หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 14 วันที่ 7 ตุลาคม 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 14 วันที่ 7 ตุลาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 14
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 ตุลาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดระงับยับยั้งลงไป ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละเรียกว่า ‘มีสติรู้กาย’ เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
ความรู้สึกตัวเปรียบเสมือนกับนายทวาร คอยสังเกต คอยวิเคราะห์ ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ เหมือนกับนายประตูทวารคอยดูว่ารถคันไหนจะวิ่งเข้ารถคันไหนจะวิ่งออก คอยดูอยู่ที่ตรงปากทางก็พอ อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งนี้สมองก็ตึง ถ้าเราเอาใจไปจดจ่อหน้าอกก็จะแน่น เราพยายามปล่อยให้เป็นธรรมชาติที่สุด ยิ่งการฝึกใหม่ๆ บางทีก็สับสน บางทีก็ลืม บางทีก็พลั้งเผลอ เราพยายามทำความเข้าใจบ่อยๆ
สร้างสติเจริญสติ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ตั้งแต่ตื่นขึ้น รู้ตัวปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออกปั๊บ ลึกลงไปถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเชื่อมโยงเราก็จะเห็นการเกิดของใจ การเกิดของขันธ์ห้า ซึ่งความคิดที่เราไม่ตั้งใจ ว่าใจกับอาการของใจไปรวมกันได้อย่างไร ทำไมใจถึงส่งไปภายนอก ทำไมใจถึงเกิดกิเลส เราก็จะเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักการสร้างตบะสร้างบารมี
แต่เวลานี้บางทีกําลังสติของเรามีน้อยก็เลยตามไม่ทัน การเจริญสติเราก็ต้องรู้จักลักษณะของสติ ความรู้ตัว คําว่า ปัจจุบันธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก ต่อไปข้างหน้าก็ทุกขณะจิต จิตหรือว่าใจของเรา ใจเกิดก็รู้ ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักละ สร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นให้เต็มเปี่ยม อย่าไปมองข้ามบุญเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ คิดดี ทำดี การกระทำให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์
การเจริญภาวนาหรือว่าการเจริญสติเราก็ต้องมี ถ้ากําลังสติมีมากเราก็อาจจะเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม ใจหงายจากของที่คว่ำ พลิกจากของที่คว่ำ ใจก็ว่าง กายก็จะเบา ตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นใจของเรา รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในวิมุตติ วันนี้เราไม่เข้าใจ เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยิ่งไม่เข้าใจ เราเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ
การรู้การเห็น การทำบุญการให้ทาน การรักษาศีลการเจริญภาวนา ศีลหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าความปกติ ปกติระดับไหน ระดับใจ ระดับกาย ระดับวาจา ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ สมาธิ ใจที่สงบเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิด ใจเขาก็สงบ ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่เขาคลายจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ใจเขาก็ว่าง ว่างจากขันธ์ห้า ว่างจากกิเลส ทีนี้เรามาดับความเกิด วางใจของเราให้เป็นอิสรภาพ มีความบริสุทธิ์อยู่ในกายของเรา มีความรับรู้อยู่ในกายของเรา
เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา หมั่นทำความเข้าใจทั้งโลกทั้งธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน โลกธรรมก็อยู่ด้วยกัน กายของเรานี่แหละก้อนโลก ใจของเรานั่นแหละคือองค์ธรรม เราพยายามพิจารณาหมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งถึงเวลาหมดลมหายใจ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ฝากเอาไว้
ในขณะเรายังมีลมหายใจอยู่ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล พยายามยังบุญก้อนใหญ่ ฝากเอาไว้ในกายของเราขณะกําลังกายของเรายังแข็งแรง ให้พยายามรีบตักตวงด้วยสติด้วยปัญญา ยังประโยชน์ให้เต็มเปี่ยมให้เกิดขึ้นที่ใจของเราขณะกําลังกายยังแข็งแรงอยู่ ถ้าหมดลมหายใจเมื่อไรก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ไปตามแรงเหวี่ยงของกรรม นอกจากบุคคลที่มีปัญญา มีบุญ มีความขยันหมั่นเพียรเต็มที่ ถึงจะได้ละกิเลสได้หมดจดไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ขอให้ใจเราอยู่ในกองบุญกองกุศล ถึงเราดับความเกิดได้ ก็ให้อยู่ในบุญในกุศลด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ภพน้อยภพใหญ่ อานิสงส์ผลบุญในสิ่งที่พวกเราทำจะติดตามตัวเราไป จนกระทั่งหมดความเกิด ดับความเกิดได้หมดจด ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 ตุลาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดระงับยับยั้งลงไป ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละเรียกว่า ‘มีสติรู้กาย’ เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
ความรู้สึกตัวเปรียบเสมือนกับนายทวาร คอยสังเกต คอยวิเคราะห์ ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ เหมือนกับนายประตูทวารคอยดูว่ารถคันไหนจะวิ่งเข้ารถคันไหนจะวิ่งออก คอยดูอยู่ที่ตรงปากทางก็พอ อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งนี้สมองก็ตึง ถ้าเราเอาใจไปจดจ่อหน้าอกก็จะแน่น เราพยายามปล่อยให้เป็นธรรมชาติที่สุด ยิ่งการฝึกใหม่ๆ บางทีก็สับสน บางทีก็ลืม บางทีก็พลั้งเผลอ เราพยายามทำความเข้าใจบ่อยๆ
สร้างสติเจริญสติ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ตั้งแต่ตื่นขึ้น รู้ตัวปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออกปั๊บ ลึกลงไปถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเชื่อมโยงเราก็จะเห็นการเกิดของใจ การเกิดของขันธ์ห้า ซึ่งความคิดที่เราไม่ตั้งใจ ว่าใจกับอาการของใจไปรวมกันได้อย่างไร ทำไมใจถึงส่งไปภายนอก ทำไมใจถึงเกิดกิเลส เราก็จะเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักการสร้างตบะสร้างบารมี
แต่เวลานี้บางทีกําลังสติของเรามีน้อยก็เลยตามไม่ทัน การเจริญสติเราก็ต้องรู้จักลักษณะของสติ ความรู้ตัว คําว่า ปัจจุบันธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก ต่อไปข้างหน้าก็ทุกขณะจิต จิตหรือว่าใจของเรา ใจเกิดก็รู้ ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักละ สร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นให้เต็มเปี่ยม อย่าไปมองข้ามบุญเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ คิดดี ทำดี การกระทำให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์
การเจริญภาวนาหรือว่าการเจริญสติเราก็ต้องมี ถ้ากําลังสติมีมากเราก็อาจจะเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม ใจหงายจากของที่คว่ำ พลิกจากของที่คว่ำ ใจก็ว่าง กายก็จะเบา ตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นใจของเรา รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในวิมุตติ วันนี้เราไม่เข้าใจ เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยิ่งไม่เข้าใจ เราเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ
การรู้การเห็น การทำบุญการให้ทาน การรักษาศีลการเจริญภาวนา ศีลหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าความปกติ ปกติระดับไหน ระดับใจ ระดับกาย ระดับวาจา ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ สมาธิ ใจที่สงบเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิด ใจเขาก็สงบ ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่เขาคลายจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ใจเขาก็ว่าง ว่างจากขันธ์ห้า ว่างจากกิเลส ทีนี้เรามาดับความเกิด วางใจของเราให้เป็นอิสรภาพ มีความบริสุทธิ์อยู่ในกายของเรา มีความรับรู้อยู่ในกายของเรา
เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา หมั่นทำความเข้าใจทั้งโลกทั้งธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน โลกธรรมก็อยู่ด้วยกัน กายของเรานี่แหละก้อนโลก ใจของเรานั่นแหละคือองค์ธรรม เราพยายามพิจารณาหมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งถึงเวลาหมดลมหายใจ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ฝากเอาไว้
ในขณะเรายังมีลมหายใจอยู่ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล พยายามยังบุญก้อนใหญ่ ฝากเอาไว้ในกายของเราขณะกําลังกายของเรายังแข็งแรง ให้พยายามรีบตักตวงด้วยสติด้วยปัญญา ยังประโยชน์ให้เต็มเปี่ยมให้เกิดขึ้นที่ใจของเราขณะกําลังกายยังแข็งแรงอยู่ ถ้าหมดลมหายใจเมื่อไรก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ไปตามแรงเหวี่ยงของกรรม นอกจากบุคคลที่มีปัญญา มีบุญ มีความขยันหมั่นเพียรเต็มที่ ถึงจะได้ละกิเลสได้หมดจดไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ขอให้ใจเราอยู่ในกองบุญกองกุศล ถึงเราดับความเกิดได้ ก็ให้อยู่ในบุญในกุศลด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ภพน้อยภพใหญ่ อานิสงส์ผลบุญในสิ่งที่พวกเราทำจะติดตามตัวเราไป จนกระทั่งหมดความเกิด ดับความเกิดได้หมดจด ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ