หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 86 วันที่ 28 พฤศจิกายน 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 86 วันที่ 28 พฤศจิกายน 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 86
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราจะหยุดไม่ได้เด็ดขาด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกไปยาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจนั่นแหละ เราพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนความรู้ตัวต่อเนื่องรู้กาย ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า รู้กาย รู้กายแล้วก็ขณะที่เรามีสติรู้กายอยู่ปัจจุบัน การเกิดของใจเราก็จะรู้ลักษณะของการเกิดของใจ ใจเขาเกิดอยู่แล้ว ใจเขาหลงเขาเกิด ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ใจเคลื่อนก็ไปรวมกับความคิดได้อย่างไร การเกิดของใจ เราก็รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็หยุดเอาไว้ ซึ่งเรียกว่า สมถะ เจริญสติเอาสติปัญญาไปอบรมใจของเรา
ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจของเรามีความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ละความโกรธ แล้วก็เจริญพรหมวิหารอยู่ในความเมตตา มองโลกด้วยความเมตตา มองโลกเห็นตามความเป็นจริง เราต้องรู้ ต้องเห็นภายในของเราให้ชัดเจน เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของใจ
ภาษาธรรมะบอกว่าใจส่งออกไปภายนอกเรียกว่า สมุทัย สาเหตุแห่งทุกข์ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้รู้เรื่อง รู้ความจริงแล้วก็ค่อยละ ค่อยละทีละเล็กละน้อย ใจเกิดความโลภ เราก็เป็นผู้ให้ผู้เอาออก ใจของเราก็จะเบาบางลงไปเรื่อยๆ ละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจของเรามีทิฏฐิ มีมานะ มีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็พยายามปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้อยู่ในความเสียสละ พยายามดำเนินอบรมใจของเราให้ได้ รู้จักแบ่งแยก อันนี้สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเอาไปใช้การใช้งาน ของดีมีในกายของเราเยอะ
เราละกิเลสได้มากเท่าไร ใจของเราก็สะอาดบริสุทธิ์ ใจไม่เกิด ใจเกิด เราก็รู้จักดับรู้จักหยุด หมุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน เราดับความเกิดของใจได้ เราไม่อยากได้ความสงบเราก็ได้ เราไม่อยากจะให้ใจของเราเที่ยง ใจของเราก็เที่ยง ความเที่ยงนั่นแหละคือ นิพพานที่ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ท่านถึงบอกว่าจิตเที่ยง นิพพานเที่ยง จิตไม่เที่ยง นิพพานไม่เที่ยง ความว่าง ความโล่ง ความโปร่ง นั่นแหละคือนิพพาน บางครั้งบางคราวก็มีปีติสุขเข้าไปหล่อเลี้ยง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ
นอกจากเป็นบุคคลที่มีบุญ มีอานิสงส์ ถึงจะเข้าถึงจุดนี้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ในการอบรมใจขัดเกลาใจ ละความเกิด ละกิเลสออกจากใจของเรา หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน อันนี้สมมติ อันนี้วิมุตติ อันนี้อัตตาอนัตตา ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ วิญญาณก็กอง รูปก็กอง ร่างกายของเรา ความคิดอารมณ์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา ต้องรู้ด้วยปัญญา ต้องเห็นด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนาเท่านั้น เราจะไปนึกไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลยสิ่งพวกนี้
นอกจากบุคคลที่เจริญสติเข้าไปรู้เห็น ทำความเข้าใจแล้ว ก็ละให้อยู่ด้วยปัญญา ดำเนินสติดำเนินตัวเองด้วยปัญญา ต้องพยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว อย่าไปทิ้งบุญ อยู่ที่ไหนก็ให้ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา
แม้ตั้งแต่ความคิดอารมณ์ต่างๆ หลักธรรมสูงขึ้นไปก็ต้องหยุด หยุดความเกิด หยุดความคิด คลายความหลง ละกิเลสให้มันหมดจด คนไม่ตายก็ต้องคิด แต่คิดด้วยสติด้วยปัญญา คิดด้วยปัญญาส่วนบนส่วนสมองให้ใจรับรู้ เราต้องวิเคราะห์ให้รู้ให้เห็นจริงๆ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ก็ต้องพยายามกันนะ พยายามกัน
อันนี้ก็ แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้ยังประโยชน์อะไรบ้าง ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ประโยชน์ส่วนรวมประโยชน์ส่วนตัว สูงขึ้นไปก็ละออกให้มันหมด เราสร้างประโยชน์เราก็ได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็ได้รับประโยชน์นั้นด้วย ก็ต้องพยายามกัน
แม้แต่การเจริญสติ เราต้องรู้จักลักษณะของสติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้กายรู้ใจ ทำความเข้าใจให้ได้ ต้องปรากฏขึ้นที่ใจกับเราจริงๆ ท่านถึงบอกให้เชื่อ พยายามสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ต้องไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราจะหยุดไม่ได้เด็ดขาด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกไปยาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจนั่นแหละ เราพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนความรู้ตัวต่อเนื่องรู้กาย ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า รู้กาย รู้กายแล้วก็ขณะที่เรามีสติรู้กายอยู่ปัจจุบัน การเกิดของใจเราก็จะรู้ลักษณะของการเกิดของใจ ใจเขาเกิดอยู่แล้ว ใจเขาหลงเขาเกิด ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ใจเคลื่อนก็ไปรวมกับความคิดได้อย่างไร การเกิดของใจ เราก็รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็หยุดเอาไว้ ซึ่งเรียกว่า สมถะ เจริญสติเอาสติปัญญาไปอบรมใจของเรา
ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจของเรามีความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ละความโกรธ แล้วก็เจริญพรหมวิหารอยู่ในความเมตตา มองโลกด้วยความเมตตา มองโลกเห็นตามความเป็นจริง เราต้องรู้ ต้องเห็นภายในของเราให้ชัดเจน เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของใจ
ภาษาธรรมะบอกว่าใจส่งออกไปภายนอกเรียกว่า สมุทัย สาเหตุแห่งทุกข์ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้รู้เรื่อง รู้ความจริงแล้วก็ค่อยละ ค่อยละทีละเล็กละน้อย ใจเกิดความโลภ เราก็เป็นผู้ให้ผู้เอาออก ใจของเราก็จะเบาบางลงไปเรื่อยๆ ละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจของเรามีทิฏฐิ มีมานะ มีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็พยายามปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้อยู่ในความเสียสละ พยายามดำเนินอบรมใจของเราให้ได้ รู้จักแบ่งแยก อันนี้สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเอาไปใช้การใช้งาน ของดีมีในกายของเราเยอะ
เราละกิเลสได้มากเท่าไร ใจของเราก็สะอาดบริสุทธิ์ ใจไม่เกิด ใจเกิด เราก็รู้จักดับรู้จักหยุด หมุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน เราดับความเกิดของใจได้ เราไม่อยากได้ความสงบเราก็ได้ เราไม่อยากจะให้ใจของเราเที่ยง ใจของเราก็เที่ยง ความเที่ยงนั่นแหละคือ นิพพานที่ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ท่านถึงบอกว่าจิตเที่ยง นิพพานเที่ยง จิตไม่เที่ยง นิพพานไม่เที่ยง ความว่าง ความโล่ง ความโปร่ง นั่นแหละคือนิพพาน บางครั้งบางคราวก็มีปีติสุขเข้าไปหล่อเลี้ยง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ
นอกจากเป็นบุคคลที่มีบุญ มีอานิสงส์ ถึงจะเข้าถึงจุดนี้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ในการอบรมใจขัดเกลาใจ ละความเกิด ละกิเลสออกจากใจของเรา หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน อันนี้สมมติ อันนี้วิมุตติ อันนี้อัตตาอนัตตา ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ วิญญาณก็กอง รูปก็กอง ร่างกายของเรา ความคิดอารมณ์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา ต้องรู้ด้วยปัญญา ต้องเห็นด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนาเท่านั้น เราจะไปนึกไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลยสิ่งพวกนี้
นอกจากบุคคลที่เจริญสติเข้าไปรู้เห็น ทำความเข้าใจแล้ว ก็ละให้อยู่ด้วยปัญญา ดำเนินสติดำเนินตัวเองด้วยปัญญา ต้องพยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว อย่าไปทิ้งบุญ อยู่ที่ไหนก็ให้ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา
แม้ตั้งแต่ความคิดอารมณ์ต่างๆ หลักธรรมสูงขึ้นไปก็ต้องหยุด หยุดความเกิด หยุดความคิด คลายความหลง ละกิเลสให้มันหมดจด คนไม่ตายก็ต้องคิด แต่คิดด้วยสติด้วยปัญญา คิดด้วยปัญญาส่วนบนส่วนสมองให้ใจรับรู้ เราต้องวิเคราะห์ให้รู้ให้เห็นจริงๆ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ก็ต้องพยายามกันนะ พยายามกัน
อันนี้ก็ แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้ยังประโยชน์อะไรบ้าง ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ประโยชน์ส่วนรวมประโยชน์ส่วนตัว สูงขึ้นไปก็ละออกให้มันหมด เราสร้างประโยชน์เราก็ได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็ได้รับประโยชน์นั้นด้วย ก็ต้องพยายามกัน
แม้แต่การเจริญสติ เราต้องรู้จักลักษณะของสติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้กายรู้ใจ ทำความเข้าใจให้ได้ ต้องปรากฏขึ้นที่ใจกับเราจริงๆ ท่านถึงบอกให้เชื่อ พยายามสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ต้องไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ