หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 69 วันที่ 7 สิงหาคม 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 69 วันที่ 7 สิงหาคม 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 69 วันที่ 7 สิงหาคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 69
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 สิงหาคม 2560

พระเราชีเราก็พยายามดูดีๆ พิจารณาก่อนที่จะขบก่อนที่จะฉัน พิจารณาใจของตัวเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความอยากของใจเป็นอย่างไร ความหิวของกายเป็นอย่างไร กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา อาหารมากก็อาหารน้อยก็อย่าให้ใจเกิดความอยาก อย่าให้ใจเกิดความยินดี ให้พิจารณาด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้ รู้จักกะประมาณในการขบฉันของตัวเรา กายเราหิวใจจะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว ที่ท่านบอกว่าปฏิสังขาโยพิจารณาก่อนที่จะขบจะฉัน พิจารณาทุกเรื่อง

ตั้งแต่เราตื่นมาพิจารณา กายเป็นอย่างนี้ ใจเป็นอย่างนี้ การเกิดของใจเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนาม อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม เราจะไปปล่อยปละละเลยไม่ได้เลย เราต้องรู้ให้ชัดเจน อันนี้เป็นส่วนปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้เป็นส่วนใจ ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ทุกคนก็ปรารถนาที่จะเข้าให้ถึงความสุข เราต้องศึกษาค้นคว้า

ตามแนวทางของพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิต สอนเรื่องการเจริญสติ การแยกรูปแยกนาม การคลายความหลง ใจของเรานี่หลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ตั้งแต่ก่อนไม่รู้ว่าไปอยู่ภพใดบ้าง ภพน้อยภพใหญ่ ภพสูงภพต่ำ ขณะมาสร้างภพมนุษย์พระพุทธองค์ท่านให้ค้นคว้าลงไปในกายของเรานี่แหละ อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ความเกิดความดับให้รู้แจ้งเห็นจริงไม่เหลือวิสัย

ถ้าคนเราจะศึกษา ถ้าคนเราจะทำความเข้าใจ รู้จักวิธีการสร้างอานิสงส์ สร้างบุญสร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ความรับผิดชอบ มีสัจจะกับตัวเรา รู้จักฝึกฝนตัวเรา ฝึกฝนทั้งกายทั้งใจของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา การเกิดของใจเรา ก็รู้จักหยุดรู้จักดับ การหลงเข้าไปยึดในความคิดในอารมณ์ซึ่งเรียกว่า อาการของขันธ์ห้า ส่วนนามธรรม ส่วนรูปธรรมก็ร่างกายของเรา ร่างกายของเรานี่ก็ทุกข์ หนาวก็ทุกข์ ร้อนก็ทุกข์ หิวก็ทุกข์ ยืน เดิน นั่ง นอนก็ทุกข์

ท่านถึงบอกให้ทำความเข้าใจ แต่คนทั่วไปมองไม่เห็นก็เลยมายึดมาติดเป็นตัวเป็นตน ก็เป็นตัวเป็นตนในทางสมมติ เป็นร่างกายของเราในทางสมมติ ในหลักธรรมจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรเลย มีแต่ความว่างเปล่า เราต้องมาศึกษาให้เข้าถึงหลักของอนัตตา การแยกรูปแยกนามอันนี้คือส่วนรูป อันนี้คือส่วนนาม คําว่าอัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร ทำไมเราถึงมองเห็นเป็นกลุ่มเป็นก้อน เราจงมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จนเรารู้เท่ารู้ทัน รู้จักอบรมใจของเรา อันนี้ส่วนใจ อันนี้ส่วนรูป อันนี้ส่วนนาม

ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในวิญญาณในกายของเรา ให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ให้รอบรู้ในโลกธรรมแปดที่เรายังอิงอาศัยตรงนี้อยู่ ถ้าเราปล่อยเลยตามเลยใจของเราก็จะหลงอยู่อย่างงั้นแหละ ทั้งที่เราก็ว่าเราไม่หลง นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติรู้จักลักษณะของสติปัญญาที่สร้างขึ้นมาใหม่ รู้จักลักษณะของใจที่คลายจากขันธ์ห้า รู้จักลักษณะของใจที่ละกิเลส รู้จักลักษณะของใจที่ดับความเกิด ใจของคนเรานี่สอนได้ บอกตัวเองได้ใช้ตัวเองเป็น ไม่ใช่ปล่อยวัน ผัดวันประกันพรุ่ง

พระเราก็เหมือนกัน เข้ามาบวช เข้ามาศึกษาตัวเรา ความเป็นระเบียบ ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน ไม่เห็นแก่อำนาจของกิเลส ถ้าเราสอนเราไม่ได้ยากที่คนอื่นจะสอนเราได้ ตำราครูบาอาจารย์แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งนาน การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การรู้เท่ารู้ทันจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนามหรือเรียกว่า สัมมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกปรากฎเปิดทางให้ การตามดูรู้เห็นความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงของสมมติ

บุญสมมติเราก็ทำให้ดี บุญวิมุตติ การชําระใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ เราก็จะพยายามทำ พวกเรามีโอกาส โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด การกระทำของเรามีก็ได้ช่วยอนุเคราะห์พี่น้องเราทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้ อาหารตา อาหารกาย อาหารใจ อาหารใจก็คือธรรม อาหารใจก็คือพรหมวิหาร ความเมตตา มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี เห็นการเกิดการดับ ดับความเกิด คลายความหลงเสียก่อน คลายความหลง หัดสังเกตอบรมใจจนสังเกตใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า คลายความหลง อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นของความเห็นถูก เราก็ตามดูรู้เห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ แล้วก็อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน เราก็ต้องพยายาม

พระเราก็พยายาม ให้สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบทุกสิ่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน เรามีโอกาสได้มาอยู่อาศัย เราก็พยายามทำให้ดี นี่ไม่ค่อยจะลําบากเท่าไร เราพยายามละความฟุ่มเฟือยออกไปให้มันหมด พยายามขยันหมั่นเพียร ประหยัดมัธยัสถ์ แล้วก็ยังประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเห็นของมาเยอะๆ แยะๆ จะใช้แบบฟุ่มเฟือยตามอำเภอใจของกิเลสก็ไม่ได้ เราก็ต้องพยายาม จะมีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดกิเลส ให้มีด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ยังสมมติของเราไม่ให้ลําบาก

แต่ก่อนลําบากอยู่ สถานที่นี้ลําบากทั้งที่พักที่อาศัย ที่นั่งที่นอน แม้แต่ถนนหนทางเดินเข้ามาก็ลําบาก แม้แต่ที่ศาลาที่พวกท่านนั่งนี้ก็ลําบาก กว่าจะทำได้ขนดินกันเป็นเดือนสองเดือนสามเดือน ทนอยู่องค์เดียว มีแต่กองกระดูกเต็มไปหมด ขุดไปตรงไหนก็เจอแต่กองกระดูก ต้นไม้ที่จะอาศัยก็ไม่ค่อยจะมี มีแต่รากเพ็กปลูกอะไรก็ไม่เกิด อุตส่าห์ปลูก มาทะนุบํารุง มาช่วยกันหลายคนหลายท่านหลายปี ปีนู้นบ้างปีนี้บ้าง จนหาสถานที่น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ พวกเรามาอยู่ก็รู้จักช่วยกันดูแลรักษาทำความเข้าใจ

ทำความเข้าใจทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา สร้างความขยัน หมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น สร้างความเป็นระเบียบ จัดระบบระเบียบภายในใจของเรา ใจของเราทำไมถึงเกิด ใจของเราทำไมถึงหลง ใจของเราทำไมถึงเป็นทาสของกิเลส

ปัญญาทางโลกทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยมแต่ปัญญาในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมา พลิกปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม มองเห็นตามความเป็นจริง ทั้งรูปทั้งนาม ทั้งสมมติทั้งโลกธรรม เราก็จะอยู่ดีมีความสุข

ตั้งใจรับพรกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง