หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 56 วันที่ 4 สิงหาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 56 วันที่ 4 สิงหาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 56
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 สิงหาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วย สำเหนียกน้อมระลึกสร้างความรู้ตัว สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายก็จะสบายขึ้น การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว สัมผัสที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละท่านเรียกว่า สติรู้กาย
เราก็พยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นเพื่อที่จะไปวิเคราะห์ใจของเราว่าใจของเราเกิดได้อย่างไร ใจของเราเป็นทาสกิเลสได้อย่างไร เราจะขัดเกลากิเลสออกจากจิตออกจากใจของเราได้อย่างไร พันธะภาระหน้าที่ทางสมมติอะไรยังติดขัดอยู่ เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ตามปกติสภาพใจของทุกคนนั้น ใจตัวเดิมสะอาดบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้ใจถึงเกิด เกิด อาจจะเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่จนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ คือร่างกายของเรามาสร้างขันธ์ห้า ร่างกายของเราเข้ามาอาศัยอยู่ มีการพัฒนาเจริญเติบโตมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ จากเด็กเป็นผู้ใหญ่เจริญเติบโต ในหลักธรรมท่านว่าความเสื่อม เสื่อมขึ้นเสื่อมลง ถ้าถึงเวลาก็กลับคืนสู่สภาพเดิมคือดินน้ำลมไฟ ส่วนใจก็ไปต่อ ตราบใดที่ยังดับความเกิดไม่ได้เขาก็ต้องเกิด
ท่านให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราที่ท่านว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะลำบากเพราะว่ากิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้งทุกอย่างที่มาขัดขวางในการทำใจให้สะอาด ทำใจให้บริสุทธิ์ แล้วก็เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง พันธะภาระหน้าที่ ทั้งการงาน ทั้งครอบครัว ทั้งโลกธรรม เข้ามาฉุดมารั้งเอาไว้ ทางสมมติก็มาฉุดมารั้งเอาไว้ ก็เลยเป็นภาระเป็นอุปสรรคในการพัฒนาใจของตัวเรา
ท่านถึงบอกให้แก้ไขสมมติให้ดี แก้ไขสมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวทำหน้าที่ของสมมติให้ลงตัว ทีนี้เราก็น้อมเข้าไปดูใจของเรา สมมติเราไม่ได้ลำบาก ไม่ได้เป็นปัญหาภาระผูกมัดตัวเองแล้ว ท่านก็ให้เจริญสติลงที่กายของเรา เห็นการเกิดการดับ อบรมใจของเราจนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด ส่วนนามธรรมพลิกหงายขึ้นมา ตามดู สติตามดูใจรับรู้ เราก็เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าอัตตาเป็นอย่างนี้ อนัตตาเป็นอย่างนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นอย่างนี้ ตามดูทุกครั้งทุกเรื่องเขาก็จะจบลงที่อนัตตาความว่างเปล่า จะดีหรือไม่ดีก็จบลงที่หลักของอนัตตา จนตามดูทุกอย่าง จนเกิดความเบื่อหน่าย นี่พระพุทธองค์ให้เบื่อหน่ายในความคิดตัวนี้ว่าเป็นภัยเป็นตัวร้ายที่มาบงการใจของเราให้หมุนวนเวียนไป
ถ้าเรามาสังเกตมาวิเคราะห์ ใจคลายออกตามดูได้ ทำความเข้าใจได้เราก็จะละขันธ์ห้าออกจากใจของเรา แต่ขันธ์ห้าในส่วนร่างกายก็ยังอยู่ ส่วนใจก็ยังอยู่ ส่วนที่ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด เราก็พยายามรู้ความจริงแล้วก็ค่อยละ แล้วก็มาละกิเลสที่ใจ ดับความเกิดที่ใจ ความเกิดนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ไม่หลงก็ไม่เกิด ในเมื่อเขาเกิดมาแล้วเราก็พยายามละกิเลส ดับความเกิด คลายความหลงให้ได้ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย ทำการทำงาน ใจรับรู้ สติคอยดูวิเคราะห์พิจารณาว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง ให้พยายามรีบเร่งทำความเข้าใจขณะที่กำลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่ หาค้นคว้าสร้างทรัพย์ภายในให้เต็มเปี่ยมขณะที่ยังมีกำลังอยู่ ก็พยายามพากันทำ สมมติภายนอกก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี วิมุตติภายในตัวใจก็คลายความหลง ละกิเลส ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
แต่เวลานี้พวกเรามีศรัทธา แต่ขาดกำลังสติปัญญาที่เข้าไปถึงต้นเหตุของการเกิดการดับ การแยกรูปแยกนาม การขัดเกลากิเลส ปล่อยให้กิเลสเล่นงาน ปล่อยให้ความเกิดเล่นงานโดยที่ไม่รู้ตัว บางทีบางท่านก็อาจจะมองเห็นโลกในทางสมมติที่ถูกต้อง แต่ในหลักธรรมต้องแยกต้องคลาย ต้องทำความเข้าใจ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ค่อยแก้ไขกัน วันนี้ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า แก้ไขตัวเรา เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ทำหน้าที่ของเราให้ดีสักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ ไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 สิงหาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วย สำเหนียกน้อมระลึกสร้างความรู้ตัว สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายก็จะสบายขึ้น การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว สัมผัสที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละท่านเรียกว่า สติรู้กาย
เราก็พยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นเพื่อที่จะไปวิเคราะห์ใจของเราว่าใจของเราเกิดได้อย่างไร ใจของเราเป็นทาสกิเลสได้อย่างไร เราจะขัดเกลากิเลสออกจากจิตออกจากใจของเราได้อย่างไร พันธะภาระหน้าที่ทางสมมติอะไรยังติดขัดอยู่ เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ตามปกติสภาพใจของทุกคนนั้น ใจตัวเดิมสะอาดบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้ใจถึงเกิด เกิด อาจจะเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่จนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ คือร่างกายของเรามาสร้างขันธ์ห้า ร่างกายของเราเข้ามาอาศัยอยู่ มีการพัฒนาเจริญเติบโตมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ จากเด็กเป็นผู้ใหญ่เจริญเติบโต ในหลักธรรมท่านว่าความเสื่อม เสื่อมขึ้นเสื่อมลง ถ้าถึงเวลาก็กลับคืนสู่สภาพเดิมคือดินน้ำลมไฟ ส่วนใจก็ไปต่อ ตราบใดที่ยังดับความเกิดไม่ได้เขาก็ต้องเกิด
ท่านให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราที่ท่านว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะลำบากเพราะว่ากิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้งทุกอย่างที่มาขัดขวางในการทำใจให้สะอาด ทำใจให้บริสุทธิ์ แล้วก็เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง พันธะภาระหน้าที่ ทั้งการงาน ทั้งครอบครัว ทั้งโลกธรรม เข้ามาฉุดมารั้งเอาไว้ ทางสมมติก็มาฉุดมารั้งเอาไว้ ก็เลยเป็นภาระเป็นอุปสรรคในการพัฒนาใจของตัวเรา
ท่านถึงบอกให้แก้ไขสมมติให้ดี แก้ไขสมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวทำหน้าที่ของสมมติให้ลงตัว ทีนี้เราก็น้อมเข้าไปดูใจของเรา สมมติเราไม่ได้ลำบาก ไม่ได้เป็นปัญหาภาระผูกมัดตัวเองแล้ว ท่านก็ให้เจริญสติลงที่กายของเรา เห็นการเกิดการดับ อบรมใจของเราจนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด ส่วนนามธรรมพลิกหงายขึ้นมา ตามดู สติตามดูใจรับรู้ เราก็เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าอัตตาเป็นอย่างนี้ อนัตตาเป็นอย่างนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นอย่างนี้ ตามดูทุกครั้งทุกเรื่องเขาก็จะจบลงที่อนัตตาความว่างเปล่า จะดีหรือไม่ดีก็จบลงที่หลักของอนัตตา จนตามดูทุกอย่าง จนเกิดความเบื่อหน่าย นี่พระพุทธองค์ให้เบื่อหน่ายในความคิดตัวนี้ว่าเป็นภัยเป็นตัวร้ายที่มาบงการใจของเราให้หมุนวนเวียนไป
ถ้าเรามาสังเกตมาวิเคราะห์ ใจคลายออกตามดูได้ ทำความเข้าใจได้เราก็จะละขันธ์ห้าออกจากใจของเรา แต่ขันธ์ห้าในส่วนร่างกายก็ยังอยู่ ส่วนใจก็ยังอยู่ ส่วนที่ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด เราก็พยายามรู้ความจริงแล้วก็ค่อยละ แล้วก็มาละกิเลสที่ใจ ดับความเกิดที่ใจ ความเกิดนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ไม่หลงก็ไม่เกิด ในเมื่อเขาเกิดมาแล้วเราก็พยายามละกิเลส ดับความเกิด คลายความหลงให้ได้ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย ทำการทำงาน ใจรับรู้ สติคอยดูวิเคราะห์พิจารณาว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง ให้พยายามรีบเร่งทำความเข้าใจขณะที่กำลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่ หาค้นคว้าสร้างทรัพย์ภายในให้เต็มเปี่ยมขณะที่ยังมีกำลังอยู่ ก็พยายามพากันทำ สมมติภายนอกก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี วิมุตติภายในตัวใจก็คลายความหลง ละกิเลส ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
แต่เวลานี้พวกเรามีศรัทธา แต่ขาดกำลังสติปัญญาที่เข้าไปถึงต้นเหตุของการเกิดการดับ การแยกรูปแยกนาม การขัดเกลากิเลส ปล่อยให้กิเลสเล่นงาน ปล่อยให้ความเกิดเล่นงานโดยที่ไม่รู้ตัว บางทีบางท่านก็อาจจะมองเห็นโลกในทางสมมติที่ถูกต้อง แต่ในหลักธรรมต้องแยกต้องคลาย ต้องทำความเข้าใจ อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ค่อยแก้ไขกัน วันนี้ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า แก้ไขตัวเรา เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ทำหน้าที่ของเราให้ดีสักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ ไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ