หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 54 วันที่ 1 สิงหาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 54 วันที่ 1 สิงหาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 54
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 สิงหาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พวกท่านได้พากันสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเราเองแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
ความเคยชินเก่าๆ ตื่นขึ้นมาแล้วก็ลุกไปเลย ตามความเป็นจริงเราต้องพยายามเจริญสติสร้างความรู้ตัว อบรมใจ จะลุกจะก้าวจะเดิน มีสติสั่งกาย ใจรับรู้ แต่เวลานี้ใจเป็นตัวสั่ง ขันธ์ห้าเป็นตัวสั่ง ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดนั่นแหละ กับตัวใจ ความเกิดเขาเกิดอยู่ตลอดเวลา เรามาเปลี่ยนสติปัญญาตัวใหม่ มาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่อบรมใจ แล้วหนุนกำลังสติปัญญาไปใช้การใช้งาน
ใจของคนเรานี้หลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาเกิด ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ในเมื่อเขามาเกิด มาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างร่างกายของเรา แล้วก็มาอาศัยอยู่ในร่างกายก้อนนี้ แล้วก็เกิดต่อ แล้วก็กลับมาอยู่ในกายใหม่ เกิดต่อยังไม่พอ ยังมีอาการของขันธ์ห้าซึ่งเขาสร้างขึ้นมา ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรม มีอยู่สี่ส่วนรวมกับตัวใจ ส่วนตัวที่ห้าคือร่างกาย คือก้อนรูป
พระพุทธองค์ท่านถึงให้สร้างความรู้ตัว เจริญสติลงที่กาย ไปสังเกตใจ สังเกตไม่ทันเราก็หยุดเอาไว้ ดับเอาไว้ด้วยวิธีการเจริญสมถะ อยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับการเดินบ้าง ทำอย่างไรถึงใจ ให้ใจของเราสงบ จนกระทั่งสติของเราสังเกตเห็นใจคลายออกจากความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด หงายขึ้นมา นั่นแหละถึงจะได้เรียกว่า ความเห็นถูก เห็นถูกเพียงแค่เริ่มต้นหรือว่าสัมมาทิฏฐิ
การตามดูรู้เห็น เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ แล้วก็ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอาการของขันธ์ห้า ทั้งตัวใจหรือว่าตัววิญญาณเวลาดับไปแล้วความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่เข้ามาอีก แถมใจก็เกิดเป็นกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความยึด สารพัดอย่าง เรามาช่วยกันขัด ช่วยกันแกะ ช่วยกันทำความเข้าใจในชีวิตของตัวเรา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ หัดน้อมเข้าไปวิเคราะห์ จนกว่าใจจะถึงจุดหมายคือความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น อย่าไปปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่
ส่วนการทำบุญให้ทานนั้นทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ศรัทธาก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่เป็นศรัทธาที่ยังขาดปัญญา ทำความเข้าใจให้รอบเท่านั้นเอง เราพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต หลวงพ่อก็จะพูดตั้งแต่เรื่องเดียวนี่แหละ เพราะว่ามันเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราเอาการเอางานเป็นการปฏิบัติทำการทำงาน ท่านถึงบอกว่ารอบรู้ในกองสังขาร ในขันธ์ห้า รอบรู้ในวิญญาณ ในกาย รอบรู้ในปัจจัยสี่ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ความเป็นอยู่ทางสมมติเราก็ไม่ได้ลำบาก
ส่วนทางด้านจิตใจเราก็ดับความเกิด ละกิเลสให้หมดจด ไม่หมดวันนี้ก็ต้องหมดพรุ่งนี้ ไม่หมดพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ไม่หมดจริงๆ เขาก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ตราบใดที่มีความเกิด ตายทางด้านรูปธรรม ตายทางด้านนามธรรม เรามาดับความเกิดให้ได้ขณะที่ยังจิตวิญญาณยังอาศัยกายนี้อยู่ อย่าไปเสียดายอาลัยอาวรณ์กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ พยายามยกระดับใจของเราให้อยู่เหนือหมดทุกอย่าง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
ก็ต้องพยายามกันนะ ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี เรารู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางแล้วก็พากันไปทำ หนักเบาเอาสู้ ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน ทุกเรื่องนั่นแหละตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอรู้ตัวปุ๊บ สติรู้กาย สติรู้ใจ จะลุกจะก้าวจะเดิน จนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้ จะขบจะฉัน เราก็ต้องดูว่ากายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก พิจารณาใจของตัวเรา ถ้าใจยังเกิดอยู่เราก็พยายามควบคุม ที่นั่นที่นี่ใจของเราก็จะช้าลงๆๆ จนอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา สติปัญญาของเราก็จะเร็วไวขึ้น เร็วไวขึ้นจนเต็มรอบ จนเป็นมหาสติ มหาปัญญา รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ เหมือนกับกงจักรหมุนรอบใจของเราตลอดเวลา อยู่เหนือกรรม เหนือบุญ เหนือบาป ไม่ยึดติด สร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ ละอกุศลเจริญกุศล ก็ต้องพยายามกัน ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 สิงหาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พวกท่านได้พากันสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเราเองแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
ความเคยชินเก่าๆ ตื่นขึ้นมาแล้วก็ลุกไปเลย ตามความเป็นจริงเราต้องพยายามเจริญสติสร้างความรู้ตัว อบรมใจ จะลุกจะก้าวจะเดิน มีสติสั่งกาย ใจรับรู้ แต่เวลานี้ใจเป็นตัวสั่ง ขันธ์ห้าเป็นตัวสั่ง ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดนั่นแหละ กับตัวใจ ความเกิดเขาเกิดอยู่ตลอดเวลา เรามาเปลี่ยนสติปัญญาตัวใหม่ มาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่อบรมใจ แล้วหนุนกำลังสติปัญญาไปใช้การใช้งาน
ใจของคนเรานี้หลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาเกิด ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ในเมื่อเขามาเกิด มาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างร่างกายของเรา แล้วก็มาอาศัยอยู่ในร่างกายก้อนนี้ แล้วก็เกิดต่อ แล้วก็กลับมาอยู่ในกายใหม่ เกิดต่อยังไม่พอ ยังมีอาการของขันธ์ห้าซึ่งเขาสร้างขึ้นมา ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรม มีอยู่สี่ส่วนรวมกับตัวใจ ส่วนตัวที่ห้าคือร่างกาย คือก้อนรูป
พระพุทธองค์ท่านถึงให้สร้างความรู้ตัว เจริญสติลงที่กาย ไปสังเกตใจ สังเกตไม่ทันเราก็หยุดเอาไว้ ดับเอาไว้ด้วยวิธีการเจริญสมถะ อยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับการเดินบ้าง ทำอย่างไรถึงใจ ให้ใจของเราสงบ จนกระทั่งสติของเราสังเกตเห็นใจคลายออกจากความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด หงายขึ้นมา นั่นแหละถึงจะได้เรียกว่า ความเห็นถูก เห็นถูกเพียงแค่เริ่มต้นหรือว่าสัมมาทิฏฐิ
การตามดูรู้เห็น เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ แล้วก็ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอาการของขันธ์ห้า ทั้งตัวใจหรือว่าตัววิญญาณเวลาดับไปแล้วความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่เข้ามาอีก แถมใจก็เกิดเป็นกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความยึด สารพัดอย่าง เรามาช่วยกันขัด ช่วยกันแกะ ช่วยกันทำความเข้าใจในชีวิตของตัวเรา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ หัดน้อมเข้าไปวิเคราะห์ จนกว่าใจจะถึงจุดหมายคือความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น อย่าไปปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่
ส่วนการทำบุญให้ทานนั้นทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ศรัทธาก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่เป็นศรัทธาที่ยังขาดปัญญา ทำความเข้าใจให้รอบเท่านั้นเอง เราพยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต หลวงพ่อก็จะพูดตั้งแต่เรื่องเดียวนี่แหละ เพราะว่ามันเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราเอาการเอางานเป็นการปฏิบัติทำการทำงาน ท่านถึงบอกว่ารอบรู้ในกองสังขาร ในขันธ์ห้า รอบรู้ในวิญญาณ ในกาย รอบรู้ในปัจจัยสี่ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ความเป็นอยู่ทางสมมติเราก็ไม่ได้ลำบาก
ส่วนทางด้านจิตใจเราก็ดับความเกิด ละกิเลสให้หมดจด ไม่หมดวันนี้ก็ต้องหมดพรุ่งนี้ ไม่หมดพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ไม่หมดจริงๆ เขาก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ตราบใดที่มีความเกิด ตายทางด้านรูปธรรม ตายทางด้านนามธรรม เรามาดับความเกิดให้ได้ขณะที่ยังจิตวิญญาณยังอาศัยกายนี้อยู่ อย่าไปเสียดายอาลัยอาวรณ์กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ พยายามยกระดับใจของเราให้อยู่เหนือหมดทุกอย่าง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
ก็ต้องพยายามกันนะ ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี เรารู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางแล้วก็พากันไปทำ หนักเบาเอาสู้ ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน ทุกเรื่องนั่นแหละตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอรู้ตัวปุ๊บ สติรู้กาย สติรู้ใจ จะลุกจะก้าวจะเดิน จนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้ จะขบจะฉัน เราก็ต้องดูว่ากายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก พิจารณาใจของตัวเรา ถ้าใจยังเกิดอยู่เราก็พยายามควบคุม ที่นั่นที่นี่ใจของเราก็จะช้าลงๆๆ จนอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา สติปัญญาของเราก็จะเร็วไวขึ้น เร็วไวขึ้นจนเต็มรอบ จนเป็นมหาสติ มหาปัญญา รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ เหมือนกับกงจักรหมุนรอบใจของเราตลอดเวลา อยู่เหนือกรรม เหนือบุญ เหนือบาป ไม่ยึดติด สร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ ละอกุศลเจริญกุศล ก็ต้องพยายามกัน ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน