หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 23 วันที่ 22 ตุลาคม 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 23 วันที่ 22 ตุลาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 23
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 ตุลาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งในสมองส่วนบนก็อาจจะตึง ถ้าเราเอาใจไปจดจ่อที่ปลายจมูกหน้าอกก็จะแน่น เราพยายามสูดลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด
การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ให้เราคอยสังเกตดู รู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราก็พอ ไม่ต้องตามลึกลงไป การที่ลมสัมผัสปลายจมูกหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
ส่วนการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกปั๊บ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลึกลงไปอีกว่าการเกิดของใจนั้น การก่อตัวของใจเขาเริ่มเกิดอย่างไร การก่อตัวของขันธ์ห้าเขาเริ่มเกิดอย่างไรซึ่งเขามีอยู่เดิม ตัวจิต ตัวขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม ก็หลงมาเกิดตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งเขามาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าขึ้น
พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติตัวใหม่เข้าไปทําความเข้าใจ เข้าไปแยกเข้าไปคลาย ถ้าเราสังเกตให้ต่อเนื่อง ถ้าเห็นช่วงที่เรื่องความคิดเกิด ขันธ์ห้าเกิดใจเคลื่อนเข้าไปรวม ความรู้ตัวรู้เท่าทันเขาจะแยกออกจากกันเอง เราก็จะเห็นการแยกการคลายซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
ถ้าเรายังไม่รู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็ตั้งสติอยู่กับลมหายใจใหม่หรือว่าอยู่กับคําบริกรรม เพื่อที่จะให้ใจของเราช้าลง กําลังสติของเรามากขึ้น ถ้าความรู้ตัวต่อเนื่องจาก 1 นาที 2 นาที 5 นาที 10 นาที จนรู้เท่าทันใจ คลายออกจากขันธ์ห้า กําลังสติก็จะตามดู เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า รู้ด้วย เห็นด้วย ตามดูได้ด้วย ค่อยพิจารณา ไม่ใช่ว่าพิจารณาไปเลย ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ ถ้าพิจารณาไปเลยนี่ก็เป็นแค่เพียงปัญญาของโลกีย์ ปัญญาของสมมติ ใจยังคลายขันธ์ห้าไม่ได้ ถ้าแยกได้ คลายได้ ตามดูรู้ทุกเรื่อง ใจจะเข้าไปร่วมก็ให้รู้จักดับ ใจจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักละ รู้จักเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ทุกเรื่องในชีวิต ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
เจริญสติก็ให้รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ปฏิบัติธรรมก็ให้รู้จักอะไรคือธรรม อะไรสติ อะไรคือปัญญา ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย หมดความสงสัย หมดความลังเล กําลังสติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณในขันธ์ห้า รอบรู้ในโลกธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา เขาจะรักษาเราเอง ถ้าถึงจุด จุดที่อิ่มตัวแล้ว
แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย มีตั้งแต่กําลังศรัทธาแรงกล้ามาก กําลังแรง ศรัทธาแรง บุญแรง ศรัทธาปรารถนาอยากจะได้บุญ ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม แต่ความเกิดของใจปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด แต่ก็เป็นบุญเป็นธรรมอยู่ในระดับของสมมติ เราต้องหัดสังเกตหัดวิเคราะห์หัดแยกแยะ รู้ไม่ทัน ดับ วาง อยู่ปัจจุบัน ทําความเข้าใจให้ปรากฏ
ท่านถึงบอกให้เชื่อ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเองใหม่อยู่ตลอดเวลา อยู่ที่ไหนก็จะเป็นวัด ทํากายให้เป็นวัด ทําใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็จะมองเห็นหนทางเดิน เราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ให้ความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ทําใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทําความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 ตุลาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งในสมองส่วนบนก็อาจจะตึง ถ้าเราเอาใจไปจดจ่อที่ปลายจมูกหน้าอกก็จะแน่น เราพยายามสูดลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด
การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ให้เราคอยสังเกตดู รู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราก็พอ ไม่ต้องตามลึกลงไป การที่ลมสัมผัสปลายจมูกหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
ส่วนการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกปั๊บ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลึกลงไปอีกว่าการเกิดของใจนั้น การก่อตัวของใจเขาเริ่มเกิดอย่างไร การก่อตัวของขันธ์ห้าเขาเริ่มเกิดอย่างไรซึ่งเขามีอยู่เดิม ตัวจิต ตัวขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม ก็หลงมาเกิดตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งเขามาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าขึ้น
พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติตัวใหม่เข้าไปทําความเข้าใจ เข้าไปแยกเข้าไปคลาย ถ้าเราสังเกตให้ต่อเนื่อง ถ้าเห็นช่วงที่เรื่องความคิดเกิด ขันธ์ห้าเกิดใจเคลื่อนเข้าไปรวม ความรู้ตัวรู้เท่าทันเขาจะแยกออกจากกันเอง เราก็จะเห็นการแยกการคลายซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’
ถ้าเรายังไม่รู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็ตั้งสติอยู่กับลมหายใจใหม่หรือว่าอยู่กับคําบริกรรม เพื่อที่จะให้ใจของเราช้าลง กําลังสติของเรามากขึ้น ถ้าความรู้ตัวต่อเนื่องจาก 1 นาที 2 นาที 5 นาที 10 นาที จนรู้เท่าทันใจ คลายออกจากขันธ์ห้า กําลังสติก็จะตามดู เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า รู้ด้วย เห็นด้วย ตามดูได้ด้วย ค่อยพิจารณา ไม่ใช่ว่าพิจารณาไปเลย ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ ถ้าพิจารณาไปเลยนี่ก็เป็นแค่เพียงปัญญาของโลกีย์ ปัญญาของสมมติ ใจยังคลายขันธ์ห้าไม่ได้ ถ้าแยกได้ คลายได้ ตามดูรู้ทุกเรื่อง ใจจะเข้าไปร่วมก็ให้รู้จักดับ ใจจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักละ รู้จักเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ทุกเรื่องในชีวิต ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
เจริญสติก็ให้รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ปฏิบัติธรรมก็ให้รู้จักอะไรคือธรรม อะไรสติ อะไรคือปัญญา ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย หมดความสงสัย หมดความลังเล กําลังสติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณในขันธ์ห้า รอบรู้ในโลกธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา เขาจะรักษาเราเอง ถ้าถึงจุด จุดที่อิ่มตัวแล้ว
แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย มีตั้งแต่กําลังศรัทธาแรงกล้ามาก กําลังแรง ศรัทธาแรง บุญแรง ศรัทธาปรารถนาอยากจะได้บุญ ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม แต่ความเกิดของใจปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด แต่ก็เป็นบุญเป็นธรรมอยู่ในระดับของสมมติ เราต้องหัดสังเกตหัดวิเคราะห์หัดแยกแยะ รู้ไม่ทัน ดับ วาง อยู่ปัจจุบัน ทําความเข้าใจให้ปรากฏ
ท่านถึงบอกให้เชื่อ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเองใหม่อยู่ตลอดเวลา อยู่ที่ไหนก็จะเป็นวัด ทํากายให้เป็นวัด ทําใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็จะมองเห็นหนทางเดิน เราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ให้ความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ทําใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทําความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ