หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 22 วันที่ 22 ตุลาคม 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 22 วันที่ 22 ตุลาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 22
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 ตุลาคม 2559
ปีนี้ประเทศชาติบ้านเมืองของเราได้สูญเสียพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่จากพวกเราไป ที่ท่านสร้างบุญมาดี สร้างอานิสงส์มาดี สร้างบุญมาก่อนถึงได้เกิดเป็นพระมหากษัตริย์ แล้วก็ขณะที่เป็นพระมหากษัตริย์ ท่านก็ได้ทรงบําเพ็ญตบะบารมีช่วยเหลือชาติบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขมาตลอด ท่านสร้างบุญมาดีวิบากกรรมของท่านก็ไปได้ดี ประเทศชาติบ้านเมืองของเราก็ได้สูญเสียผู้มีอุปการะคุณกับชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว เป็นธรรมดา ธรรมชาติ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็มีการพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง
ขณะที่เรายังมีกําลัง ยังมีลมหายใจอยู่ เราได้พิจารณากายของเรา พิจารณาใจของเราแล้วหรือยัง อะไรควรทํา อะไรควรดําเนิน อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ในกายของเรานี้มีของดีเยอะแยะ ทําอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาดบริสุทธิ์ ทําอย่างไรให้ใจของเราถึงจะดับความเกิด ละกิเลสได้หมดจด ความเพียรวิธีไหน แนวทางอย่างไร
พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม การดําเนินชีวิตเป็นอย่างนี้ ทําอย่างนี้ การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมกาย ควบคุมวาจา ควบคุมใจ การเจริญพรหมวิหาร พยายามทํา พยายามสร้าง ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา
ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ให้เชื่อแบบหลงงมงาย ให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง ว่าขณะนี้ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ใจของเราละกิเลสได้มากน้อยเท่าไร ใจของเราดับความเกิดได้มากเท่าไร อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล
ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าคนจนคนรวย ไม่ว่าพระมหากษัตริย์ ก็ทุกคนเกิดมาเท่าไรตายหมด เราไม่อยากตายก็ต้องละต้องดับความเกิด ถ้ามีการเกิดก็มีการตาย ความเกิดนั่นแหละเป็นกิเลสตัวละเอียดคือ ใจ คือวิญญาณของเรา ใจของเรายังเกิด เกิด
ใจของเรายังหลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้อยู่ในภพของมนุษย์ หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเรา คําว่า ขันธ์ห้า มีอะไรบ้าง อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม เราต้องเจริญสติเข้าไปแจงให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น กองรูปเป็นอย่างไร กองวิญญาณเป็นอย่างไร วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องอัตตาอนัตตา คําว่า อัตตาอนัตตาของพระพุทธองค์เป็นอย่างไร สอนเรื่องหลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐสี่เราจะเข้าถึงได้อย่างไร การเจริญตบะบารมี ขัดเกลากิเลสวิธีไหน เราพยายามฝักใฝ่สนใจ วิเคราะห์พิจารณา สังเกต อบรมใจของเรา ท่านเรียกได้ว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
ธรรมะไม่ได้อยู่ที่โน่น ธรรมะไม่ได้อยู่ที่นี่ อยู่ที่กายที่ใจของเรา อะไรที่ยังขาดตกบกพร่องเราก็รีบแก้ไขเสีย สมมติของเราอะไรที่ยังไม่พร้อม เราก็พยายาม พยายามสร้างสมมติของเราให้สมบูรณ์ ความเป็นอยู่ทางกาย ทางใจ กายของเรานี้ยังอาศัยปัจจัยสี่ อาศัยโลกธรรม อาศัยความเป็นอยู่ในทางสมมติ ทางด้านจิตใจก็อาศัยสมมติ สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน อะไรคือโลก อะไรคือธรรม เราพยายามแยกแยะด้วยสติด้วยปัญญาของเราให้รู้แจ้งเห็นจริง
กายของเรานี้เป็นกองเป็นขันธ์ ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองอย่างไร เป็นขันธ์อย่างไร เหมือนกับเชือก มีอยู่ มองเห็นเป็นเส้นเดียว ถ้าเราคลี่ออกจะมีอยู่ 5 เกลียว แต่ถ้ารวมกันก็เป็นเส้นเดียว กายของเราก็เหมือนกัน 5 ขันธ์ 5 กอง กองรูป กองนาม กองความคิด กองกุศล กองอกุศล กองวิญญาณ ซึ่งรวมกันอยู่ในกายของเรา
วิญญาณมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง วิญญาณเกิด ความเกิดนั้นก็หลงปิดกั้นตัววิญญาณเอาไว้ในส่วนละเอียด แล้วก็มาสร้างกายเนื้อ ขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองอีก ก็เป็นความอยากขึ้นมาอีก ทีนี้ก็มีความทะเยอทะยานอยากอีก ปิดกั้นตัวเองอีก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง มลทิน สร้างมลทินต่างๆ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเล ความสงสัย สารพัดอย่าง นิวรณ์ธรรมเขาครอบงําอีก ปิดกั้นไว้หลายชั้น ถ้าบุคคลไม่สร้างบุญบารมีมาดี ไม่ได้มีความเพียรเป็นเลิศ ก็ยากที่จะเข้าถึงทรัพย์อันยิ่งใหญ่ คือความบริสุทธิ์ของใจ
เราก็ต้องพยายาม อย่าไปปล่อยปละละเลย ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้ลมหายใจปั๊บ รู้ใจปุ๊บ ว่าการเกิดการดับของใจ อะไรเป็นตัวสั่งการสั่งงาน การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เราตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงได้หรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยตามอําเภอใจ ตามอําเภอกิเลส เราชอบสิ่งไหน กิเลสมันก็เอาสิ่งนั้นแหละมาหลอกเรา เราชอบทําบุญ มันก็เอาบุญมาหลอกเรา ชอบอยากได้ธรรม ก็เอาธรรมมาหลอกเรา แต่ก็เป็นฝ่ายกุศล ฝ่ายบุญ ฝ่ายดี
นอกจากบุคคลที่มาแยกรูปแยกนาม ยกใจให้อยู่สูง ไม่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง ให้อยู่ในความเป็นกลาง ละอกุศล เจริญกุศล อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ถึงจะอยู่อย่างมีความสงบความสุขจนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ เข้าสู่ความไม่เกิด เราดับความเกิดขณะยังมีลมหายใจ คลายความหลงขณะยังมีลมหายใจ ทุกเรื่อง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้กาย รู้ใจ จนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้ เวลาจะขบจะฉันก็เหมือนกัน ทั้งพระทั้งเณรทั้งชีพิจารณาดูใจอยากหรือกายหิว เราแยกแยะความอยากความหิวได้แล้วหรือยัง ถ้าใจเกิดความอยากก็รู้จักดับ อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ยิ่งกายยิ่งหิวๆ ใจจะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว ความคิดก็เกิดตรงความอยากนั่นแหละ การเกิด
เราพยายามหัดสังเกตบ่อยๆ ทําความเข้าใจบ่อยๆ สักวันหนึ่งเราคงจะเห็น เห็นใจที่คลายจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละ ถ้าแยกได้เมื่อไร ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูกในอริยมรรคในองค์แปดข้อแรกเห็นถูก ดําเนินถูก พิจารณาถูก ก็จะถูกไปหมด แต่ถ้ายังแยกไม่ได้ ก็เป็นบุญอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังเป็นบุญที่ยังเห็นผิดอยู่คือยังไม่เห็นถูกตามอริยมรรคในองค์แปด คือคลายใจออกรับรู้ แต่ก็เป็นบุญอยู่ระดับของสมมติ แต่เราก็ไม่ให้ทิ้ง ทําความเข้าใจกับสมมติ ยังประโยชน์ของสมมติให้เต็มเปี่ยม เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่ อาศัยโลกธรรมอยู่ หมดลมหายใจเมื่อไรนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งก้อนสมมติ แต่เราให้วางทางด้านจิตใจ ใจคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นให้ได้
เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะหมั่นพร่ำสอนตัวเอง ไม่ใช่ว่าเรื่องของคนอื่น ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ ‘ตน’ตัวแรก สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละไปอบรมใจ จนใจรู้เห็นความเป็นจริง ชี้เหตุชี้ผล เห็นการแยกการคลาย เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของจิตวิญญาณ เห็นการเกิดการดับของการละกิเลส กิเลสหยาบเป็นอย่างนี้ กิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ดูรู้ให้ชัดแจ้ง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเราไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่ได้ แล้วก็อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่เกิดประโยชน์
บุคคลที่มีบุญ มีสติ มีปัญญา ฟังนิดเดียว ไปดูทําความเข้าใจก็จะเข้าถึงฝั่ง คือพระนิพพานได้เร็วได้ไว การไม่ให้ใจเกิดกิเลสเป็นอย่างไร การดับกิเลสเป็นอย่างไร เปลี่ยนจากความยึดมั่นถือมั่น เปลี่ยนจากการยึดมั่นถือมั่นเป็นความต้องการของสติของปัญญาเป็นลักษณะอย่างไร บริหารสมมติ บริหารกาย บริหารใจ เราต้องดูรู้ให้แจ้ง จนรู้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก รู้ทุกขณะจิต
ทำอย่างไรถึงจะเป็นมหาสติ มหาปัญญา เราก็ต้องสร้างขึ้นมา ใหม่ๆ สติไม่มีก็ต้องสร้างขึ้นมา ใจของเรายังเร็วยังไวก็ต้องใช้สมถะ เข้าไปดับ เข้าไปหยุด จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า คลายได้แล้วก็ตามทําความเข้าใจ ค้นคว้า ถ้าคลายได้เมื่อไร แยกแยะได้เมื่อไร กําลังสติของเราก็จะพุ่งแรงเป็นมหาสติ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ไม่ปล่อยปละละเลย
ถ้ากิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ เราจะดับอย่างไร เราจะละอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร เราก็จะเข้าใจถ้าแยกแยะได้ การสร้างบารมี ความเสียสละ ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความเห็นแก่ตัว มีความเสียสละทั้งกําลังกาย กําลังใจ กําลังทรัพย์ สักวันหนึ่งใจก็จะเบาก็จะบาง คลายได้เร็วได้ไว คลายจากกิเลส ลึกลงไปก็คลายจากความคิดซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ก็ต้องพยายามกัน ไม่ใช่ว่าเรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของเราแท้ๆ ต้องทําความเข้าใจ
ยิ่งมาอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ก็พยายามเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี ความเสียสละ ความอดทน ทั้งกระทบกระทั่งกันบ้างก็รู้จักให้อภัยอโหสิกรรม เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากการตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลานะ ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าพระราชาก็ตายเหมือนกันหมด แต่อาจจะมาสร้างบุญอานิสงส์มาต่างกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ยิ่งสนุกสร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยมอีก
พวกเรามีโอกาสได้มาร่วมกันทั้งกําลังกายกําลังใจ บุญสมมติเราก็ไม่ทิ้ง บุญทางวิมุตติทางด้านจิตใจเราก็ขัดเกลากิเลสของเราให้หมดจด ไม่หมดวันนี้ก็พรุ่งนี้ก็หมด ไม่หมดพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ไม่หมดจริงๆ จะไปต่อเอาภพหน้า เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป เห็นคนอื่นทําเราก็พลอยดีใจ อนุโมทนาสาธุในส่วนแห่งบุญ ทํามากก็เป็นของเรา ทําน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทําเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุ เราก็มีส่วนแห่งบุญ อย่าว่าไม่ทํา ทําบุญกับตัวเรา ทําบุญกับใจของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตื่นขึ้นก็รีบสำรวจใจก่อนเพื่อน อันนี้ใจปกติ ใจสะอาด ใจไม่เกิด คนเราเป็นทุกข์เพราะความเกิด ขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจได้อย่างไร ใจไปรวมกับขันธ์ห้าได้อย่างไร สติที่เราสร้างขึ้นมา ไปใช้การใช้งานได้แล้วหรือยัง สติควรสร้าง ควรเจริญ แล้วเอาไปใช้การใช้งาน หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล ไม่อย่างนั้นก็มีตั้งแต่พอกพูนกิเลสเหมือนกับดินพอกหางหมูไม่จบไม่สิ้น เราพยายามคลายออก มีปัญญาทั้งร้อยก็คลายทั้งร้อย ให้กลับคืนสู่สภาพเดิม คือความสะอาดความบริสุทธิ์ของใจ แล้วก็ค่อยมีปัญญาตัวใหม่เข้าไปทดแทน ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ถึงจะอยู่อย่างมีความสุข
พระเราชีเรา ฆารวาสญาติโยมที่มาอยู่วัด มีอะไรก็ให้ช่วยกันนะ มีอะไรก็ช่วยกัน ดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเป็นระเบียบนี่แหละสําคัญ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน ที่ไร่ที่นา ที่ทําการทํางาน ความเป็นระเบียบ ความสะอาด จากข้างนอกส่งเข้าต่อเข้าไปถึงข้างใน จากข้างในส่งมาถึงข้างนอก เป็นคนมีระเบียบวินัย ขยันขจัดขัดเกลากิเลสออกทีละเล็กทีละน้อย มันก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย
สํามะเลเทเมา เมาด้วยอารมณ์ เมาด้วยกิเลส ทุกคนก็มีกันหมดนั่นแหละ จะมีมากมีน้อยก็รีบแก้ไขเสีย ถ้าเราแก้ไขตัวเราไม่ได้ ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี จงบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไรก็ประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึง ขณะเรายังมีกําลังอยู่ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 22 ตุลาคม 2559
ปีนี้ประเทศชาติบ้านเมืองของเราได้สูญเสียพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่จากพวกเราไป ที่ท่านสร้างบุญมาดี สร้างอานิสงส์มาดี สร้างบุญมาก่อนถึงได้เกิดเป็นพระมหากษัตริย์ แล้วก็ขณะที่เป็นพระมหากษัตริย์ ท่านก็ได้ทรงบําเพ็ญตบะบารมีช่วยเหลือชาติบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขมาตลอด ท่านสร้างบุญมาดีวิบากกรรมของท่านก็ไปได้ดี ประเทศชาติบ้านเมืองของเราก็ได้สูญเสียผู้มีอุปการะคุณกับชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว เป็นธรรมดา ธรรมชาติ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็มีการพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง
ขณะที่เรายังมีกําลัง ยังมีลมหายใจอยู่ เราได้พิจารณากายของเรา พิจารณาใจของเราแล้วหรือยัง อะไรควรทํา อะไรควรดําเนิน อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ในกายของเรานี้มีของดีเยอะแยะ ทําอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาดบริสุทธิ์ ทําอย่างไรให้ใจของเราถึงจะดับความเกิด ละกิเลสได้หมดจด ความเพียรวิธีไหน แนวทางอย่างไร
พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม การดําเนินชีวิตเป็นอย่างนี้ ทําอย่างนี้ การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมกาย ควบคุมวาจา ควบคุมใจ การเจริญพรหมวิหาร พยายามทํา พยายามสร้าง ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา
ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ให้เชื่อแบบหลงงมงาย ให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง ว่าขณะนี้ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ใจของเราละกิเลสได้มากน้อยเท่าไร ใจของเราดับความเกิดได้มากเท่าไร อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล
ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าคนจนคนรวย ไม่ว่าพระมหากษัตริย์ ก็ทุกคนเกิดมาเท่าไรตายหมด เราไม่อยากตายก็ต้องละต้องดับความเกิด ถ้ามีการเกิดก็มีการตาย ความเกิดนั่นแหละเป็นกิเลสตัวละเอียดคือ ใจ คือวิญญาณของเรา ใจของเรายังเกิด เกิด
ใจของเรายังหลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้อยู่ในภพของมนุษย์ หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเรา คําว่า ขันธ์ห้า มีอะไรบ้าง อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม เราต้องเจริญสติเข้าไปแจงให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น กองรูปเป็นอย่างไร กองวิญญาณเป็นอย่างไร วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องอัตตาอนัตตา คําว่า อัตตาอนัตตาของพระพุทธองค์เป็นอย่างไร สอนเรื่องหลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐสี่เราจะเข้าถึงได้อย่างไร การเจริญตบะบารมี ขัดเกลากิเลสวิธีไหน เราพยายามฝักใฝ่สนใจ วิเคราะห์พิจารณา สังเกต อบรมใจของเรา ท่านเรียกได้ว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
ธรรมะไม่ได้อยู่ที่โน่น ธรรมะไม่ได้อยู่ที่นี่ อยู่ที่กายที่ใจของเรา อะไรที่ยังขาดตกบกพร่องเราก็รีบแก้ไขเสีย สมมติของเราอะไรที่ยังไม่พร้อม เราก็พยายาม พยายามสร้างสมมติของเราให้สมบูรณ์ ความเป็นอยู่ทางกาย ทางใจ กายของเรานี้ยังอาศัยปัจจัยสี่ อาศัยโลกธรรม อาศัยความเป็นอยู่ในทางสมมติ ทางด้านจิตใจก็อาศัยสมมติ สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน อะไรคือโลก อะไรคือธรรม เราพยายามแยกแยะด้วยสติด้วยปัญญาของเราให้รู้แจ้งเห็นจริง
กายของเรานี้เป็นกองเป็นขันธ์ ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองอย่างไร เป็นขันธ์อย่างไร เหมือนกับเชือก มีอยู่ มองเห็นเป็นเส้นเดียว ถ้าเราคลี่ออกจะมีอยู่ 5 เกลียว แต่ถ้ารวมกันก็เป็นเส้นเดียว กายของเราก็เหมือนกัน 5 ขันธ์ 5 กอง กองรูป กองนาม กองความคิด กองกุศล กองอกุศล กองวิญญาณ ซึ่งรวมกันอยู่ในกายของเรา
วิญญาณมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง วิญญาณเกิด ความเกิดนั้นก็หลงปิดกั้นตัววิญญาณเอาไว้ในส่วนละเอียด แล้วก็มาสร้างกายเนื้อ ขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองอีก ก็เป็นความอยากขึ้นมาอีก ทีนี้ก็มีความทะเยอทะยานอยากอีก ปิดกั้นตัวเองอีก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง มลทิน สร้างมลทินต่างๆ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเล ความสงสัย สารพัดอย่าง นิวรณ์ธรรมเขาครอบงําอีก ปิดกั้นไว้หลายชั้น ถ้าบุคคลไม่สร้างบุญบารมีมาดี ไม่ได้มีความเพียรเป็นเลิศ ก็ยากที่จะเข้าถึงทรัพย์อันยิ่งใหญ่ คือความบริสุทธิ์ของใจ
เราก็ต้องพยายาม อย่าไปปล่อยปละละเลย ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้ลมหายใจปั๊บ รู้ใจปุ๊บ ว่าการเกิดการดับของใจ อะไรเป็นตัวสั่งการสั่งงาน การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เราตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงได้หรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยตามอําเภอใจ ตามอําเภอกิเลส เราชอบสิ่งไหน กิเลสมันก็เอาสิ่งนั้นแหละมาหลอกเรา เราชอบทําบุญ มันก็เอาบุญมาหลอกเรา ชอบอยากได้ธรรม ก็เอาธรรมมาหลอกเรา แต่ก็เป็นฝ่ายกุศล ฝ่ายบุญ ฝ่ายดี
นอกจากบุคคลที่มาแยกรูปแยกนาม ยกใจให้อยู่สูง ไม่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง ให้อยู่ในความเป็นกลาง ละอกุศล เจริญกุศล อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ถึงจะอยู่อย่างมีความสงบความสุขจนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ เข้าสู่ความไม่เกิด เราดับความเกิดขณะยังมีลมหายใจ คลายความหลงขณะยังมีลมหายใจ ทุกเรื่อง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้กาย รู้ใจ จนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้ เวลาจะขบจะฉันก็เหมือนกัน ทั้งพระทั้งเณรทั้งชีพิจารณาดูใจอยากหรือกายหิว เราแยกแยะความอยากความหิวได้แล้วหรือยัง ถ้าใจเกิดความอยากก็รู้จักดับ อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ยิ่งกายยิ่งหิวๆ ใจจะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว ความคิดก็เกิดตรงความอยากนั่นแหละ การเกิด
เราพยายามหัดสังเกตบ่อยๆ ทําความเข้าใจบ่อยๆ สักวันหนึ่งเราคงจะเห็น เห็นใจที่คลายจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละ ถ้าแยกได้เมื่อไร ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูกในอริยมรรคในองค์แปดข้อแรกเห็นถูก ดําเนินถูก พิจารณาถูก ก็จะถูกไปหมด แต่ถ้ายังแยกไม่ได้ ก็เป็นบุญอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังเป็นบุญที่ยังเห็นผิดอยู่คือยังไม่เห็นถูกตามอริยมรรคในองค์แปด คือคลายใจออกรับรู้ แต่ก็เป็นบุญอยู่ระดับของสมมติ แต่เราก็ไม่ให้ทิ้ง ทําความเข้าใจกับสมมติ ยังประโยชน์ของสมมติให้เต็มเปี่ยม เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่ อาศัยโลกธรรมอยู่ หมดลมหายใจเมื่อไรนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งก้อนสมมติ แต่เราให้วางทางด้านจิตใจ ใจคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นให้ได้
เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะหมั่นพร่ำสอนตัวเอง ไม่ใช่ว่าเรื่องของคนอื่น ‘ตนเป็นที่พึ่งของตน’ ‘ตน’ตัวแรก สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละไปอบรมใจ จนใจรู้เห็นความเป็นจริง ชี้เหตุชี้ผล เห็นการแยกการคลาย เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของจิตวิญญาณ เห็นการเกิดการดับของการละกิเลส กิเลสหยาบเป็นอย่างนี้ กิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ดูรู้ให้ชัดแจ้ง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเราไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่ได้ แล้วก็อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่เกิดประโยชน์
บุคคลที่มีบุญ มีสติ มีปัญญา ฟังนิดเดียว ไปดูทําความเข้าใจก็จะเข้าถึงฝั่ง คือพระนิพพานได้เร็วได้ไว การไม่ให้ใจเกิดกิเลสเป็นอย่างไร การดับกิเลสเป็นอย่างไร เปลี่ยนจากความยึดมั่นถือมั่น เปลี่ยนจากการยึดมั่นถือมั่นเป็นความต้องการของสติของปัญญาเป็นลักษณะอย่างไร บริหารสมมติ บริหารกาย บริหารใจ เราต้องดูรู้ให้แจ้ง จนรู้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก รู้ทุกขณะจิต
ทำอย่างไรถึงจะเป็นมหาสติ มหาปัญญา เราก็ต้องสร้างขึ้นมา ใหม่ๆ สติไม่มีก็ต้องสร้างขึ้นมา ใจของเรายังเร็วยังไวก็ต้องใช้สมถะ เข้าไปดับ เข้าไปหยุด จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า คลายได้แล้วก็ตามทําความเข้าใจ ค้นคว้า ถ้าคลายได้เมื่อไร แยกแยะได้เมื่อไร กําลังสติของเราก็จะพุ่งแรงเป็นมหาสติ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ไม่ปล่อยปละละเลย
ถ้ากิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ เราจะดับอย่างไร เราจะละอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร เราก็จะเข้าใจถ้าแยกแยะได้ การสร้างบารมี ความเสียสละ ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความเห็นแก่ตัว มีความเสียสละทั้งกําลังกาย กําลังใจ กําลังทรัพย์ สักวันหนึ่งใจก็จะเบาก็จะบาง คลายได้เร็วได้ไว คลายจากกิเลส ลึกลงไปก็คลายจากความคิดซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ก็ต้องพยายามกัน ไม่ใช่ว่าเรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของเราแท้ๆ ต้องทําความเข้าใจ
ยิ่งมาอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ก็พยายามเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี ความเสียสละ ความอดทน ทั้งกระทบกระทั่งกันบ้างก็รู้จักให้อภัยอโหสิกรรม เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากการตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลานะ ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าพระราชาก็ตายเหมือนกันหมด แต่อาจจะมาสร้างบุญอานิสงส์มาต่างกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ยิ่งสนุกสร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยมอีก
พวกเรามีโอกาสได้มาร่วมกันทั้งกําลังกายกําลังใจ บุญสมมติเราก็ไม่ทิ้ง บุญทางวิมุตติทางด้านจิตใจเราก็ขัดเกลากิเลสของเราให้หมดจด ไม่หมดวันนี้ก็พรุ่งนี้ก็หมด ไม่หมดพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ไม่หมดจริงๆ จะไปต่อเอาภพหน้า เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป เห็นคนอื่นทําเราก็พลอยดีใจ อนุโมทนาสาธุในส่วนแห่งบุญ ทํามากก็เป็นของเรา ทําน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทําเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุ เราก็มีส่วนแห่งบุญ อย่าว่าไม่ทํา ทําบุญกับตัวเรา ทําบุญกับใจของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตื่นขึ้นก็รีบสำรวจใจก่อนเพื่อน อันนี้ใจปกติ ใจสะอาด ใจไม่เกิด คนเราเป็นทุกข์เพราะความเกิด ขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจได้อย่างไร ใจไปรวมกับขันธ์ห้าได้อย่างไร สติที่เราสร้างขึ้นมา ไปใช้การใช้งานได้แล้วหรือยัง สติควรสร้าง ควรเจริญ แล้วเอาไปใช้การใช้งาน หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล ไม่อย่างนั้นก็มีตั้งแต่พอกพูนกิเลสเหมือนกับดินพอกหางหมูไม่จบไม่สิ้น เราพยายามคลายออก มีปัญญาทั้งร้อยก็คลายทั้งร้อย ให้กลับคืนสู่สภาพเดิม คือความสะอาดความบริสุทธิ์ของใจ แล้วก็ค่อยมีปัญญาตัวใหม่เข้าไปทดแทน ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ถึงจะอยู่อย่างมีความสุข
พระเราชีเรา ฆารวาสญาติโยมที่มาอยู่วัด มีอะไรก็ให้ช่วยกันนะ มีอะไรก็ช่วยกัน ดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเป็นระเบียบนี่แหละสําคัญ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน ที่ไร่ที่นา ที่ทําการทํางาน ความเป็นระเบียบ ความสะอาด จากข้างนอกส่งเข้าต่อเข้าไปถึงข้างใน จากข้างในส่งมาถึงข้างนอก เป็นคนมีระเบียบวินัย ขยันขจัดขัดเกลากิเลสออกทีละเล็กทีละน้อย มันก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย
สํามะเลเทเมา เมาด้วยอารมณ์ เมาด้วยกิเลส ทุกคนก็มีกันหมดนั่นแหละ จะมีมากมีน้อยก็รีบแก้ไขเสีย ถ้าเราแก้ไขตัวเราไม่ได้ ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี จงบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไรก็ประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึง ขณะเรายังมีกําลังอยู่ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ตั้งใจรับพรกัน