หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 14
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 14
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 14
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ ว่ากายของเราปกติ ใจปกติ ใจเกิดความอยากหรือว่ากายเกิดความหิว กะประมาณในการขบฉันของเรา ตาเห็นรูป ตาเห็นอาหาร เป็นทางผ่านส่งเข้าไปถึงตัววิญญาณ แล้วก็รู้ว่าวิญญาณของเราเกิดความยินดีหรือว่าเกิดความอยาก เราก็รีบดับ รีบหยุด ให้รับรู้สติปัญญา ไปเอาอาหาร กะประมาณพิจารณาจนเป็นอัตโนมัติ จนมีแต่ดูกับรู้ ต้องการสิ่งไหนก็เป็นเรื่องของปัญญา
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ นุ่งผ้าครองผ้า มีใจนิ่งรับรู้อยู่ พูดง่ายอยู่นะ แต่ต้องพยายาม ใหม่ๆ ก็เป็นการฝืน เป็นการสวน เป็นการทวนกระแส ถ้าใจคลายออกจากความคิดเมื่อไร ตามดูได้เมื่อไร นั่นแหละถึงจะตกกระแสธรรม มีความเห็นที่ถูกต้อง ทำความเข้าใจให้ได้
อากาศวันนี้ก็รู้สึกว่าจะเย็นลงสักนิดหนึ่ง ใกล้จะร้อนแล้วแหละ อากาศใกล้จะร้อน ปีนี้หนาวนาน นานเป็นเดือน หนาวเป็นเดือน สมัยก่อนตัวอ้วนๆ ร่างกายอ้วนๆ ไม่ได้ใส่เสื้อหนาว ทุกวันนี้ใส่เสื้อกันหนาว สภาพร่างกายสร้างภูมิต้านทานสู้อากาศภายนอกไม่ได้ ในเมื่อสมัยก่อน กําลังทรุดเยอะ กําลังตกเยอะ สภาพไปตามวัย อายุแก่แล้วก็เป็นธรรมดา สภาพร่างกายต่อสู้กับสภาพอากาศภายนอกไม่ค่อยจะไหว ไม่รู้จะอยู่ได้อีกสักกี่วัน กี่เดือน มันถึงขาลงขาร่วง
ตามหลักธรรมะก็มีความเสื่อมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิด เสื่อมของกายเนื้อตั้งแต่เป็นเด็ก โตขึ้นเป็นเด็กเล็ก เด็กโต เป็นผู้ใหญ่ เปลี่ยนแปลงไป ภาษาธรรมท่านว่าเสื่อม แต่คนทั่วไปว่าเจริญ นั้นเสื่อมขึ้นแล้วก็เสื่อมลงทางด้านรูปกาย ท่านว่าเป็นก้อนทุกข์ เป็นรังแห่งทุกข์ จิตวิญญาณมาสร้างกายเนื้อ ซึ่งเรียกว่าภพของมนุษย์ แล้วก็มายึดมาครอง นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ถึงจะรู้เรื่องว่ากายเนื้อของเรานี่มีอะไรบ้าง ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ อาการสามสิบสองมี หู ตา จมูก ลิ้น กายแล้วก็มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ต้องมาเจริญสติเข้าไปแจงไปแยกให้เป็นกองเป็นขันธ์ แต่อยู่ในกองเดียวกัน มีหนังห่อหุ้ม ไม่อย่างนั้นไม่เข้าใจ
แต่คนทั่วไปก็มองอยู่ในภาพรวมตัวกูของกู แล้วก็ไปยึดเอาหมดทุกอย่าง วางข้างในไม่ได้ ก็ไปยึดเอาทุกอย่าง ใจก็ไม่รู้จักควบคุม วาจาก็ไม่รู้จักควบคุม กายก็ไม่รู้จักควบคุม ใจต้องนิ่งอยู่ภายใน การเกิดของวิญญาณหรือว่าการเกิดของใจมันหลงมาตั้งนาน หลงมาตั้งนาน เรื่องใจนี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ นี่ไม่รู้เรื่อง รู้อยู่แต่ไม่เห็น รู้คิดก็รู้ ทำก็รู้ แต่ไม่เห็นฐานของใจว่าเป็นอย่างไร เขาถึงเรียกว่าใจหลอกใจ ขันธ์ห้าหลอกใจ สติปัญญา ทั้งใจทั้งขันธ์ห้าหลอกกันไปเป็นกลุ่มเป็นก้อน ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด อยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่ได้คลายออก รับรู้อยู่ภายใน ใจคลายออกจากขันธ์ห้ายังไม่พอ ยังมาละกิเลสอีก ยังมาดับความเกิดอีก
ถ้าคนทั่วไปแล้วสติก็ไม่ได้เจริญ อานิสงส์บารมี ตบะความเพียรก็ไม่ได้สร้าง มีแต่ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากด้วย หวังด้วย ยึดด้วย นั่นก็เลยแบกทุกข์หนักทั้งก้อน มีอานิสงส์มีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็รีบ รีบๆ ทำ รีบสร้างให้ปรากฏให้เห็นให้เข้าถึง ให้เข้าถึง อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ทั้งพระทั้งชีทั้งโยม ยิ่งพระ ยิ่งพระกับชียิ่งพยายามความเพียรให้เป็นเลิศ เพราะว่ามีโอกาสมาก ไม่เหมือนกับฆราวาส
ฆราวาสนี่ก็ยังมีจิตเป็นบุญเป็นกุศลเป็นศรัทธาหาเวลาเข้ามาศึกษา แต่ก็ต้องดิ้นรนทางสมมติ เราก็มาทำความเข้าใจกับสมมติเสีย ให้อยู่ดีมีความสุข ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านแล้วก็หมดเลย ถ้าพระถ้าชีหมด ถ้าคนมาฝึกมาศึกษาที่วัดเกียจคร้านแล้วก็หมดเลย ต้องเป็นคนขยัน มีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เพียงแค่ระดับของสมมติก็ทำให้ดี สมมติก็เกียจคร้านก็ยิ่ง จิตใจก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก
อะไรไม่ดีเราก็รีบแก้ไขให้ดี อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของธรรมชาติ กฎของไตรลักษณ์ ยังไม่ถึงเวลานั้นเราก็ยังประโยชน์ให้เต็มเปี่ยม พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ช่วงเช้าช่วงเย็นพากัน พากันมาทำวัตรสวดมนต์ให้เป็นอานิสงส์ของตัวเอง สมัยก่อนช่วงหลวงพ่อยังมีกําลังอยู่ขาดไม่ได้
วันนี้พวกท่านจงพยายามพากันทำ หนังสือทำวัตรสวดมนต์สมัยก่อนนี้ไม่มี หลวงพ่อพยายามทำให้มี เงินทองก็ไม่มี ก็พยายามไปคัดไปลอกไปขยายออกเพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาสวดท่อง เข้ามาศึกษา ทุกวันนี้เจ้าคุณ อานิสงส์ของท่านเจ้าคุณล้นเหลือ พิมพ์จนล้นจนเหลือยังไม่พากันมา เราต้องพากันมีความสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียว ทำวัตรสวดมนต์ทุกเช้าทุกเย็น เป็นรั้วล้อม รั้วล้อมเรา มนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล คำสวดคําท่องนั้นถ้าแปลลงไปแล้วก็อยู่ในกายของเราหมด มีแต่ความเป็นสิริมงคลหมด ยังพากันเกียจคร้านกันอยู่ก็ช่วยเหลือไม่ได้นะ จะเอาตั้งแต่ธรรม ไม่ยอมทำ มันก็ไม่ยอมขัดเกลา ไม่ยอมละ ไม่เจริญสติ มันก็ไปไม่ถึงไหน
อยู่ใกล้อยู่ไกล อยู่คนละทิศละที่ละทาง ก็มารวมกัน แล้วก็มาแข่งดีแข่งเด่น กูดีมึงดี กูเด่นมึงเด่น นี้ใช้การไม่ได้ เข้ามาละทิฏฐิมานะ ละอัตตาตัวตน กว่าจะได้ให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ลําบากมานาน ทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ยังจะพากันมาเกียจคร้าน มันก็เหมือนกับปิดกั้นตัวเอง เราจงพยายามขยัน ขยันในการวิเคราะห์ ขยันในการทำความเพียร ทั้งข้างนอกข้างในนะ เขาเรียกว่าตบะ เขาเรียกว่าบารมีตบะ
ความรับผิดชอบเป็นอย่างไร ความเสียสละเป็นอย่างไร ละความเกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน กลางคืนก็ไปดูว่าใจของเราเกิดความกลัวได้อย่างไร ไปนอนอยู่ตามโรงศพตามเมรุต่างๆ ก็ไปดู เพื่อที่จะดูว่าใจเกิดอาการอย่างไร ใจเกิดความกลัวอย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร ถ้าหัดดูเราก็จะรู้ว่ากายของเราหิวอย่างไร ใจของเราเกิดความอยากอย่างไร ก็จะได้วิเคราะห์แก้ไขทำความเข้าใจ แล้วก็อยู่กับสมมติ อย่ากินมากนอนมาก อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์หรอกถ้าเราเข้าใจ ตรงที่ยังไม่เข้าใจนี่แหละ ปัญหามันใหญ่อยู่ด้วยกันหลายองค์หลายคนหลายท่าน แต่ก่อนก็ไม่มีหรอก ดึงแขนเข้ามาป่าช้าก็ไม่มีใครอยากจะเข้า
ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์กันทั้งนั้น ต่อไปข้างหน้ายิ่งจะเยอะกว่านี้อีก สถานที่ก็เลยคับแคบ คับแคบสถานที่ไม่เป็นไร อย่าให้ใจมันคับแคบ พยายามเปิดให้มันกว้าง
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ ว่ากายของเราปกติ ใจปกติ ใจเกิดความอยากหรือว่ากายเกิดความหิว กะประมาณในการขบฉันของเรา ตาเห็นรูป ตาเห็นอาหาร เป็นทางผ่านส่งเข้าไปถึงตัววิญญาณ แล้วก็รู้ว่าวิญญาณของเราเกิดความยินดีหรือว่าเกิดความอยาก เราก็รีบดับ รีบหยุด ให้รับรู้สติปัญญา ไปเอาอาหาร กะประมาณพิจารณาจนเป็นอัตโนมัติ จนมีแต่ดูกับรู้ ต้องการสิ่งไหนก็เป็นเรื่องของปัญญา
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ นุ่งผ้าครองผ้า มีใจนิ่งรับรู้อยู่ พูดง่ายอยู่นะ แต่ต้องพยายาม ใหม่ๆ ก็เป็นการฝืน เป็นการสวน เป็นการทวนกระแส ถ้าใจคลายออกจากความคิดเมื่อไร ตามดูได้เมื่อไร นั่นแหละถึงจะตกกระแสธรรม มีความเห็นที่ถูกต้อง ทำความเข้าใจให้ได้
อากาศวันนี้ก็รู้สึกว่าจะเย็นลงสักนิดหนึ่ง ใกล้จะร้อนแล้วแหละ อากาศใกล้จะร้อน ปีนี้หนาวนาน นานเป็นเดือน หนาวเป็นเดือน สมัยก่อนตัวอ้วนๆ ร่างกายอ้วนๆ ไม่ได้ใส่เสื้อหนาว ทุกวันนี้ใส่เสื้อกันหนาว สภาพร่างกายสร้างภูมิต้านทานสู้อากาศภายนอกไม่ได้ ในเมื่อสมัยก่อน กําลังทรุดเยอะ กําลังตกเยอะ สภาพไปตามวัย อายุแก่แล้วก็เป็นธรรมดา สภาพร่างกายต่อสู้กับสภาพอากาศภายนอกไม่ค่อยจะไหว ไม่รู้จะอยู่ได้อีกสักกี่วัน กี่เดือน มันถึงขาลงขาร่วง
ตามหลักธรรมะก็มีความเสื่อมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิด เสื่อมของกายเนื้อตั้งแต่เป็นเด็ก โตขึ้นเป็นเด็กเล็ก เด็กโต เป็นผู้ใหญ่ เปลี่ยนแปลงไป ภาษาธรรมท่านว่าเสื่อม แต่คนทั่วไปว่าเจริญ นั้นเสื่อมขึ้นแล้วก็เสื่อมลงทางด้านรูปกาย ท่านว่าเป็นก้อนทุกข์ เป็นรังแห่งทุกข์ จิตวิญญาณมาสร้างกายเนื้อ ซึ่งเรียกว่าภพของมนุษย์ แล้วก็มายึดมาครอง นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ถึงจะรู้เรื่องว่ากายเนื้อของเรานี่มีอะไรบ้าง ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ อาการสามสิบสองมี หู ตา จมูก ลิ้น กายแล้วก็มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ต้องมาเจริญสติเข้าไปแจงไปแยกให้เป็นกองเป็นขันธ์ แต่อยู่ในกองเดียวกัน มีหนังห่อหุ้ม ไม่อย่างนั้นไม่เข้าใจ
แต่คนทั่วไปก็มองอยู่ในภาพรวมตัวกูของกู แล้วก็ไปยึดเอาหมดทุกอย่าง วางข้างในไม่ได้ ก็ไปยึดเอาทุกอย่าง ใจก็ไม่รู้จักควบคุม วาจาก็ไม่รู้จักควบคุม กายก็ไม่รู้จักควบคุม ใจต้องนิ่งอยู่ภายใน การเกิดของวิญญาณหรือว่าการเกิดของใจมันหลงมาตั้งนาน หลงมาตั้งนาน เรื่องใจนี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ นี่ไม่รู้เรื่อง รู้อยู่แต่ไม่เห็น รู้คิดก็รู้ ทำก็รู้ แต่ไม่เห็นฐานของใจว่าเป็นอย่างไร เขาถึงเรียกว่าใจหลอกใจ ขันธ์ห้าหลอกใจ สติปัญญา ทั้งใจทั้งขันธ์ห้าหลอกกันไปเป็นกลุ่มเป็นก้อน ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด อยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่ได้คลายออก รับรู้อยู่ภายใน ใจคลายออกจากขันธ์ห้ายังไม่พอ ยังมาละกิเลสอีก ยังมาดับความเกิดอีก
ถ้าคนทั่วไปแล้วสติก็ไม่ได้เจริญ อานิสงส์บารมี ตบะความเพียรก็ไม่ได้สร้าง มีแต่ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากด้วย หวังด้วย ยึดด้วย นั่นก็เลยแบกทุกข์หนักทั้งก้อน มีอานิสงส์มีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็รีบ รีบๆ ทำ รีบสร้างให้ปรากฏให้เห็นให้เข้าถึง ให้เข้าถึง อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ทั้งพระทั้งชีทั้งโยม ยิ่งพระ ยิ่งพระกับชียิ่งพยายามความเพียรให้เป็นเลิศ เพราะว่ามีโอกาสมาก ไม่เหมือนกับฆราวาส
ฆราวาสนี่ก็ยังมีจิตเป็นบุญเป็นกุศลเป็นศรัทธาหาเวลาเข้ามาศึกษา แต่ก็ต้องดิ้นรนทางสมมติ เราก็มาทำความเข้าใจกับสมมติเสีย ให้อยู่ดีมีความสุข ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านแล้วก็หมดเลย ถ้าพระถ้าชีหมด ถ้าคนมาฝึกมาศึกษาที่วัดเกียจคร้านแล้วก็หมดเลย ต้องเป็นคนขยัน มีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เพียงแค่ระดับของสมมติก็ทำให้ดี สมมติก็เกียจคร้านก็ยิ่ง จิตใจก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก
อะไรไม่ดีเราก็รีบแก้ไขให้ดี อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของธรรมชาติ กฎของไตรลักษณ์ ยังไม่ถึงเวลานั้นเราก็ยังประโยชน์ให้เต็มเปี่ยม พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ช่วงเช้าช่วงเย็นพากัน พากันมาทำวัตรสวดมนต์ให้เป็นอานิสงส์ของตัวเอง สมัยก่อนช่วงหลวงพ่อยังมีกําลังอยู่ขาดไม่ได้
วันนี้พวกท่านจงพยายามพากันทำ หนังสือทำวัตรสวดมนต์สมัยก่อนนี้ไม่มี หลวงพ่อพยายามทำให้มี เงินทองก็ไม่มี ก็พยายามไปคัดไปลอกไปขยายออกเพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาสวดท่อง เข้ามาศึกษา ทุกวันนี้เจ้าคุณ อานิสงส์ของท่านเจ้าคุณล้นเหลือ พิมพ์จนล้นจนเหลือยังไม่พากันมา เราต้องพากันมีความสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียว ทำวัตรสวดมนต์ทุกเช้าทุกเย็น เป็นรั้วล้อม รั้วล้อมเรา มนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล คำสวดคําท่องนั้นถ้าแปลลงไปแล้วก็อยู่ในกายของเราหมด มีแต่ความเป็นสิริมงคลหมด ยังพากันเกียจคร้านกันอยู่ก็ช่วยเหลือไม่ได้นะ จะเอาตั้งแต่ธรรม ไม่ยอมทำ มันก็ไม่ยอมขัดเกลา ไม่ยอมละ ไม่เจริญสติ มันก็ไปไม่ถึงไหน
อยู่ใกล้อยู่ไกล อยู่คนละทิศละที่ละทาง ก็มารวมกัน แล้วก็มาแข่งดีแข่งเด่น กูดีมึงดี กูเด่นมึงเด่น นี้ใช้การไม่ได้ เข้ามาละทิฏฐิมานะ ละอัตตาตัวตน กว่าจะได้ให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ลําบากมานาน ทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ยังจะพากันมาเกียจคร้าน มันก็เหมือนกับปิดกั้นตัวเอง เราจงพยายามขยัน ขยันในการวิเคราะห์ ขยันในการทำความเพียร ทั้งข้างนอกข้างในนะ เขาเรียกว่าตบะ เขาเรียกว่าบารมีตบะ
ความรับผิดชอบเป็นอย่างไร ความเสียสละเป็นอย่างไร ละความเกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน กลางคืนก็ไปดูว่าใจของเราเกิดความกลัวได้อย่างไร ไปนอนอยู่ตามโรงศพตามเมรุต่างๆ ก็ไปดู เพื่อที่จะดูว่าใจเกิดอาการอย่างไร ใจเกิดความกลัวอย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร ถ้าหัดดูเราก็จะรู้ว่ากายของเราหิวอย่างไร ใจของเราเกิดความอยากอย่างไร ก็จะได้วิเคราะห์แก้ไขทำความเข้าใจ แล้วก็อยู่กับสมมติ อย่ากินมากนอนมาก อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์หรอกถ้าเราเข้าใจ ตรงที่ยังไม่เข้าใจนี่แหละ ปัญหามันใหญ่อยู่ด้วยกันหลายองค์หลายคนหลายท่าน แต่ก่อนก็ไม่มีหรอก ดึงแขนเข้ามาป่าช้าก็ไม่มีใครอยากจะเข้า
ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์กันทั้งนั้น ต่อไปข้างหน้ายิ่งจะเยอะกว่านี้อีก สถานที่ก็เลยคับแคบ คับแคบสถานที่ไม่เป็นไร อย่าให้ใจมันคับแคบ พยายามเปิดให้มันกว้าง
ตั้งใจรับพรกัน