หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 48 วันที่ 25 ธันวาคม 2559

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 48 วันที่ 25 ธันวาคม 2559
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 48 วันที่ 25 ธันวาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 48
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 ธันวาคม 2559

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ฟังไปด้วย น้อมสําเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความคิดที่เกิดจากใจของเราก็จะหยุดนิ่ง ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้าก็จะหยุด

ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกอยู่ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ลักษณะของการเจริญสติรู้ลมหายใจเข้าออกนี้เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ รู้กายอยู่ขณะทุกลมหายใจเข้าออก เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน

ส่วนการเกิดการดับของใจหรือว่าวิญญาณในกายของเรานั้นมีมาตั้งนาน เขาหลงมาเกิดตั้งนาน ขณะมาเกิดมาสร้างภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มายึด มายึดขันธ์ห้าทําให้เกิดอัตตาตัวตนหลายสิ่งหลายอย่าง กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ท่านถึงให้เจริญสติตัวใหม่หรือว่าเจริญปัญญาตัวใหม่เข้าไปสังเกต เข้าไปอบรมใจของเรา กําลังสติกําลังปัญญาของเรายังมีกําลังน้อยก็เลยสู้ความคิดเก่าไม่ได้ สู้ขันธ์ห้าเก่าไม่ได้ ท่านถึงบอกว่าให้ใช้ตบะ ความอดทนอดกลั้น สร้างตบะ สร้างบารมี ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามขัดเกลาเอาออก ละความตระหนี่เหนียวแน่น ให้ใจของเราเป็นผู้ให้ ผู้เอาออก ทําไมใจของเราถึงเกิด

การเกิด ความเกิดนั่นแหละคือความหลง เกิดในภพมนุษย์แล้วก็มายึดติด กายก็หนัก ใจก็เลยหนัก กําลังสติหมั่นสังเกตบ่อยๆ หมั่นสร้างขึ้นมาบ่อยๆ ทําความเข้าใจบ่อยๆ รู้ไม่ทันเริ่มใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มใหม่ เริ่มอยู่บ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน

ส่วนใจนั้นมีพื้นฐานของการให้ ของการเอาออก ของการทําบุญฝักใฝ่อยู่ในธรรม ท่านที่ใจเขาเกิด ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันลุ่มลึก เรามาฝึกมาอบรม มาขัดมาเกลา จนใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา ใจจะเกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็พยายามหัดแก้ไขปรับปรุงจนใจของเราไม่มีกิเลสอะไร เข้าสู่สภาวะเดิมคือความบริสุทธิ์ เข้าสู่สุญญตาหรือว่า ความว่าง ใจไม่มีกิเลส ใจไม่เกิดใจก็นิ่ง แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย ไม่ค่อยจะสนใจ สนใจเฉพาะอยากทําบุญให้ทานอยู่แค่นี้เอง

การเจริญสติที่แท้จริง การเอาสติปัญญาไปใช้ ไปอบรมใจ ไปแก้ไขใจของเรา จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้านั่นแหละท่านเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละที่เรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทาง เพิ่งจะเปิด พอใจแยกออกจากขันธ์ห้าได้ กําลังสติก็ตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ละกิเลสที่ใจ ดับความเกิดที่ใจ จนใจไม่เกิด

ปรับสภาพใจของเราให้เป็นธาตุรู้ รับรู้ ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข ขันธ์ห้าผุดขึ้นมาใจของเราเข้าไปร่วมหรือไม่ ถ้าไม่ไปร่วมก็ตามดูจนมองเห็นไตรลักษณ์ จบลงอยู่ที่ไตรลักษณ์ จบลงอยู่ที่ความว่าง ที่ท่านเรียกว่า ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป’ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เราก็พยายามรู้เห็นตามความเป็นจริง เมื่อใจมองเห็นตามความเป็นจริง เห็นเหตุเห็นผล อยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดําเนิน เราพยายามดําเนิน

แต่การทําบุญให้ทานนั้นมีกันอยู่ตลอด ใจของเราต้องให้อยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้อยู่ในพรหมวิหาร แต่ไม่ให้เกิด ดับความเกิด หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน การพูดนี่ง่ายอยู่ แต่การลงมือจริงๆ นั้นมันยาก ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ หมั่นขัดเกลา กิเลสเอาออกจากใจของเราจริงๆ เป็นผู้ให้ มีศรัทธา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วเจริญสตินี้ลงไปให้ต่อเนื่อง จนใจคลายออกแยกรูปแยกนามได้

เพียงแค่แยกรูปแยกนามนี้เพียงแค่เริ่มต้น การทําความเข้าใจ ขัดเกลากิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีกจนใจของเราไม่มีกิเลสนั่นแหละ ปรับสภาพใจของเราให้รับรู้ ไม่ให้เกิด เพียงแค่การเกิด หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน แม้แต่สติปัญญาของเรา ถ้าเป็นอกุศลก็ให้ดับ ให้เหลือตั้งแต่กุศล แต่ไม่ให้ใจของเราเข้าไปยึดอีกด้วย ไปเข้าไปร่วม เข้าไปเสวย เราก็ต้องพยายาม พยายามดูรู้เรา แก้ไข เราปรับปรุงเราอยู่ตลอดเวลา

มันไม่เหลือวิสัย คนเราเกิดมาในใจของเราอบรมได้ ไม่ใช่ว่าอบรมไม่ได้ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ว่าไม่มีโอกาส โอกาสไม่มี เวลาไม่มี มีเวลาหมดทุกคนตราบใดที่ยังมีลมหายใจ อย่าพากันประมาท ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย อันนี้ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ

สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทํา

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทําความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง