หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 24 วันที่ 7 เมษายน 2561

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 24 วันที่ 7 เมษายน 2561
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 24 วันที่ 7 เมษายน 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 24
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 เมษายน 2561

มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็รู้สึกว่าอากาศจะเริ่มเย็น ฝนฟ้าตกเมื่อคืนก็หนักเอาการ โชคดีที่ไม่ลงตกหนัก ต้นไม้ได้ชุ่มฉ่ำ ได้ต้นสุพรรณิการ์มาปลูก 300 ต้น กะว่าจะให้ออกดอกเหลืองอร่ามเต็มป่าเต็มข้างขอบคูน้ำเมื่อวานนี้ แต่ละวันๆ ได้ประโยชน์มากมาย พวกญาติโยมเราพี่น้องเราทุกคนก็ปรารถนาอยากจะได้บุญ อยากทำบุญ ตรงนี้ศรัทธามีกันเต็มเปี่ยม แต่การเจริญสติ เจริญปัญญา เราต้องมาสร้าง มาทำความเข้าใจ ให้รู้ให้เห็นทุกอย่าง

ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ การหายใจเข้าหายใจออก ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง คำว่า ปัจจุบันธรรมที่ต่อเนื่อง เราต้องมาสร้างให้มีให้เกิด แล้วก็รู้จักเอาปัญญาไปใช้ ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลย งานสมมติ งานวิมุตติ งานสมมติคือ โลกธรรม ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเราต้องแก้ไขให้ดีทำให้ดี เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ หมั่นฝักใฝ่หมั่นสนใจ ยังประโยชน์สมมติให้สมบูรณ์ ทางด้านสมมติเราก็จะไม่ได้ลำบาก ถึงจะมีไม่มากแต่ก็อย่าให้ขาด เพราะว่าสมมติปัจจัยสี่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงทางด้านรูปธรรม ทางด้านร่างกาย ทางด้านจิตใจเราก็พยายามเจริญคุณธรรมเข้าไปกำกับให้ใจของเรามีความเมตตา มีความอ่อนน้อม มีความเมตตา ใจของเราหมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา เป็นบุคคลที่มีความขยัน เป็นบุคคลที่มีความเพียร เพียรทุกเรื่องในการขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเรา เป็นเรื่องของเราทุกคน

ทั้งพระ ทั้งโยม ทั้งชี ทั้งฆราวาสญาติโยม ต่างคนก็เกิดมาเพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน บางคนก็มีความพร้อม บางคนก็ไม่พร้อม บางคนก็พร้อมทั้งสมมติ บางคนก็พร้อมทั้งวิมุตติ มีความสุขทั้งสองทาง ทางโลกทางธรรม จะหาคนที่มีความเพียบพร้อมได้สองอย่างก็ต้องเป็นบุคคลที่ฝักใฝ่ เป็นบุคคลที่สนใจ เป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร ช่วยเหลือตัวเอง แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แล้วก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่พี่สู่น้อง ไม่ว่ากิจการงานใดยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นเราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ก็ต้องพยายามกัน

อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันปล่อยปละละเลย ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละ ความรับผิดชอบ การให้ การเอาออก การคลาย มองโลกในทางที่ดี มีสัจจะ มีความจริงใจต่อตัวเรา ละอายเกรงกลัวต่อบาป มีความกล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ ให้ควรละอายในสิ่งที่ควรละอาย แล้วก็ยังประโยชน์ ทำความเข้าใจ

แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา คำว่า สติรู้ตัว สติสัมปชัญญะ คำว่า ปัจจุบันธรรม ในทางธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก รู้ ฝึกจนเกิดความเคยชิน จนเอาสติปัญญาไปทำหน้าที่ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล

ใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงวนเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งนานแล้วก็มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าซึ่งที่เรามองด้วยตาเนื้อก็คือร่างกายของเรา ในส่วนนามธรรมคือความคิดที่เกิดๆ ดับๆ ท่านให้เจริญสติลงไปจัดการกับวิญญาณในกายของเรา เห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ เห็นการแยกการคลาย

แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งนานตั้งหลายร้อยหลายพันปี ศาสนาพุทธ ศาสนาของพุทธะ พุทธะก็คือ ผู้รู้ ยังใหม่อยู่ตลอด ใหม่อยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต ทันสมัยที่สุด ทำไมถึงว่าทันสมัยที่สุด ไม่มีศาสนาใดที่ทันสมัยเท่าศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธคือปัจจุบันธรรม คือทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออกนี่แหละที่ท่านเรียกว่า ทันสมัย เป็นศาสนาที่มีเหตุมีผล

ทุกศาสนาดีหมด ดีหมด ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีหมด แต่เรื่องพุทธศาสนานี้จะมีสอนพิเศษอยู่สิ่งหนึ่งคือเรื่องอนัตตา ความว่างเปล่าสูงกว่าเพื่อน หลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐซึ่งมีอยู่ในกายของเรา แล้วก็สอนถึงหลักอนัตตา คือการปล่อยวาง รู้จุดปล่อยรู้จุดวาง รู้จักแยกแยะจำแนกแจกแจง ศาสนาอื่นนั้นก็สอนอยู่ในพรหมวิหารอยู่ในความเมตตา ทุกศาสนาก็สอนให้ทุกคนเป็นคนดี

เราก็พยายามน้อมนำเอาคำสอนในสิ่งที่ดีๆ ประพฤติมาปฏิบัติ ไม่ว่าจะศาสนาใดก็ดี ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ถ้าพูดดีคิดดีทำดี มีเหตุมีผล เราก็ควรน้อมมาใส่ใจของเราแล้วก็มาแก้ไขใจของเรา ทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นอาจารย์สอบอารมณ์เรา เราเจริญสติไปคอยตรวจสอบใจของเรา แต่การเจริญสติมีอยู่แต่ไม่ต่อเนื่องก็เลยเอาไปใช้การใช้งานไม่ได้

อันนี้ก็คงจะใกล้ ใกล้สงกรานต์ใกล้เมษา เผลอแป๊บเดียว เผลอแป๊บเดียวก็ปี วันเดือนปีผ่านไปเร็วไว วันพรุ่งนี้ก็จะมาเป็นวันนี้ เดือนหน้าก็จะมาเป็นวันนี้ ปีหน้าก็จะมาเป็นปีนี้ ภพหน้า วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี

ขณะนี้เราอยู่ในภพมนุษย์ เราต้องมาเจริญสติจำแนกแจกแจงหาสิ่งดีๆ อยู่ในกายของเราให้เจอ ใจตัวเดิมนั้นไม่มีกิเลสหรอก เพราะความไม่รู้ ความหลง เขาถึงเกิด เขาถึงหลง เขาถึงยึด สารพัดอย่าง ท่านถึงเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเราตลอดเวลา แก้ไขใจของเราอยู่ตลอดเวลา

วิธีการแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสร้างบารมี การสร้างพรหมวิหาร การที่จะนำใจของเราเข้าสู่ความบริสุทธิ์เป็นลักษณะอย่างนี้ ได้ยิน ได้ฟัง แล้วก็น้อมสำเหนียกเข้าไปพิจารณาตัวเราแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแบบงมงายท่านให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา

ปัญญาก็มีปัญญาโลกีย์ แต่ส่วนมากเราก็ไปหลงยึดติดอยู่ที่ปัญญาโลกีย์ ปัญญาที่ใจทั้งเกิด ทั้งยึด ทั้งหลง ท่านถึงให้เจริญสติตัวใหม่สร้างให้มีให้เกิดขึ้น ส่วนสมองส่วนสติ ส่วนสมอง เอาไปอบรมใจของเราจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละ

เราเห็นการเกิดการดับ เข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจในเรื่องหลักอริยสัจ เข้าใจการเกิดการดับของจิตวิญญาณ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน บุคคลมีบุญได้ฟังนิดเดียวเจริญสติเข้าไปดู แก้ไขใจของตัวเรา อะไรยังติดขัดขาดตกบกพร่องอยู่ตรงไหน ความขยันหมั่นเพียรของเรามีความเพียงพอหรือไม่ ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ สัจจะ วิริยะ ความเพียร การสังเกต การวิเคราะห์ รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักหยุดรู้จักดับเอาไว้ เป็นเรื่องของเรา เป็นหน้าที่ของเราทุกคนไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น

การได้ยิน ได้ฟัง การได้อ่าน หรือว่าอันนี้ก็เป็นแค่เพียงสื่อความหมายของสมมติวิธีการแนวทางเท่านั้น คำสอนของพระพุทธองค์มีมานาน เราพยายามดำเนินให้รู้ ให้ถึง ให้เข้าถึง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ท่านให้เจริญสติ เจริญศีลภาวนา เจริญปัญญา ศีล ทาน ภาวนา อันนี้ก็เป็นเครื่องเสบียงเดินทางเข้าสู่ความสะอาด ความบริสุทธิ์ เราต้องทำความเข้าใจศีลสมมติศีลวิมุตติ ศีลสมมติ คือ ศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ศีลพระปาติโมกข์ นี่แหละศีลสมมติ จะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนจุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะคลายความหลง แล้วก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ก็ต้องพยายาม ค่อยสร้างสะสมไปทีละเล็กละน้อย ค่อยพัฒนา

ค่อยพัฒนาสติปัญญา พัฒนาใจของเราไปเรื่อยๆ วิบากกรรมสมมติคลายเมื่อไร เราก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ต้องถึงเดือนหน้าปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าสิ่งที่พวกเราทำก็จะเป็นเครื่องเป็นเสบียงนำทางเดินทางของเราไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ ความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน เราก็ต้องพยายาม

ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ พัฒนาตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็น จิตของคนเรานี้ฝึกได้ไม่ใช่ว่าฝึกไม่ได้ ฝึกได้ถ้าเรามีสติปัญญาเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลตามดู จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงนั่นแหละเขาก็จะ อาการเกิดเป็นทุกข์ก็จะไม่เกิด เป็นธาตุกิเลสเขาก็ไม่เอา ก็ต้องพยายามกัน หมั่นสร้างสะสมคุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศลเอาไว้ เล็กๆ น้อยๆ ค่อยสร้างสะสมไปจนเต็มเปี่ยม

ส่วนงานในวัดเรามีอะไรเราก็ช่วยกัน ทำความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเสียสละ ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร มีเหตุมีผล ละทิฏฐิ ละมานะ ละอัตตาตัวตนออกจากใจของเราให้หมด อยู่กับสมมติอย่างมีความสงบความสุข

วันที่ 13 14 สรงน้ำพระ สรงน้ำพระพระคุณเจ้า ลูกพระ ลูกเณร ลูกชี ก็ขอเชิญผู้เฒ่าผู้แก่ สรงน้ำผู้เฒ่าผู้แก่ ตามที่พวกเราได้เคยดำเนินกันมา

ตั้งใจรับพรกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง