หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 75 วันที่ 14 ตุลาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 75 วันที่ 14 ตุลาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 75
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 ตุลาคม 2561
พระเราชีเราช่วยกัน ทั้งจิตอาสาเมื่อวานนี้ก็เยอะ จิตอาสาก็เยอะ ช่วยกันเกลี่ยดินถมดินถมหน้าดิน เวลาฝนตกน้ำมันขัง ก็เอาดินมากลบหน้าดินเพื่อให้ต้นไม้ได้สวยงาม เพื่อความเป็นระเบียบ พระเราก็ช่วยกันได้เท่าไรก็เอา ทำทุกวันจนสำเร็จก็ขอขอบคุณทุกคน ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีมาช่วยกัน ทั้งจิตอาสามาช่วยกัน ใครมาเห็นก็ช่วยกัน ได้กระป๋องคนละกระป๋องสองกระป๋องมาตักเอาดินกระจายเข้าไปในป่า วันนี้ก็จะได้กระจายดินได้เท่าไรก็เอา ไม่เสร็จวันนี้ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราทำตลอดทุกวันเดี๋ยวก็เสร็จ
พระเราก็ช่วยกัน ทั้งชีเราก็ช่วยกัน ทั้งฆราวาสญาติโยมที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ก็มาช่วยกัน ความเสียสละกําลังกายกําลังใจ ถ้าเราไม่มีความเสียสละ ภายนอกไม่มีความเสียสละข้างในมันก็ยากนะ ข้างในก็ยาก เรามีความเสียสละทั้งกําลังกายกําลังใจ บางคนบางท่านนี่วิ่งใส่เลย เห็นงานนะวิ่งใส่
ความขยันหมั่นเพียรเกิดขึ้นในใจของเรา ในการกระทำของเราก็ให้ถึงพร้อมหนักเอาเบาสู้ ถ้าเราสร้างสะสมเก็บความเกียจคร้านครั้งที่หนึ่งครั้งที่สองก็หมักหมมไปเรื่อยๆ หมักหมมไปเรื่อยๆ งานภายในก็ทับถม ใจของเราก็หนักขึ้นเรื่อยๆ งานภายนอกในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวมันก็ไม่น่าดู เรามองด้วยปัญญาปรุงแต่งธรรมชาติให้เกิดเป็นธรรมชาติให้น่าอยู่ เราก็จะได้อานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ คนอื่นมาก็ได้อานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ก็ได้เกิดประโยชน์มากมาย
สร้างความขยันให้มีให้เกิดขึ้นจนติดเป็นนิสัย ขยันวิเคราะห์ภายในด้วย ขยันทำงานข้างนอกด้วย ไม่ให้ติดไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่อาจหาญกล้าหาญ มีตั้งแต่ความสุขความเจริญทั้งภายในทั้งภายนอก เราก็ต้องหมั่นพร่ำสอนใจของเรา การกระทำภายนอกเราก็ต้องถึงพร้อมตามกําลังสติปัญญาของเราทุกเรื่องในชีวิต
ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งถึงเวลานี้แหละ เวลาที่จะขบฉันนี่แหละยิ่งสำคัญใหญ่ ท่านให้พิจารณาปฏิสังขาโย กายของเราหิวหรือใจของเราเกิดความอยาก เราต้องดูรู้ใจของเรา เราจะเอาอาหารมาให้กายของเราโดยใจที่ไม่ได้อยากเป็นอย่างไร ใจเกิดความยินดีหรือไม่ ใจอยากจะได้หรือผลักไสดึงเข้ามา ยิ่งกายหิวๆ นั่นแหละ ใจยิ่งเกิดความอยากได้เร็วได้ไว ลองอดอาหารดูนะ อยากจะรู้ความอยากชัดเจน อดอาหารสักมื้อสองมื้อ หลวงพ่อก็เคยอดอยู่ อดได้ตั้งร่วมยี่สิบกว่าวัน ดื่มแต่น้ำ เดินนี่เหมือนกับตัวจะเหาะเลยทีเดียวอยู่บนหลังเขา
ใหม่ๆ ยิ่งฝึกใหม่ๆ ยิ่งเห็นชัด ยิ่งฝึกใหม่ๆ ยิ่งเห็นชัด ทั้งอดอาหาร ทั้งอดวาจา อดวาจานี่ใจนี่มันคิดตลอด ใจมันคิดมันวิ่งตลอด สมัยก่อนไม่พูด ไม่พูด แต่ใจมันคิดมันวิ่ง พอใจมันนิ่ง เอาใจอยู่แล้ว วาจามันค่อยพูด เราต้องทดสอบ วิเคราะห์พิจารณา ทำความเข้าใจ การขัดเกลา การละกิเลส ละความกลัวก็เหมือนกัน ถ้าใจยังมีความกลัวอยู่นี้ใจก็จะไม่หนักแน่น สมัยก่อนนี่ความกลัว ยิ่งฝึกใหม่ๆ นี่หลวงพ่อเข้ามาอยู่ป่าช้านี่แหละ สมัยก่อนอยู่ในบ้านพรรษาแรก ตกสองทุ่มออกมาอยู่ป่าช้า มาอยู่ตามหลุมศพ มาฝึกมาละความกลัว กลัวผีตัวไหนก็ไปนั่งอยู่กับหลุมศพอันนั้น นั่งมันกลัว นั่งกลัวก็นอน นอนก็กลัว นอนหงายก็กลัว นอนคว่ำหน้าใส่กับหลุมศพ กว่าจะละความกลัวได้ก็ใช้ความเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน อยู่กับหลุมศพโน้นบ้างหลุมศพนี้บ้าง มีคนเอามาเผาก็มานั่งเขี่ยอยู่คนเดียว มาวิเคราะห์มาพิจารณา ทั้งลมทั้งฝน มาทรมานตัวเองเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส
สมัยก่อนลําบาก เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ลําบากแล้วแหละ นี่ใครไปใครมาก็มีความสุขก็เกิดจากอนุภาพแห่งบุญของทุกคน มาช่วยกัน มาร่วมกัน ตั้งแต่ก่อนยังมาถึงทุกวัน พวกเราก็ยังได้อยู่ดีมีความสุข แต่ก็อย่าพากันประมาท พากันเร่งทำความเพียรทำความเข้าใจ รู้จักมีความเสียสละสมัครสมานสามัคคี อย่าเอาแต่งอมืองอเท้า อันนั้นก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ทำ ขอให้ฉันอยู่ดีมีสุขก็พอ
เกิดเป็นมนุษย์เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมทุกอย่าง อย่างมาวัดอย่างนี้ เราอยากจะมาค้างวัดมานอนวัดเรามีความพร้อมหรือไม่ สบู่ ยาสีฟัน เสื้อผ้า มุ้ง กลด ไม่ใช่ว่ามาแล้วก็มาให้ทางวัดลําบากหาให้ทำให้ เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมไปที่ไหนก็ไม่ได้เก้อเขิน ทางวัดก็จัดเตรียมให้ได้เฉพาะในส่วนที่จัดเตรียมให้ ตามหลักของความเป็นจริงเราต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้ทุกอย่างถึงจะเป็นบุคคลที่เข้มแข็งได้
อยู่คนเดียว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ เราต้องวิเคราะห์ใจวิเคราะห์กายของเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร ทำความเข้าใจให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น พึ่งตัวเราให้ได้ ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะพึ่งตัวเองเท่าไร ไปที่โน่นมีที่ปฏิบัติมีที่อยู่ดีหรือไม่ มีห้องส้วมห้องน้ำหรือเปล่า อยู่จุดที่ไม่ดีก็ไม่เอานะ ไปอยู่ที่ไหนให้อยู่ได้ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ อยู่กลางตลาด กลางโรงหนัง กลางป่าช้า ก็ให้ใจมีความสุข
ถ้าบุคคลที่เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วมันก็แบกอัตตาแบกกายของเราไปหนักที่นั่นบ้างไปหนักที่นี่บ้าง บางทีก็ไปตําหนิที่โน่นตําหนิที่นี่ ไม่เคยตําหนิใจตัวเองสักที ที่โน่นไม่ดีที่นี่ไม่ดี ใจของเราไม่ดีนะถึงไปตําหนิที่โน่นไปตําหนิที่นี่ ถ้าใจดี ภายนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าใจของเราไม่ดี ข้างนอกดี ใจของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม
เราต้องมาแก้ไขใจของเรา ปรับปรุงใจของเรา ตามอัตภาพตามฐานะ มองดูลงไปว่าเราขาดตกบกพร่องอะไร เราก็จะได้รีบแก้ไขตัวเรา ไม่ใช่ว่าจะไปมองตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว ข้างนอกไม่ดีเราก็ทำให้มันดีเสีย เดินเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ถ้าไม่มีกายก็ลําบาก เดินเข้าห้องส้วมห้องน้ำเราเข้าไปดู ดูมันทุกห้องแหละ ห้องไหนสะอาดเราไม่เข้า เข้าห้องสกปรกเราจะได้ทำความสะอาดได้ด้วย ได้กําไร ขณะทำความสะอาดเรามีความผลักไสหรือไม่ รังเกียจหรือเปล่า เราก็ดูใจของเรา เราก็จะได้เห็นได้ยังประโยชน์ทั้งภายในทั้งภายนอก ไปดูแล้วก็บางที่บางทางนี่ทั้งสกปรกทั้งไม่น่าเข้า สารพัดอย่าง ข้างนอกภายนอกก็ติดหนังสือธรรมเต็มไปหมด อันโน้นหัวข้อธรรมอันนี้ แต่ความสะอาดความเป็นระเบียบไม่มี นั่นแหละมันประจานตัวเอง
ไปที่ไหนถ้าเรารู้จักเอาบุญเราก็จะได้บุญ เดินไปตามถนนหนทางก็เหมือนกัน ไปเจอเศษขยะ เศษกระดาษเราพอเก็บได้เราก็เก็บให้เข้าที่เข้าทาง ไปเจอเศษเหล็กเศษตะปูเราก็เก็บ กลัวคนอื่นจะมาเหยียบ หมั่นวิเคราะห์ มีงานทั้งนั้นงานรอบข้างตัวเราเต็มไปหมด ถ้าคนเรามองหางานไม่เจอ มองหางานไม่เจอนี่ ไม่เจอตัวเองทั้งงานภายนอกก็ไม่เจอ ไปที่ไหนมันก็ไม่เห็นนะถ้าคนไม่รู้จักพิจารณา
ถ้าคนรู้จักพิจารณาแล้วก็มีแต่สิ่งที่จะทำอะไรไม่ดีก็ทำให้มันดีเสีย อย่าไปคิดว่าไม่ทำ ทำลงไปแล้วประโยชน์มันก็เกิดขึ้น เราก็พลอยได้รับประโยชน์ในสิ่งที่เราทำ คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์ในสิ่งที่เราทำ ทำเผื่อเพื่อส่วนรวม ส่วนตัวนี่ไม่ให้มี แต่เราก็ได้อาศัยในสิ่งที่พวกเราทำด้วย มันก็จะเกิดประโยชน์มากมาย
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องรู้จักวิเคราะห์พิจารณา ถ้าไม่รู้จักวิเคราะห์พิจารณาแล้วก็ยาก ยากที่จะเข้าถึงใจ ความเสียสละก็ไม่มี มีความขยันหมั่นเพียรก็ไม่มี พรหมวิหารก็ไม่มี ใจมันจะปล่อยจะวางได้อย่างไร ต้องวางให้หมด พลิกปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา ของสติปัญญา บริหารสมมติให้มีความสุข
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 ตุลาคม 2561
พระเราชีเราช่วยกัน ทั้งจิตอาสาเมื่อวานนี้ก็เยอะ จิตอาสาก็เยอะ ช่วยกันเกลี่ยดินถมดินถมหน้าดิน เวลาฝนตกน้ำมันขัง ก็เอาดินมากลบหน้าดินเพื่อให้ต้นไม้ได้สวยงาม เพื่อความเป็นระเบียบ พระเราก็ช่วยกันได้เท่าไรก็เอา ทำทุกวันจนสำเร็จก็ขอขอบคุณทุกคน ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีมาช่วยกัน ทั้งจิตอาสามาช่วยกัน ใครมาเห็นก็ช่วยกัน ได้กระป๋องคนละกระป๋องสองกระป๋องมาตักเอาดินกระจายเข้าไปในป่า วันนี้ก็จะได้กระจายดินได้เท่าไรก็เอา ไม่เสร็จวันนี้ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราทำตลอดทุกวันเดี๋ยวก็เสร็จ
พระเราก็ช่วยกัน ทั้งชีเราก็ช่วยกัน ทั้งฆราวาสญาติโยมที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ก็มาช่วยกัน ความเสียสละกําลังกายกําลังใจ ถ้าเราไม่มีความเสียสละ ภายนอกไม่มีความเสียสละข้างในมันก็ยากนะ ข้างในก็ยาก เรามีความเสียสละทั้งกําลังกายกําลังใจ บางคนบางท่านนี่วิ่งใส่เลย เห็นงานนะวิ่งใส่
ความขยันหมั่นเพียรเกิดขึ้นในใจของเรา ในการกระทำของเราก็ให้ถึงพร้อมหนักเอาเบาสู้ ถ้าเราสร้างสะสมเก็บความเกียจคร้านครั้งที่หนึ่งครั้งที่สองก็หมักหมมไปเรื่อยๆ หมักหมมไปเรื่อยๆ งานภายในก็ทับถม ใจของเราก็หนักขึ้นเรื่อยๆ งานภายนอกในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวมันก็ไม่น่าดู เรามองด้วยปัญญาปรุงแต่งธรรมชาติให้เกิดเป็นธรรมชาติให้น่าอยู่ เราก็จะได้อานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ คนอื่นมาก็ได้อานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ก็ได้เกิดประโยชน์มากมาย
สร้างความขยันให้มีให้เกิดขึ้นจนติดเป็นนิสัย ขยันวิเคราะห์ภายในด้วย ขยันทำงานข้างนอกด้วย ไม่ให้ติดไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่อาจหาญกล้าหาญ มีตั้งแต่ความสุขความเจริญทั้งภายในทั้งภายนอก เราก็ต้องหมั่นพร่ำสอนใจของเรา การกระทำภายนอกเราก็ต้องถึงพร้อมตามกําลังสติปัญญาของเราทุกเรื่องในชีวิต
ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งถึงเวลานี้แหละ เวลาที่จะขบฉันนี่แหละยิ่งสำคัญใหญ่ ท่านให้พิจารณาปฏิสังขาโย กายของเราหิวหรือใจของเราเกิดความอยาก เราต้องดูรู้ใจของเรา เราจะเอาอาหารมาให้กายของเราโดยใจที่ไม่ได้อยากเป็นอย่างไร ใจเกิดความยินดีหรือไม่ ใจอยากจะได้หรือผลักไสดึงเข้ามา ยิ่งกายหิวๆ นั่นแหละ ใจยิ่งเกิดความอยากได้เร็วได้ไว ลองอดอาหารดูนะ อยากจะรู้ความอยากชัดเจน อดอาหารสักมื้อสองมื้อ หลวงพ่อก็เคยอดอยู่ อดได้ตั้งร่วมยี่สิบกว่าวัน ดื่มแต่น้ำ เดินนี่เหมือนกับตัวจะเหาะเลยทีเดียวอยู่บนหลังเขา
ใหม่ๆ ยิ่งฝึกใหม่ๆ ยิ่งเห็นชัด ยิ่งฝึกใหม่ๆ ยิ่งเห็นชัด ทั้งอดอาหาร ทั้งอดวาจา อดวาจานี่ใจนี่มันคิดตลอด ใจมันคิดมันวิ่งตลอด สมัยก่อนไม่พูด ไม่พูด แต่ใจมันคิดมันวิ่ง พอใจมันนิ่ง เอาใจอยู่แล้ว วาจามันค่อยพูด เราต้องทดสอบ วิเคราะห์พิจารณา ทำความเข้าใจ การขัดเกลา การละกิเลส ละความกลัวก็เหมือนกัน ถ้าใจยังมีความกลัวอยู่นี้ใจก็จะไม่หนักแน่น สมัยก่อนนี่ความกลัว ยิ่งฝึกใหม่ๆ นี่หลวงพ่อเข้ามาอยู่ป่าช้านี่แหละ สมัยก่อนอยู่ในบ้านพรรษาแรก ตกสองทุ่มออกมาอยู่ป่าช้า มาอยู่ตามหลุมศพ มาฝึกมาละความกลัว กลัวผีตัวไหนก็ไปนั่งอยู่กับหลุมศพอันนั้น นั่งมันกลัว นั่งกลัวก็นอน นอนก็กลัว นอนหงายก็กลัว นอนคว่ำหน้าใส่กับหลุมศพ กว่าจะละความกลัวได้ก็ใช้ความเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน อยู่กับหลุมศพโน้นบ้างหลุมศพนี้บ้าง มีคนเอามาเผาก็มานั่งเขี่ยอยู่คนเดียว มาวิเคราะห์มาพิจารณา ทั้งลมทั้งฝน มาทรมานตัวเองเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส
สมัยก่อนลําบาก เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ลําบากแล้วแหละ นี่ใครไปใครมาก็มีความสุขก็เกิดจากอนุภาพแห่งบุญของทุกคน มาช่วยกัน มาร่วมกัน ตั้งแต่ก่อนยังมาถึงทุกวัน พวกเราก็ยังได้อยู่ดีมีความสุข แต่ก็อย่าพากันประมาท พากันเร่งทำความเพียรทำความเข้าใจ รู้จักมีความเสียสละสมัครสมานสามัคคี อย่าเอาแต่งอมืองอเท้า อันนั้นก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ทำ ขอให้ฉันอยู่ดีมีสุขก็พอ
เกิดเป็นมนุษย์เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมทุกอย่าง อย่างมาวัดอย่างนี้ เราอยากจะมาค้างวัดมานอนวัดเรามีความพร้อมหรือไม่ สบู่ ยาสีฟัน เสื้อผ้า มุ้ง กลด ไม่ใช่ว่ามาแล้วก็มาให้ทางวัดลําบากหาให้ทำให้ เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมไปที่ไหนก็ไม่ได้เก้อเขิน ทางวัดก็จัดเตรียมให้ได้เฉพาะในส่วนที่จัดเตรียมให้ ตามหลักของความเป็นจริงเราต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้ทุกอย่างถึงจะเป็นบุคคลที่เข้มแข็งได้
อยู่คนเดียว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ เราต้องวิเคราะห์ใจวิเคราะห์กายของเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร ทำความเข้าใจให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น พึ่งตัวเราให้ได้ ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะพึ่งตัวเองเท่าไร ไปที่โน่นมีที่ปฏิบัติมีที่อยู่ดีหรือไม่ มีห้องส้วมห้องน้ำหรือเปล่า อยู่จุดที่ไม่ดีก็ไม่เอานะ ไปอยู่ที่ไหนให้อยู่ได้ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ อยู่กลางตลาด กลางโรงหนัง กลางป่าช้า ก็ให้ใจมีความสุข
ถ้าบุคคลที่เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วมันก็แบกอัตตาแบกกายของเราไปหนักที่นั่นบ้างไปหนักที่นี่บ้าง บางทีก็ไปตําหนิที่โน่นตําหนิที่นี่ ไม่เคยตําหนิใจตัวเองสักที ที่โน่นไม่ดีที่นี่ไม่ดี ใจของเราไม่ดีนะถึงไปตําหนิที่โน่นไปตําหนิที่นี่ ถ้าใจดี ภายนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าใจของเราไม่ดี ข้างนอกดี ใจของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม
เราต้องมาแก้ไขใจของเรา ปรับปรุงใจของเรา ตามอัตภาพตามฐานะ มองดูลงไปว่าเราขาดตกบกพร่องอะไร เราก็จะได้รีบแก้ไขตัวเรา ไม่ใช่ว่าจะไปมองตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว ข้างนอกไม่ดีเราก็ทำให้มันดีเสีย เดินเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ถ้าไม่มีกายก็ลําบาก เดินเข้าห้องส้วมห้องน้ำเราเข้าไปดู ดูมันทุกห้องแหละ ห้องไหนสะอาดเราไม่เข้า เข้าห้องสกปรกเราจะได้ทำความสะอาดได้ด้วย ได้กําไร ขณะทำความสะอาดเรามีความผลักไสหรือไม่ รังเกียจหรือเปล่า เราก็ดูใจของเรา เราก็จะได้เห็นได้ยังประโยชน์ทั้งภายในทั้งภายนอก ไปดูแล้วก็บางที่บางทางนี่ทั้งสกปรกทั้งไม่น่าเข้า สารพัดอย่าง ข้างนอกภายนอกก็ติดหนังสือธรรมเต็มไปหมด อันโน้นหัวข้อธรรมอันนี้ แต่ความสะอาดความเป็นระเบียบไม่มี นั่นแหละมันประจานตัวเอง
ไปที่ไหนถ้าเรารู้จักเอาบุญเราก็จะได้บุญ เดินไปตามถนนหนทางก็เหมือนกัน ไปเจอเศษขยะ เศษกระดาษเราพอเก็บได้เราก็เก็บให้เข้าที่เข้าทาง ไปเจอเศษเหล็กเศษตะปูเราก็เก็บ กลัวคนอื่นจะมาเหยียบ หมั่นวิเคราะห์ มีงานทั้งนั้นงานรอบข้างตัวเราเต็มไปหมด ถ้าคนเรามองหางานไม่เจอ มองหางานไม่เจอนี่ ไม่เจอตัวเองทั้งงานภายนอกก็ไม่เจอ ไปที่ไหนมันก็ไม่เห็นนะถ้าคนไม่รู้จักพิจารณา
ถ้าคนรู้จักพิจารณาแล้วก็มีแต่สิ่งที่จะทำอะไรไม่ดีก็ทำให้มันดีเสีย อย่าไปคิดว่าไม่ทำ ทำลงไปแล้วประโยชน์มันก็เกิดขึ้น เราก็พลอยได้รับประโยชน์ในสิ่งที่เราทำ คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์ในสิ่งที่เราทำ ทำเผื่อเพื่อส่วนรวม ส่วนตัวนี่ไม่ให้มี แต่เราก็ได้อาศัยในสิ่งที่พวกเราทำด้วย มันก็จะเกิดประโยชน์มากมาย
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องรู้จักวิเคราะห์พิจารณา ถ้าไม่รู้จักวิเคราะห์พิจารณาแล้วก็ยาก ยากที่จะเข้าถึงใจ ความเสียสละก็ไม่มี มีความขยันหมั่นเพียรก็ไม่มี พรหมวิหารก็ไม่มี ใจมันจะปล่อยจะวางได้อย่างไร ต้องวางให้หมด พลิกปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา ของสติปัญญา บริหารสมมติให้มีความสุข
ตั้งใจรับพรกัน