หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 10 วันที่ 1 ตุลาคม 2559

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 10 วันที่ 1 ตุลาคม 2559
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 10 วันที่ 1 ตุลาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 10
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 ตุลาคม 2559

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจหรือว่าเกิดจากความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว เสียงก็สักแต่ว่าเสียง

เราได้ยินเสียงพูดของหลวงพ่อแล้วก็น้อมดู รู้ สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา การหายใจเข้ายาวๆ การหายใจออกยาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ฟังไปด้วย รู้จักวิธีการแนวทางแล้ว เราหัดสังเกต ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ลักษณะของความรู้สึกตัว ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’

ความรู้สึกพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ให้เกิดความเคยชินจากหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง เป็นนาที 2 นาที 3 นาที จนต่อเนื่อง จนสืบต่อ​ ต่อเนื่อง​ ขณะที่เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง

ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นมีอยู่เดิมเพราะว่าเขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าเขาก็มีมาปรุงแต่งใจมานาน นั่นแหละความหลง ถ้าไม่เกิด ถ้ามีความเกิดก็มีความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาสร้างภพมนุษย์​ มาสร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเองแล้วก็หลงต่อ หลงเป็นทาสของกิเลสต่อ

พระพุทธองค์ท่านถึงได้เกิดในภพมนุษย์ แล้วก็มาค้นพบวิธีการแนวทางให้เจริญสติตัวใหม่​ ปัญญาตัวใหม่​ ลงอยู่ที่กายเสียก่อนแล้วก็ไปอบรมใจ จนควบคุมใจ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ชี้เหตุชี้ผล เห็นการเกิดการดับ ละกิเลสออกจากใจ จนเข้าถึงความบริสุทธิ์ของใจตัวเดิม มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน

ใจของแต่ละดวงนี้ปรารถนาหาทางดับทุกข์ ความไม่เข้าใจถึงดิ้นรนแสวงหาด้วยอำนาจของความหลงของกิเลสเข้ามาปกปิดตัวเองเอาไว้จนแน่นหนา​เข้าไป ไม่ว่าทั้งความโลภ ความโกรธ ความอยาก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดสารพัดอย่าง ทั้งแม้กระทั่งการเกิดก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ ท่านถึงให้มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา แล้วก็แก้ไขด้วยการขัดเกลากิเลสออกให้หมด ทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้งสารพัดอย่าง แม้แต่กระทั่งการเกิด จนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นจนใจไม่เกิดนั่นแหละ มองเห็นหนทางเดิน

เวลานี้ แม้แต่การเจริญสติของพวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง อาจจะทำกันกระท่อนกระแท่น กำลังสติก็เลยมีไม่เพียงพอที่จะเข้าไปอบรมใจ ที่จะเข้าไปชี้เหตุชี้ผลว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร กองวิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร กองรูปเป็นอย่างไร กองนามเป็นอย่างไร ที่พวกเราสวดท่องกันอยู่ทุกๆ วัน มีอยู่ในกายของเรา

กายของเรานี่แหละคือตําราใบใหญ่ เจริญสติเข้าไปดู​เข้าไปรู้ กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณทำหน้าที่อย่างไร ถ้าเรารู้เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ ส่วนมากจะไปรู้เอากลางเหตุปลายเหตุ ไม่เคยๆ ลึกเข้าไปถึงต้นเหตุ ไม่เคยคลายออก ไม่เคยใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม หรือว่าหงายจากของที่คว่ำ รับรู้เห็นตามความเป็นจริง

นอกจากบุคคลที่มีความเพียร เจริญสติให้ยิ่งยวด สร้างตบะบารมีให้เต็มเปี่ยม ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจของเราเกิดความโกรธ ก็ละความโกรธ ให้อภัยทานอโหสิกรรม เป็นผู้ให้ ผู้เอาออก มองโลกในทางที่ดี จิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็งกระด้าง สร้างความอ่อนน้อมให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของตัวเรา จิตใจของเรามีความเห็นผิด เราก็พยายามเจริญสติจนแยกได้คลายได้ ตามดู รู้เหตุรู้ผล จนใจยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ท่านถึงบอกให้เชื่อ

แนวทางคําสอนของพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบหลักการวิธีการแนวทางมานาน แต่พวกเรายังดำเนินไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางกัน พยายามน้อมใจให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ อย่าให้ตกไปสู่กองอกุศล ให้พยายามน้อมใจของเราอยู่ในกองบุญ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่เดินถึงช้าก็ต้องเดินถึงเร็ว ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราใหม่ สักวันก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน

สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกให้เป็นธรรมชาติที่สุดนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง