หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 24 วันที่ 24 ตุลาคม 2559

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 24 วันที่ 24 ตุลาคม 2559
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 24 วันที่ 24 ตุลาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 24
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 ตุลาคม 2559

มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราพยายามวิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา แล้วก็พยายามหัดสังเกต สังเกตการเกิดการดับ สังเกต รู้เท่าทันความคิดอารมณ์ ใจเกิดอย่างไร ก่อตัวอย่างไร จนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ พยายามจําแนกแจกแจงให้ได้ ความอยากเป็นอย่างไร ความหิวเป็นอย่างไร หรือว่าใจปกติ

เราต้องสร้างปัญญา หรือว่าสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็เอาไปใช้ ไปวิเคราะห์ รู้เท่าทันการเกิดการดับของใจ รู้จักควบคุมใจ รู้จักอบรมใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าคลายออกจากความคิดซึ่งมีกันทุกคน ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์เราก็จะไม่เข้าใจ เพราะว่าใจกับอาการของใจเขารวมกัน จนเรารู้ว่าคิด ทํา ทําตามความคิด ทําตามอารมณ์

ทั้งที่รู้ๆ เขาก็หลงอยู่ในความรู้ หลงอยู่ในความยึดมั่นถือมั่น หลงอยู่ในการเกิด การเกิดของใจ การเกิดของวิญญาณในกายของเรา ตามธรรมดาใจของทุกคนนี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลงวนเวียนว่ายอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ซึ่งเราอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงขนาดนั้น จนกระทั่งถึงมาหลงเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวตัวเองเอาไว้ ปิดกั้นตัวใจนั่นแหละเอาไว้

คําว่า ขันธ์ห้า เราก็รู้ตั้งแต่ชื่อแต่เรายังเข้าไม่ถึง เพราะว่าถ้าใจคลายออกจากความคิดได้เมื่อไร ใจว่างเมื่อไร พลิกขึ้นมาหงายขึ้นมาเมื่อไร กําลังสติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะตามเห็นการเกิดการดับของความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมนั่นแหละเขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เวลาดับไป ความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่เข้ามา ความเกิด ความดับ ความไม่เที่ยง แต่เราไม่เห็นถึงตรงนั้น แยกแยะไม่ได้ คิดก็รู้ ทําก็รู้ แต่ก็หลงอยู่ในความรู้

ส่วนใจก็ปรารถนาศรัทธาอันแรงกล้า อยากได้บุญ อยากได้ธรรม อยากรู้อยากเห็น อยากเข้าใจ ความอยากของใจนั่นแหละปิดกั้นตัวเองเอาไว้ นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง แล้วก็สร้างตบะ สร้างบารมี รู้จักอด รู้จักข่ม รู้จักขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเรา รู้จักดับความเกิด จนกว่าใจจะคลายขันธ์ห้าได้ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงปรากฏ มองเห็นหนทางเดิน เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร เข้าใจในความหมายนั้นๆ ถึงจะเข้าใจในภาษาธรรมภาษาโลก

แต่เวลานี้เราก็เข้าใจอยู่ในระดับของสมมติ การสร้างคุณงามความดีระดับของสมมติ แต่ใจยังไม่ได้คลายออกไปรับรู้ ทุกเรื่องในชีวิตต้องดู รู้ให้ชัดเจน เวลานี้ ขณะนี้ ความอยากเป็นอย่างไร ความหิวเป็นอย่างไร ใจปกติเป็นอย่างไร ความรู้ตัว ลักษณะของความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออกเป็นลักษณะอย่างไร ไม่ใช่ว่าเจริญสติไม่รู้จักว่าลักษณะของสติเป็นอย่างไร เจริญธรรม ปฏิบัติธรรม ไม่รู้จักธรรมคืออะไร

ตัวธรรม ก็คือตัวใจ ธรรมเราอาจจะมองเห็นในภาพรวมว่าคือตัวบุญ ตัวบุญ ก็คือตัวใจ ทําอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงตัวใจได้ ก็ต้องหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ รู้ไม่ทันก็รู้จักควบคุม รู้จักดับ รู้จักหยุด สร้างอานิสงส์บารมีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ความเจ็บความตายนี่ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ถ้าไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้ไป ถ้าถึงเวลาแล้วจะเอาอะไรมาฉุดมารั้งเอาไว้ก็ไม่อยู่ เรายกให้เป็นกรรม ยกให้เป็นกรรม

ทีนี้เราต้องมาศึกษาเรื่องกรรม กรรมภายใน กรรมภายนอก กรรมก็คือการกระทํา ตัวจิตวิญญาณซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดๆ ดับๆ นั่นแหละ เขาไปสร้างกรรม มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปแยก เข้าไปคลายทําความเข้าใจกับขันธ์ห้า แล้วก็ละขันธ์ห้า กรรมเก่าก็ตามไม่ทันก็เป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ที่เกิดจากตัวใจที่ทําอยู่ปัจจุบันก็ละอกุศล เจริญกุศลให้มีให้เกิดขึ้น สูงขึ้นไปก็ไม่หลงไม่ยึด

ทําเพื่อให้เกิดประโยชน์ มีความรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในสิ่งที่เราเข้าไปทํา ก็เลยอยู่เหนือกรรม หรือว่าอยู่เหนือบุญเหนือบาป กรรมเก่าก็ตามไม่ทันเป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ก็ไม่ได้ยึด สร้างกุศลกรรมแต่ไม่หลงไม่ยึด เราก็อยู่กับบุญ ใจก็เป็นบุญ มาละกิเลส มาขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ทั้งใจ ทั้งกาย ทั้งวาจา กายก็จะเป็นบุญ วาจาก็จะเป็นบุญ ใจก็จะเป็นบุญ อยู่ที่ไหนเราก็จะอยู่กับบุญ เพราะว่าตัวใจนั่นแหละคือตัวบุญ ตัวใจนั่นแหละคือ ตัวธรรม

กายในก้อนกรรมที่เขาได้สร้างขึ้นมา ก้อนกรรมหรือว่าก้อนบุญ ก้อนโลก ก้อนธรรม ถ้าใจเป็นธรรมก็เป็นก้อนธรรม ถ้าใจเป็นโลกก็เป็นก้อนโลก มาวิเคราะห์ดู เรายืมธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ของสมมติของโลกเขามาใช้ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง มาหลง มายึด ถึงเวลาเขาก็แตกก็ดับ ร่างกายแตกดับเขาก็ไปหาที่อยู่ใหม่ ในหลักธรรมท่านได้ทําความเข้าใจแล้วก็ละด้วยการเจริญปัญญา ให้ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจก็ปล่อยวางอัตตาตัวตนได้ แล้วก็ดับความเกิดของใจ ละกิเลสที่ใจ ใจก็จะไม่ได้ไปก่อภพ ก่อชาติที่ไหนอีก

พยายามหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่องๆ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ทุกลมหายใจเข้าออก บางคนบางท่านก็อาจจะคิดว่าจะรู้ได้อย่างไร ก็ในเมื่อเราสร้างสติเจริญปัญญา สร้างความรู้ตัว ช่วงใหม่ๆ ก็พลั้งเผลอ ถ้ากําลังสติปัญญาของเราเร็วไวขึ้น อบรมใจของเราได้ คลายใจของเราออกจากขันธ์ห้าได้ กําลังสติก็จะตามดู รู้เห็นตามความเป็นจริง ยับยั้งไว้ไม่อยู่ก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา ค้นคว้าทุกเรื่องจนไม่มีอะไรที่จะให้ค้นคว้า จนไม่มีกิเลสตัวไหนที่จะให้ดับอีกก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในดวงใจ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว

บริหารกาย บริหารใจ ขณะเรายังมีลมหายใจอยู่ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน เราดับความเกิดภายในได้ กายเนื้อแตกดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิด ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ไม่สูญหายไปไหน

พยายามหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล สร้างบุญแม้แต่นิดหน่อยก็เป็นอานิสงส์อย่างแรงกล้าในวันข้างหน้า อย่าไปมองข้ามแม้แต่บุญเล็กๆ น้อยๆ ทําบุญด้วยกําลังกาย กําลังใจ กําลังทรัพย์ กําลังแรงศรัทธา ตื่นขึ้นมาก็เอาบุญที่ใจของเราให้ได้เสียก่อน

ตื่นขึ้นมาใจของเรามีความเกียจคร้านหรือไม่ ใจของเรามีความเกิดหรือเปล่า อะไรคือสติปัญญา ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา เอาไปใช้การใช้งานได้หรือไม่ ก็ดูทุกเรื่องนะ ก็ดูทุกเรื่อง ถ้าเราสอนเราไม่ได้อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่เกิดประโยชน์ จงหมั่นพร่ำสอนใจตัวเรา เจริญสติไปพร่ำสอนใจตัวเรา

รู้จักวิธีการรู้จักแนวทางแล้ว ก็ทําความเข้าใจ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ตื่นขึ้นมาลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร จะลุกจะก้าวเข้าห้องส้วมห้องน้ำใจยังปกติดีอยู่หรือไม่ ทํากับข้าวกับปลาใจเกิดความอยากหรือเปล่า เปลี่ยนจากตัวใจเป็นกําลังสติปัญญาเข้าไปทําหน้าที่แทนใจ ยิ่งใจเกิดเมื่อไรก็ดับเมื่อนั้น ใจหลงเมื่อไรก็สังเกตดูเขาก็จะคลาย คลายความหลง เราอาจจะว่าเราไม่หลงหรอ เพราะว่าเรายังแยกไม่ได้ เราก็รู้อยู่ รู้อยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วยังหลง หลงความเกิดนั่นแหละความหลงอย่างละเอียด เราพัฒนากําลังสติปัญญาไปเกิดแทนไม่ได้ ก็เลยมองเห็นเพียงแค่ความถูกต้องระดับของสมมติ

แนวทางพระพุทธองค์ท่านได้เปิดเผยมานาน เอามาชี้แนะวิธีการแนวทางให้ พวกเราจงดําเนินไปให้ถึง ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ตราบใดที่ยังดําเนินอยู่ ตราบใดที่ยังฝึกหัดปฏิบัติอยู่ ไม่ถึงวันนี้ก็พรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ไม่ถึงปีหน้าก็ไปต่อภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ กายเนื้อแตกดับ ใจก็ต้องไปเกิดต่อ เขาจะเกิดในเรื่องอะไรก็ขึ้นอยู่กับแรงกุศล แรงบุญแรงกุศลที่เราสร้างธรรมอยู่ปัจจุบันนี้แหละ เราดับความเกิดภายในได้ คลายความหลงได้ ก็มองเห็นหนทางเดินทันทีว่ากิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ กิเลสตัวไหนยังละไม่ได้ ตัวไหนยังละได้ ก็มันเกิดขึ้นมาเมื่อไร เราก็พยายามละ

ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็ยิ่งเพิ่มความเพียรความสมัครสมานสามัคคีเป็นทวีคูณ บุญภายนอกเราก็ทํา บุญภายในเราก็ทํา ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย จากภายในก็ส่งออกไปสู่ภายนอก พยายามดําเนิน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ความเกียจคร้าน จงเพิ่มความเพียรให้มีให้เกิดขึ้น

ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย หัดสังเกตใจวิเคราะห์ใจของเรา จนไม่มีอะไรที่จะไปค้นคว้า จนมีแต่ดูกับรู้ รู้ความเป็นจริงนั่นแหละ สติ สมาธิ ปัญญา เขาจะรักษาเราเองเมื่อถึงเวลา

ตั้งใจรับพรกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง