
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 72 วันที่ 25 สิงหาคม 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 72 วันที่ 25 สิงหาคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 72
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 สิงหาคม 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ
เราพยายามสร้างความรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนกระทั่งความรู้สึกตัวตรงนี้ต่อเนื่องเชื่อมโยง เราก็จะรู้เท่าทันใจ รู้เท่าทันความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ว่าใจเกิดอย่างไร ใจปกติอย่างไร ถ้าเราสังเกตลึกลงไปอีก เห็นความคิดกับตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ถ้าเราสังเกตทันใจก็จะคลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นความคิดของอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวกัน เราก็รู้ว่าเราคิด เราก็รู้ว่าเราทำ แต่ความหลงตรงนั้นมันมีอยู่
นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง แล้วก็หัดวิเคราะห์ หัดสังเกต หัดทำความเข้าใจอยู่บ่อยๆ จนรู้เท่ารู้ทัน ตามดูรู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นความเกิดความดับของวิญญาณ เห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเข้มแข็ง เราก็จะเห็นเข้าสักวันหนึ่ง ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้ว ใจก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร ต้นเหตุอยู่ที่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผลหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะรู้ต้นเหตุหรือไม่เท่านั้นเอง
การทำบุญให้ทานการสร้างบารมีส่วนอื่น ทุกคนก็สร้างกันมาดี การทำบุญการให้ทาน ทานวัตถุ ทานยังสมมติไม่ให้ลําบาก เราต้องทำความเข้าใจให้รอบทุกเรื่องในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งหมดลมหายใจนู่นแหละ ตราบใดที่เรายังสังเกต เรายังวิเคราะห์ค้นคว้าอยู่ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจ ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี เป็นเรื่องของเราทุกคน
แต่ละวันเรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ ลักษณะของสติที่สร้างขึ้นมาเอาไปใช้การใช้งานได้แล้วหรือยัง ไม่ใช่ว่าเจริญสติแต่ไม่รู้จักเอาสติไปใช้ ถ้าสติของเรามีความเข้มแข็งต่อเนื่อง เราก็วิเคราะห์ใจของเรา ถ้าใจเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจเกิดความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ รู้จักควบคุม จนใจคลายออก เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ทางนามธรรมนั่นแหละ
ส่วนธรรมก็มีเหตุมีผล ส่วนโลกก็มีเหตุมีผล เราต้องเข้าใจเสียก่อนว่าส่วนสติปัญญาที่สร้างมานี้ เราเอาไปใช้การใช้งานได้แล้วหรือยัง ส่วนใจเราดับเราละกิเลส เราละกิเลส เราดับความเกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียดได้แล้วหรือยัง ส่วนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า เราตามดูรู้ความจริงของขันธ์ห้าได้แล้วหรือยัง ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไร จะเอาตั้งแต่บุญ สร้างบุญ อันนี้มันก็ได้อยู่ แต่มันดับทุกข์ไม่ได้ เราจงพยายาม
การกระทำให้อยู่ในกองบุญกองกุศล อันนี้ก็ทำกันอยู่ แต่การสังเกตวิเคราะห์เห็นอาการเกิดของใจ อาการเกิดของความคิดเข้าไปรวมกันตรงนี้ไม่ค่อยจะสนใจกัน แล้วก็การเจริญสติก็อาจจะมีบ้างนิดๆ หน่อยๆ คือกําลังสติก็เลยไม่ต่อเนื่อง ก็เลยเอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ เหมือนกับเราขึ้นบันได เราก็ขึ้นได้ทีละ 2-3 ขั้น แล้วก็ลงมา 2-3 ขั้นแล้วก็ลงมา ไม่ได้ขึ้นไปถึงตัวเรือน การที่จะขึ้นถึงตัวเรือน เราก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียร กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่าธาตุเป็นลักษณะอย่างไร หน้าตาอาการเวลาวิญญาณเกิดเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องรู้ให้หมด
ทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ท่านถึงบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ถ้ากําลังสติมีมาก ไปเห็นจนใจคลายได้ แยกแยะได้ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง รู้จักจุดปล่อยจุดวางได้ กําลังสติของเราก็จะกลายเป็นมหาสติ ตามดูรู้เห็นความเป็นจริง ไม่ปล่อยปละละเลย ตามดูทุกเรื่อง จากกําลังสติกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็กลายเป็นมหาปัญญา
ทำความเข้าใจ รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ด้วย ใจมองเห็นความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสก็ไม่เอา ใจไปหลงขันธ์ห้า ขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งใจเขารู้ความจริงแล้วเขาก็ละ ใจเกิดกิเลสเมื่อไรเราก็ละ
การพูดนี้ง่ายอยู่ แต่การกระทำการลงมือ เราต้องมีความเพียรเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ไม่ใช่ว่าฟังก็ได้แค่ฟัง การฟังนี่เอาไปน้อมวิธีการแนวทางหลวงพ่อก็ได้พูดอยู่ทุกวันทุกครั้งว่าการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสร้างความรู้ตัวเป็นอย่างนี้ ให้รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้ขันธ์ห้า รู้ความคิด รู้การละกิเลส รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีให้มีให้เต็มเปี่ยม
พวกท่านได้ยินได้ฟังแล้วก็ไปทำ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นนี้ ใจวิเวกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ มีความสุขสนุกสนานในการดู ในการรู้ ในการเห็น หมั่นอบรมใจจนไม่มีอะไรที่จะเข้าไปชําระสะสางได้ จนเหลือตั้งแต่กายก้อนสมมติ ใจรับรู้อยู่ ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ให้ถึงจุดหมายปลายทาง มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ก็ต้องพยายามกันทุกเรื่องในชีวิตทั้งภายนอกภายใน ทั้งสมมติทั้งวิมุตติเราก็ช่วยกันดูแล เราก็ต้องพยายามทั้งภายนอกทั้งภายใน ภายนอกสมมติเราก็ทำให้ดี เราก็ยังอาศัยสมมติอยู่ อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ เราก็ต้องพยายามช่วยกันจนถึงจุดหมายปลายทาง กว่าจะยังสมมติได้ก็ลําบาก กว่าจะมีที่พักที่อาศัย ที่อยู่ที่กิน ที่หลับที่นอน ที่บําเพ็ญได้ ก็ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียรของแต่ละยุค ยุคก่อนส่งมาถึงยุคของพวกเรา ยุคของพวกเราหมดไป ยุคหลังก็จะมาสานต่อโดยที่ไม่ได้ลําบากอะไร เราก็ช่วยกันทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้น แล้วก็หมั่นชําระสะสางกิเลสของเราด้วยจนกว่าจะกิเลสจะหมดจดจากจิตจากใจของเรา
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 สิงหาคม 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ
เราพยายามสร้างความรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนกระทั่งความรู้สึกตัวตรงนี้ต่อเนื่องเชื่อมโยง เราก็จะรู้เท่าทันใจ รู้เท่าทันความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ว่าใจเกิดอย่างไร ใจปกติอย่างไร ถ้าเราสังเกตลึกลงไปอีก เห็นความคิดกับตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ถ้าเราสังเกตทันใจก็จะคลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นความคิดของอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวกัน เราก็รู้ว่าเราคิด เราก็รู้ว่าเราทำ แต่ความหลงตรงนั้นมันมีอยู่
นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง แล้วก็หัดวิเคราะห์ หัดสังเกต หัดทำความเข้าใจอยู่บ่อยๆ จนรู้เท่ารู้ทัน ตามดูรู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นความเกิดความดับของวิญญาณ เห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเข้มแข็ง เราก็จะเห็นเข้าสักวันหนึ่ง ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้ว ใจก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร ต้นเหตุอยู่ที่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผลหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะรู้ต้นเหตุหรือไม่เท่านั้นเอง
การทำบุญให้ทานการสร้างบารมีส่วนอื่น ทุกคนก็สร้างกันมาดี การทำบุญการให้ทาน ทานวัตถุ ทานยังสมมติไม่ให้ลําบาก เราต้องทำความเข้าใจให้รอบทุกเรื่องในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งหมดลมหายใจนู่นแหละ ตราบใดที่เรายังสังเกต เรายังวิเคราะห์ค้นคว้าอยู่ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจ ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี เป็นเรื่องของเราทุกคน
แต่ละวันเรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ ลักษณะของสติที่สร้างขึ้นมาเอาไปใช้การใช้งานได้แล้วหรือยัง ไม่ใช่ว่าเจริญสติแต่ไม่รู้จักเอาสติไปใช้ ถ้าสติของเรามีความเข้มแข็งต่อเนื่อง เราก็วิเคราะห์ใจของเรา ถ้าใจเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจเกิดความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ รู้จักควบคุม จนใจคลายออก เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ทางนามธรรมนั่นแหละ
ส่วนธรรมก็มีเหตุมีผล ส่วนโลกก็มีเหตุมีผล เราต้องเข้าใจเสียก่อนว่าส่วนสติปัญญาที่สร้างมานี้ เราเอาไปใช้การใช้งานได้แล้วหรือยัง ส่วนใจเราดับเราละกิเลส เราละกิเลส เราดับความเกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียดได้แล้วหรือยัง ส่วนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า เราตามดูรู้ความจริงของขันธ์ห้าได้แล้วหรือยัง ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไร จะเอาตั้งแต่บุญ สร้างบุญ อันนี้มันก็ได้อยู่ แต่มันดับทุกข์ไม่ได้ เราจงพยายาม
การกระทำให้อยู่ในกองบุญกองกุศล อันนี้ก็ทำกันอยู่ แต่การสังเกตวิเคราะห์เห็นอาการเกิดของใจ อาการเกิดของความคิดเข้าไปรวมกันตรงนี้ไม่ค่อยจะสนใจกัน แล้วก็การเจริญสติก็อาจจะมีบ้างนิดๆ หน่อยๆ คือกําลังสติก็เลยไม่ต่อเนื่อง ก็เลยเอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ เหมือนกับเราขึ้นบันได เราก็ขึ้นได้ทีละ 2-3 ขั้น แล้วก็ลงมา 2-3 ขั้นแล้วก็ลงมา ไม่ได้ขึ้นไปถึงตัวเรือน การที่จะขึ้นถึงตัวเรือน เราก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียร กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่าธาตุเป็นลักษณะอย่างไร หน้าตาอาการเวลาวิญญาณเกิดเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องรู้ให้หมด
ทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ท่านถึงบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ถ้ากําลังสติมีมาก ไปเห็นจนใจคลายได้ แยกแยะได้ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง รู้จักจุดปล่อยจุดวางได้ กําลังสติของเราก็จะกลายเป็นมหาสติ ตามดูรู้เห็นความเป็นจริง ไม่ปล่อยปละละเลย ตามดูทุกเรื่อง จากกําลังสติกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็กลายเป็นมหาปัญญา
ทำความเข้าใจ รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ด้วย ใจมองเห็นความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสก็ไม่เอา ใจไปหลงขันธ์ห้า ขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งใจเขารู้ความจริงแล้วเขาก็ละ ใจเกิดกิเลสเมื่อไรเราก็ละ
การพูดนี้ง่ายอยู่ แต่การกระทำการลงมือ เราต้องมีความเพียรเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ไม่ใช่ว่าฟังก็ได้แค่ฟัง การฟังนี่เอาไปน้อมวิธีการแนวทางหลวงพ่อก็ได้พูดอยู่ทุกวันทุกครั้งว่าการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสร้างความรู้ตัวเป็นอย่างนี้ ให้รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้ขันธ์ห้า รู้ความคิด รู้การละกิเลส รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีให้มีให้เต็มเปี่ยม
พวกท่านได้ยินได้ฟังแล้วก็ไปทำ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นนี้ ใจวิเวกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ มีความสุขสนุกสนานในการดู ในการรู้ ในการเห็น หมั่นอบรมใจจนไม่มีอะไรที่จะเข้าไปชําระสะสางได้ จนเหลือตั้งแต่กายก้อนสมมติ ใจรับรู้อยู่ ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ให้ถึงจุดหมายปลายทาง มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ก็ต้องพยายามกันทุกเรื่องในชีวิตทั้งภายนอกภายใน ทั้งสมมติทั้งวิมุตติเราก็ช่วยกันดูแล เราก็ต้องพยายามทั้งภายนอกทั้งภายใน ภายนอกสมมติเราก็ทำให้ดี เราก็ยังอาศัยสมมติอยู่ อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ เราก็ต้องพยายามช่วยกันจนถึงจุดหมายปลายทาง กว่าจะยังสมมติได้ก็ลําบาก กว่าจะมีที่พักที่อาศัย ที่อยู่ที่กิน ที่หลับที่นอน ที่บําเพ็ญได้ ก็ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียรของแต่ละยุค ยุคก่อนส่งมาถึงยุคของพวกเรา ยุคของพวกเราหมดไป ยุคหลังก็จะมาสานต่อโดยที่ไม่ได้ลําบากอะไร เราก็ช่วยกันทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้น แล้วก็หมั่นชําระสะสางกิเลสของเราด้วยจนกว่าจะกิเลสจะหมดจดจากจิตจากใจของเรา
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน