หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 2 วันที่ 3 กันยายน 2559

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 2 วันที่ 3 กันยายน 2559
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 2 วันที่ 3 กันยายน 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 2
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 กันยายน 2559

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ตั้งตื่นเช้าขึ้นมาเราได้รู้จักเจริญสติ เรารู้จักการทำให้มีให้เกิดให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ฟังไปด้วยน้อมสําเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว

แต่การทำบุญให้ทานตรงนั้นฝักใฝ่กันอยู่ มีศรัทธามีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย มีความเชื่อมั่น เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป มีการฝักใฝ่ในการทำบุญอยู่ตลอด แต่การเจริญสติ การสร้างความรู้ตัวตรงนี้ไม่ค่อยจะทำให้ต่อเนื่องเท่าไร แล้วก็ไม่ค่อยจะสนใจกันด้วยปล่อยเลยตามเลย ใจก็เลยเกิด ใจก็เลยหลงอยู่อย่างนั้น หลงในการทำบุญให้ทาน หลงในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง หลงในอัตตาตัวตนร่างกายของตัวเรา

เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล จนใจของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก เห็นถูก ใจของเราคลายออกเห็นเป็นคนละส่วน อันนี้คือส่วนใจ อันนี้คือส่วนรูป อันนี้คือส่วนนามซึ่งเรียกว่า ‘เป็นกองเป็นขันธ์’ ใจเกิดกิเลสได้อย่างไร ใจส่งไปภายนอกได้อย่างไร อะไรคือส่วนปัญญา เราต้องสร้างขึ้นมาอบรมใจของเรา คอยอบรมใจให้ใจของเรามองเห็นความเป็นจริง ใจของเราก็จะคลายกิเลสออกจากใจของเราทีละนิดทีละน้อย

แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเรามีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน สติปัญญาของเราเร็วไวหรือไม่ เราก็ต้องพยายามพิจารณาเอา แนวทางคําสอนของพระพุทธองค์มีมาตั้งนาน เป็นเสียแต่ว่าพวกเราจะสร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของตัวเองหรือไม่ ไม่ต้องไปกังวล คําว่าความกังวลความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นจิตไม่ให้รับความสงบเป็นอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ทวารทั้งหก หู ตา จมูก ลิ้น กาย เขาทำหน้าที่อย่างไร

เราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต ภาษาธรรมภาษาโลก ใจของเรามีความอ่อนน้อมหรือว่ามีความแข็งกร้าวหรือว่ามีความแข็งกระด้าง เราก็รู้จักแก้ไข จะไปแสวงหาธรรมที่โน่นที่นี่ก็เป็นสิ่งที่ดี แสวงหาธรรมก็แสวงหาที่กายที่ใจของเรา แต่ละสถานที่อันนั้นไปหาประสบการณ์ ไปสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น คือความเสียสละ ความขยัน ความรับผิดชอบ

งานภายนอกงานภายใน แต่ละวัน ความซื่อสัตย์สุจริตต่อตัวเรา ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เป็นคนขยัน มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ รู้จักสำรวมกายวาจาใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่บ้าน ที่ทำการทำงาน พยายามพิจารณา ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ยิ่งมาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน ถ้าไม่รู้จักแก้ไขตัวเราก็หนักตัวเอง หนักคนอื่น บอกตัวเองไม่ได้ใช้ตัวเองไม่เป็นก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเราบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข​ อยู่หลายคนก็มีความสุข ไปไหนก็ไม่ตกอับ รู้จักแก้ไขตัวเองตลอดเวลา จากน้อยๆ ไปหามากๆ

บุคคลมีบุญมีอานิสงส์เพียงฟังนิดเดียว เดินไปถึงฝั่งเลยคือพระนิพพาน มองเห็นหนทางเดิน ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้​ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ กายเป็นก้อนทุกข์เป็นอย่างนี้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด มองเห็นตามสภาพความเป็นจริง

ทุกคนเกิดมาเท่าไรตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ถ้าไม่ถึงเวลาตาย​ ไม่ได้ไปไม่ได้ตายหรอก​ อย่าไปกลัว ทุกคนเกิดมานั้นก็เกิดมาเพื่อที่จะสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีกันทั้งนั้น บางคนก็หลงผิดไปก็แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเองใหม่ ถ้าเราปรับปรุงตัวเราไม่ได้​ ใช้ตัวเองไม่เป็น​ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนไม่เกิดประโยชน์ เราจงสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา

ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็เพิ่มความสามัคคีให้เป็นทวีคูณ เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เพิ่มความรับผิดชอบให้เป็นทวีคูณ อยู่กันคนละทิศละที่ละทางมาอยู่ร่วมกัน ทุกคนก็ปรารถนาที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง บางทีก็มาทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วก็ไปก็มี บางทีก็มาเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง วิธีการแนวทางรู้จักแล้วก็รีบเดินให้ถึงจุดหมายก็โชคดีไป มีบางคนบางท่านอานิสงส์ไม่เพียงพอ บุญบารมีไม่เพียงพอ ก็พยายามสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น รู้จักรับผิดชอบ รู้จักเสียสละ อดทนอดกลั้น พยายามหมั่นขัดเกลาตัวเองตลอดเวลา ก็จะมีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข

แต่ละวันๆ อยู่ในวัดของเรานี่ก็รู้สึกว่าปัญหาก็เยอะ ปัญหาจากภายนอกก็เข้ามาเยอะ ขโมยขโจรนี่แหละสำคัญ มาแอบขโมยขึ้นกุฏิโน้นบ้างกุฏินี้บ้าง ของก็เสียหายกันเยอะ ให้ระวังนะ ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีของสำคัญต่างๆ​ ก็ให้เอาติดตามตัวเอาไว้ ทรัพย์สินเงินทอง ขโมยมันก็คอยขโมยทีเราเผลอ

อย่างพระมาทำวัตรสวดมนต์ มันก็ไปขึ้นกุฏิโน้นบ้างกุฏินี้บ้าง ไปงัดหลังโน้นบ้างหลังนี้บ้าง มาฉันข้าวอย่างนี้แหละ ขโมยมันก็คอยจดคอยจ้องที่จะขโมย คําว่าขโมยก็ไม่ดีแล้ว ก็เป็นกรรมของเขา แต่เราก็รักษาของเราไม่ให้ขโมยเขาขโมยไป ก็เพื่ออานิสงส์ประโยชน์ทางสมมติถ้าขโมยไปแล้วก็ลําบาก

อันโน้นอันนี้ถูกขโมยที่โน่นที่นี่ บางทีก็กฎหมายก็ลงโทษจับได้ก็ลงโทษ ถ้าลงโทษไม่ได้ก็กรรมเป็นจะเป็นตัวลงโทษเอง เราไม่ต้องไปกังวล เราไม่ต้องไปเสียดายอาลัยอาวรณ์กับสิ่งพวกนี้ ก็ยกให้เป็นกรรมเป็นตัวลงโทษเขาเอง เรามาจัดการกับใจของเรา แก้ไขใจของเรา มีอะไรก็พยายามแก้ไข ความเสียสละ ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ หลายสิ่งหลายอย่าง ทำ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์

หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดเวลา พวกเรามีโอกาสก็น้อมกายเข้ามาช่วย มาช่วยกันทำ​ มาช่วยกันสร้าง ยังประโยชน์ให้กับสมมติ ตอนนี้ก็ช่วยกันทำทั้งโรงเรียนด้วย ทำโรงเรียนให้กับเด็กอนุบาล ทางบ้านสำราญเดี๋ยวนี้กําลังถมที่อยู่ จะรื้อลงห้องสมุดหรือว่าห้องอนุบาลเก่าย้ายเข้าไปอยู่ข้างใน ก็เพื่อความสะดวกสบายของโรงเรียน รถราก็เยอะ ต่อไปข้างหน้ารถรายังจะเยอะมากกว่านี้อีก ความลําบากก็จะตามมา พากันช่วยพากันทำ ได้รับความเมตตาจากทุกคน

ถ้าอยากจะมาร่วมด้วยก็มา หลายสิ่งหลายอย่างในวัดยังทำอยู่ยังไม่จบ ทั้งสร้างกุฏิวิหารของพระ พระเราก็พยายามช่วยกัน ทั้งญาติทั้งโยมก็ทำให้พวกเรานั่นแหละอยู่ ไม่ได้ทำให้ใครอยู่หรอก ก็ทำให้พวกเราอยู่ อยากอยู่ก็อยากอยู่ที่สะดวกสบาย แต่ความเสียสละไม่มี มีแต่ความเกียจคร้านไปอยู่ที่ไหน มันก็ไม่เจริญ

เราพยายามสร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบกระตือรือร้น ทั้งภายนอกทั้งภายใน เราทำขึ้นมาถึงเราไม่ได้อยู่​ คนอื่นก็ได้มาอยู่สะดวกสบาย เราไปที่ไหนก็มีคนอื่นทำไว้ให้เรา อย่าไปคิดว่าไม่เกิดประโยชน์ เกิดประโยชน์มากมายทั้งนั้นในสิ่งที่พวกเราทำ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกนี้เราก็ได้พลอยอาศัย ยิ่งการสร้างมหาเจดีย์ใหญ่ก็ค่อยดำเนินไป ค่อยดำเนินไป​ จากวันเดือนปี เราทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เสร็จ เดี๋ยวก็เสร็จ

การขัดเกลากิเลสเหมือนกัน กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็รู้จักดับ รู้จักละ ที่นั้นทีนี้เขาก็จะเหือดแห้งไปๆ เหือดแห้งไปเรื่อยๆ จนกว่าไม่เกิด จนเหลือแต่ปัญญาล้วนๆ เอาไปใช้กับสมมติ ก็ต้องพยายามนะ

พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น มองบน มองล่าง มองกลางใจของเราตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย มีการไปปล่อยปละละเลยเขาเรียกว่า เป็นบุคคลที่ยังประมาทอยู่ เราจงเป็นบุคคลที่ตื่นพร้อมตลอดเวลา ก็จะมีตั้งแต่ความสุข

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไปพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง