สัจจะ ฝั่งแล้วเราก็สบาย แต่เราก็ยังรักษาสัจจะ แต่ไม่ยึด ไม่หลงไม่ยึด ถ้าเรายึดก็จะกลายเป็นทิฏฐิ ความเห็น
เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด เหมือนกับต้นไม้ มีทั้งเปลือก มีทั้งแก่น มีทั้งกระพี้ เราจะเลือกเอาเฉพาะแก่น ไม่เอาเปลือกกับกระพี้ ต้นไม้มันก็ตาย ถ้าเราจะใช้ประโยชน์ เราก็ต้องเอาให้ถูกต้อง ดูแลให้ถูกต้องหมด เขาก็อิงอาศัยกันอยู่เหมือนกับการปฏิบัติใจ ใจก็อาศัยกาย กายก็อาศัยสมมติ อาศัยโลกธรรม แสดงละครว่าเป็นโน้นเป็นนี้ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพระเป็นชี ในระดับของสมมติ สักหน่อยก็ตายจากกันหมดนะ ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว
ใจของคนเราถ้ามีการพัฒนาให้ถูกต้องก็จะเข้าไปถึงฝั่ง ได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน อันนั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ ถ้าเราเข้าถึงใจเรา เราขัดเกลาละกิเลสได้ ดับความเกิดได้หรือไม่ หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนได้หรือเปล่า ตรงนี้สำคัญ มาแล้วก็น้อมเข้าไปดูรู้ใจของเรา สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้หรอก
ถ้าจะเอา พูดนิดเดียวหรือแสวงหา การขัดเกลากิเลสเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ ถึงเวลาก็ถึงฝั่ง ถ้าคนเราไม่เอา พูดจนปากเปียกปากแฉะ เอาเชือกดึงเข้ามามันก็ไม่เอานะถ้าจะไม่เอา ถึงห้ามกันไม่ได้ เพราะว่าคนเรามาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เราต้องเข้าใจในกรรมภายใน กรรมของความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม แล้วก็การกระทำอยู่ปัจจุบัน ไม่หลงไม่ยึด
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ความนึกคิดปรุงแต่งที่มีอยู่เก่าให้หยุดเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งเอาเก็บมาคิด ภาระหน้าที่ทางสมมติเราก็วางมาแล้ว วางไว้ตรงนั้นก่อนนะ โยมที่มาทีหลัง แล้วค่อยมาถวาย เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ขาดความเพียรตรงนี้มากทีเดียว
ทั้งที่ใจนั้นก็มีศรัทธาอยู่ ปัญญาที่เกิดจากใจ หรือเกิดจากวิญญาณเกิดจากขันธ์ห้า อันนี้เขามีมานาน เขาหลงมานาน ทำอย่างไรได้เราถึงจะคลายความหลงตรงนี้ได้ เราถึงมาสร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติตัวใหม่ เขาเรียกว่าทำให้ต่อเนื่องรู้กายทุกลมหายใจเข้าออก ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ จนเอาไปใช้ รู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ลึกลงไปอีก ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า คลายออกจากความคิดเป็นอย่างไรซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ถ้าแยกได้ตรงนี้แหละ เขาถึงจะเรียกว่า คลายความหลง
คลายความหลงยังไม่พอ เพียงแค่เริ่มต้น ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ตามดูให้เห็นการเกิดการดับ ให้ใจว่างรับรู้อยู่ นี่เขาเรียกว่า ปัญญาวิปัสสนา ทีนี้เราจะละกิเลสได้อีกหรือไม่ มาแก้ไข มาอบรม มาบ่มนิสัยอบรมใจของตัวเรา อันนี้ถูกอันนี้ผิด อันนี้ควรละ อันนี้ควรเจริญ ใจแข็งกระด้าง หรือว่าใจมีความอ่อนโยน เราต้องพยายามมาแก้ไข มาปรับปรุงจนสติปัญญา เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลให้ใจยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะยอมยกธงขาว ยกธงขาวยังไม่พอเราต้องเอาให้อยู่จนไม่เกิด จนหนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน การสร้างกําลังใจเป็นอย่างไร การบริหารใจเป็นอย่างไร บริหารสมมติเป็นอย่างไร บริหารโลกเป็นอย่างไร อะไรคือโลก อะไรคือธรรม
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร สอนเรื่องหลักของความจริงของชีวิต หลักของอริยสัจ คําว่าอริยสัจ ความจริงของชีวิตเป็นอย่างไร มีกันทุกคน แต่เราจะเข้าถึงทำความเข้าใจ จัดการบริหารได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนโน้นคนนี้
พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแนวทาง วิธีการแนวทาง อย่าเพิ่งเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าเข้ามาโต้แย้ง ให้ปฏิบัติตามให้รู้ให้เห็น ท่านถึงบอกให้เชื่อ ถ้าเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าของโลกีย์มาโต้แย้ง ยิ่งปิดกั้นตัวเอาไว้ ยิ่งปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ตัววิญญาณเอาไว้ กิเลสเก่า ของเก่า เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือนั้นค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวใหม่ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็เอื้ออํานวยกันอยู่ โลกธรรมก็อาศัยกันอยู่ ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม มันก็ไม่เข้าใจในธรรม เจริญสติไม่รู้จักลักษณะของสติ มันก็เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ ก็ต้องพยายามให้รู้ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิตเป็นอย่างนี้ความรู้ตัวตรงนี้ไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน สร้างขึ้นมาแล้วก็ลึกลงไปจะค่อยไล่เลียงลงไปเรื่อยๆๆๆๆ ก็จะมองเห็นหนทางเดิน ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ
ทุกคนนี่มีกิเลสแหละถึงได้เกิดมาก่อน จนได้เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ กายของมนุษย์นี่แหละเขาเรียกว่า ภพของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ห้าขันธ์ ที่พระพุทธองค์ว่า ขันธ์ห้า เป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมเป็นกองเป็นขันธ์ แล้วมาหลงมายึด เพียงแค่ยึดในกายนี่ก็ไปยึดเอาภายนอกหมด ถ้าคลายในกายได้ตัวเดียว ก็คลายข้างนอกได้หมด ทีนี้เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ ก็ต้องพยายาม หมั่นสร้างตบะ สร้างบารมีกันนะ สร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างบารมีกัน
หลวงพ่อก็พาทำเป็นสะพาน เป็นทางผ่าน จะให้เอาอะไร ไม่เอาอะไรสักอย่าง ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ แต่คนเราไม่เข้าใจ มีตั้งแต่จะวิ่งห่างไกลใจตัวเองอย่างเดียว ดิ้นรนนั่นห่างไกลใจตัวเอง ก็ยิ่งดิ้นเท่าไรก็ยิ่งผูกยิ่งมัด ให้เราทำความเข้าใจ ให้รู้ ให้เห็น ทำความเข้าใจแล้วคลาย แล้วก็ค่อยละ การดับ การละ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทนในสิ่งที่ใจมันปรารถนาใจมันต้องการให้เป็นความต้องการของสติปัญญา
พูดง่าย แต่การลงมือต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร เป็นบุคคลที่มีความขยันเป็นเลิศ ขยันวิเคราะห์ ขยันสังเกต ชี้เหตุชี้ผล ให้ถึงที่สิ้นสุด อะไรคือรูป อะไรคือนาม คําว่านามธรรมเป็นลักษณะอย่างไร เขามีอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่มี ตอนนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ปีหน้ามี ภพหน้ามี ภพปัจจุบันมี ถ้าเรารู้เราเห็นแล้วก็ยิ่งจะเพิ่มความเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 มีนาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศครึ้มๆ โปรยลงมานิดหน่อย หรืออาจจะหนัก อากาศครึ้มๆ จะเข้าฤดูฝน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน อากาศเปลี่ยนแปลงเยอะ บางทีก็ร้อนจัด ไฟไหม้ป่ากัน บางทีก็ตกน้ำท่วม หิมะลง เหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่ละสถานที่ เพราะว่าคนเราไม่รักธรรมชาติเท่าไร พากันทำลายป่าไม้ หมั่นจุด พากันเผา ได้ยินข่าวทุกวันๆ ในประเทศของเรานี่ก็หนัก เมฆหมอกควันไฟ แต่ละจังหวัดบอกว่าเยอะ อันตราย
ก็พากันรู้จักรักษาปลูกต้นไม้ ก็จะให้ความร่มรื่นร่มเย็น โยมเข้ามาถวายเลย ถ้ามีธรรมชาติฝนฟ้าก็ตกตามฤดูกาล ถ้าขาดธรรมชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ พอคนเราไม่เข้าใจในหลักของการดำเนินชีวิตก็เลยลําบากอยู่ เข้าใจคนละอย่าง ไปมุ่งทางวัตถุกันเยอะ อันนี้ก็เหตุการณ์สมมติบังคับ ต้องดิ้นรน ถ้าสมมติไม่บริบูรณ์ก็ลําบาก ก็ดิ้นรนทางสมมติ ก็เลยหนัก
พวกเรามาช่วยกันทำ ช่วยกันดูแล สร้างความสะอาดความเป็นระเบียบ จัดระบบระเบียบทางกาย ก็ทั้งกายทั้งวาจาแล้วก็ทั้งใจ จัดให้เป็นระเบียบ วาจาของเราก็ไม่ให้กระทบกระทั่งคนโน้นคนนี้ กายของเราก็ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนโน้นคนนี้ ลึกลงไปใจก็ไม่ให้หลงความคิด หลงอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส ไล่เลียงลงไปเรื่อยๆ
คนทั่วไปกายก็ไม่ค่อยจะรักษา วาจาก็ยิ่งไม่ค่อยรักษา พูดอะไรก็พูดออกไปโดยที่ไม่คิดไม่พิจารณาตัวเองก็เสียหายคนอื่นก็เสียหาย ยิ่งใจแล้วยิ่งห่างไกล ถ้าเรารู้จักดูแลรักษา แก้ไข ปรับปรุง วิธีการแนวทาง การขัดเกลาการละกิเลส แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานาน จากการควบคุมการดูแล การบริหารทั้งสมมติทั้งวิมุตติ
ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร กองสังขารของพระพุทธองค์เป็นลักษณะอย่างไร กองสังขารคือความคิด คืออารมณ์ หรือว่ากายขันธ์ห้าของเรานี่ ขันธ์ห้าเรียกว่าห้ากอง ทำไมท่านถึงเรียกว่าห้ากอง มีวิญญาณเป็นกองสุดท้าย มาบริหาร มาหลง แล้วก็มายึดมาติด
เราก็ต้องมาสร้างผู้รู้คือสติ ใจวิญญาณนั้นเป็นธาตุรู้ ทั้งรู้ทั้งเกิดทั้งหลง เวลานี้ ต้อนลงไปเรื่อยๆๆๆๆ ไล่เรียงลงไปจนถึงตัว รู้ไม่ทันต้นเหตุก็หยุดก็ดับควบคุม อึดอัด ใหม่ๆ ก็อึดอัดสารพัดอย่าง เพราะกิเลสเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน
กิเลสมันเป็นหน้าตาอย่างไร อยากจะรู้ไหมล่ะ นั่งอยู่นี่แหละ นั่งตัวตะโมตะเมนี่แหละก้อนกิเลสเดี๋ยวมันก็อยากอันโน้น เดี๋ยวก็อยากอันนี้ ตัววิญญาณตัวนามธรรม มีน้อยๆ ก็ไม่พอ มันอยากได้เยอะๆ อยากเอาเยอะๆ แต่ว่าไม่ให้เอาแต่ให้เอานะ ไม่ให้เอาแต่ให้เอา
ในหลักธรรมของพระพุทธองค์คือ ท่านให้ละความอยากที่ใจที่วิญญาณ ให้คลายความหลง เปลี่ยนจากความอยากเป็นความต้องการสติปัญญา บริหารสมมติ จะเอามากเอาน้อยก็เป็นเรื่องของความขยันหมั่นเพียร อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ อะไรที่เป็นประโยชน์ ตรงนี้แหละคือเราต้องกลับให้ได้เสียก่อน พลิกให้ได้เสียก่อน ส่วนมากมันพลิกไม่ได้มันก็ถูกก็ถูกทั้งก้อน หลงก็หลงทั้งก้อน ถึงแยกแยะไม่ได้ นั่นไม่ได้มันก็หลงอยู่ แต่หลงอยู่ในคุณงามความดี
ในหลักธรรมแล้วความอยากแม้แต่นิดเดียวนะท่านยังไม่ให้เกิดเลย อยากมีอยากเป็น กับไม่อยากอีก ท่านก็ยังให้หยุด คือไม่ให้ใจเกิดเสียเลย แต่ เวลานี้ใจยังเกิด ในความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันลุ่มลึก หลงเกิด เกิดแล้วก็มาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้ ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปคลายกายเนื้อ กับขันธ์ห้าของเราให้ได้เสียก่อน หรือว่าแยกรูปแยกนาม แล้วก็ค่อยขัดเกลา ละกิเลสออกไป ทีละชิ้นๆๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด จนกระทั่งการเกิด การเกิดไม่มี แต่เขาเกิดมาแล้วๆ คือสร้างกายเนื้อมาแล้ว เราต้องมาทำความเข้าใจตรงนี้ แล้วก็ดับความเกิดที่ตัววิญญาณอีกทีหนึ่ง รอให้กายเนื้อแตกดับ ก่อนที่จะถึงเวลากายเนื้อแตกดับ อันนี้นี่แหละจะบริหารอย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุข
คนเราทั่วไปไม่เข้าใจ มีแต่ความอยาก อยากจะได้ธรรม อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้บุญ มันก็เลยปิดกั้นเอาไว้ ไม่ใช่แค่ภพนี้ภพเดียว หลายภพหลายชาติที่ผ่านมา ก็ค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ ตัววิญญาณนี้จะค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ ถ้าเราได้เจริญสติเข้าไปอบรมอยู่บ่อยๆ ชี้เหตุชี้ผล เขาก็ยอมรับความเป็นจริง ว่าอะไรควรเจริญ อะไรควรละ เขาสอนได้อยู่
สติปัญญาก็ค่อยพัฒนาขึ้นไปๆ ขอให้เรารู้ลักษณะของสติ คําว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างไร ความเชื่อมโยงเป็นอย่างไร ใจก่อตัว เราดับตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เหตุจากภายนอก หรือเกิดจากภายใน มีความสุขสนุกในการดูในการรู้ ถ้าเราเข้าใจ จนไม่มีอะไรเหลือเลยแหละ จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ความไม่เกิด
เขาหลงมาแล้วนะ เขาถึงเกิด หลงเกิด แล้วมาสร้างกายเนื้อ แล้วก็มาสร้างอันโน้นอันนี้เข้าไปปิดกั้นอีก นั่นก็ของกู ตัวกูของกู ของเราอยู่ในระดับของสมมติ แต่ถ้าเขาแตกดับ แล้วสภาพกลับคืนสู่สภาพเดิมก็หมด ระดับปัญญาล้วนๆ เข้าไปใช้ เข้าไปบริหาร เข้าไปทำหน้าที่แทน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจมันหนีไปเที่ยวสักกี่เรื่องก็ไม่รู้ จนกระทั่งมาถึงเวลานี้เวลาจะรับประทานข้าวปลาอาหาร กายมันอยาก กายมันหิว หรือใจมันอยาก เราดูให้ละเอียด กะประมาณในการขบฉัน
อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติให้ดีแต่เราต้องแจงต้องแยกให้ได้เสียก่อน น้อยคนที่จะแยกได้ น้อยคนที่จทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง มันเกิดๆ ดับๆ แต่ก็ขอให้อยู่ในคุณงามความดี ให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ อย่าไปทิ้งบุญ
การทำบุญให้ทาน อันนี้เป็นเสบียงเดินทาง ตราบใดที่ใจยังดับความเกิดไม่ได้ ถ้าเรารู้จักควบคุมดูแล สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิด ความเกียจคร้านมีก็ละความเกียจคร้าน ความขยันของเรามีเพียงพอหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญู ความเสียสละ มีสัจจะกับตัวเอง สัจจะนี่สําคัญมากทีเดียว จนกระทั่งถึงฝั่ง สัจจะ ฝั่งแล้วเราก็สบาย แต่เราก็ยังรักษาสัจจะ แต่ไม่ยึด ไม่หลงไม่ยึด ถ้าเรายึดก็จะกลายเป็นทิฏฐิ ความเห็น
เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด เหมือนกับต้นไม้ มีทั้งเปลือก มีทั้งแก่น มีทั้งกระพี้ เราจะเลือกเอาเฉพาะแก่น ไม่เอาเปลือกกับกระพี้ ต้นไม้มันก็ตาย ถ้าเราจะใช้ประโยชน์ เราก็ต้องเอาให้ถูกต้อง ดูแลให้ถูกต้องหมด เขาก็อิงอาศัยกันอยู่เหมือนกับการปฏิบัติใจ ใจก็อาศัยกาย กายก็อาศัยสมมติ อาศัยโลกธรรม แสดงละครว่าเป็นโน้นเป็นนี้ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพระเป็นชี ในระดับของสมมติ สักหน่อยก็ตายจากกันหมดนะ ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว
ใจของคนเราถ้ามีการพัฒนาให้ถูกต้องก็จะเข้าไปถึงฝั่ง ได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน อันนั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ ถ้าเราเข้าถึงใจเรา เราขัดเกลาละกิเลสได้ ดับความเกิดได้หรือไม่ หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนได้หรือเปล่า ตรงนี้สำคัญ มาแล้วก็น้อมเข้าไปดูรู้ใจของเรา สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้หรอก
ถ้าจะเอา พูดนิดเดียวหรือแสวงหา การขัดเกลากิเลสเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ ถึงเวลาก็ถึงฝั่ง ถ้าคนเราไม่เอา พูดจนปากเปียกปากแฉะ เอาเชือกดึงเข้ามามันก็ไม่เอานะถ้าจะไม่เอา ถึงห้ามกันไม่ได้ เพราะว่าคนเรามาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เราต้องเข้าใจในกรรมภายใน กรรมของความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม แล้วก็การกระทำอยู่ปัจจุบัน ไม่หลงไม่ยึด
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ความนึกคิดปรุงแต่งที่มีอยู่เก่าให้หยุดเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งเอาเก็บมาคิด ภาระหน้าที่ทางสมมติเราก็วางมาแล้ว วางไว้ตรงนั้นก่อนนะ โยมที่มาทีหลัง แล้วค่อยมาถวาย เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ขาดความเพียรตรงนี้มากทีเดียว
ทั้งที่ใจนั้นก็มีศรัทธาอยู่ ปัญญาที่เกิดจากใจ หรือเกิดจากวิญญาณเกิดจากขันธ์ห้า อันนี้เขามีมานาน เขาหลงมานาน ทำอย่างไรได้เราถึงจะคลายความหลงตรงนี้ได้ เราถึงมาสร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติตัวใหม่ เขาเรียกว่าทำให้ต่อเนื่องรู้กายทุกลมหายใจเข้าออก ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ จนเอาไปใช้ รู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ลึกลงไปอีก ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า คลายออกจากความคิดเป็นอย่างไรซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ถ้าแยกได้ตรงนี้แหละ เขาถึงจะเรียกว่า คลายความหลง
คลายความหลงยังไม่พอ เพียงแค่เริ่มต้น ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ตามดูให้เห็นการเกิดการดับ ให้ใจว่างรับรู้อยู่ นี่เขาเรียกว่า ปัญญาวิปัสสนา ทีนี้เราจะละกิเลสได้อีกหรือไม่ มาแก้ไข มาอบรม มาบ่มนิสัยอบรมใจของตัวเรา อันนี้ถูกอันนี้ผิด อันนี้ควรละ อันนี้ควรเจริญ ใจแข็งกระด้าง หรือว่าใจมีความอ่อนโยน เราต้องพยายามมาแก้ไข มาปรับปรุงจนสติปัญญา เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลให้ใจยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะยอมยกธงขาว ยกธงขาวยังไม่พอเราต้องเอาให้อยู่จนไม่เกิด จนหนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน การสร้างกําลังใจเป็นอย่างไร การบริหารใจเป็นอย่างไร บริหารสมมติเป็นอย่างไร บริหารโลกเป็นอย่างไร อะไรคือโลก อะไรคือธรรม
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร สอนเรื่องหลักของความจริงของชีวิต หลักของอริยสัจ คําว่าอริยสัจ ความจริงของชีวิตเป็นอย่างไร มีกันทุกคน แต่เราจะเข้าถึงทำความเข้าใจ จัดการบริหารได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนโน้นคนนี้
พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแนวทาง วิธีการแนวทาง อย่าเพิ่งเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าเข้ามาโต้แย้ง ให้ปฏิบัติตามให้รู้ให้เห็น ท่านถึงบอกให้เชื่อ ถ้าเอาความคิดเก่าปัญญาเก่าของโลกีย์มาโต้แย้ง ยิ่งปิดกั้นตัวเอาไว้ ยิ่งปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ตัววิญญาณเอาไว้ กิเลสเก่า ของเก่า เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือนั้นค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวใหม่ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็เอื้ออํานวยกันอยู่ โลกธรรมก็อาศัยกันอยู่ ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม มันก็ไม่เข้าใจในธรรม เจริญสติไม่รู้จักลักษณะของสติ มันก็เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ ก็ต้องพยายามให้รู้ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิตเป็นอย่างนี้ความรู้ตัวตรงนี้ไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน สร้างขึ้นมาแล้วก็ลึกลงไปจะค่อยไล่เลียงลงไปเรื่อยๆๆๆๆ ก็จะมองเห็นหนทางเดิน ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ
ทุกคนนี่มีกิเลสแหละถึงได้เกิดมาก่อน จนได้เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ กายของมนุษย์นี่แหละเขาเรียกว่า ภพของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ห้าขันธ์ ที่พระพุทธองค์ว่า ขันธ์ห้า เป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมเป็นกองเป็นขันธ์ แล้วมาหลงมายึด เพียงแค่ยึดในกายนี่ก็ไปยึดเอาภายนอกหมด ถ้าคลายในกายได้ตัวเดียว ก็คลายข้างนอกได้หมด ทีนี้เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ ก็ต้องพยายาม หมั่นสร้างตบะ สร้างบารมีกันนะ สร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างบารมีกัน
หลวงพ่อก็พาทำเป็นสะพาน เป็นทางผ่าน จะให้เอาอะไร ไม่เอาอะไรสักอย่าง ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ แต่คนเราไม่เข้าใจ มีตั้งแต่จะวิ่งห่างไกลใจตัวเองอย่างเดียว ดิ้นรนนั่นห่างไกลใจตัวเอง ก็ยิ่งดิ้นเท่าไรก็ยิ่งผูกยิ่งมัด ให้เราทำความเข้าใจ ให้รู้ ให้เห็น ทำความเข้าใจแล้วคลาย แล้วก็ค่อยละ การดับ การละ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทนในสิ่งที่ใจมันปรารถนาใจมันต้องการให้เป็นความต้องการของสติปัญญา
พูดง่าย แต่การลงมือต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร เป็นบุคคลที่มีความขยันเป็นเลิศ ขยันวิเคราะห์ ขยันสังเกต ชี้เหตุชี้ผล ให้ถึงที่สิ้นสุด อะไรคือรูป อะไรคือนาม คําว่านามธรรมเป็นลักษณะอย่างไร เขามีอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่มี ตอนนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ปีหน้ามี ภพหน้ามี ภพปัจจุบันมี ถ้าเรารู้เราเห็นแล้วก็ยิ่งจะเพิ่มความเพียรให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ