หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 51 วันที่ 26 กรกฏาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 51 วันที่ 26 กรกฏาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ปี 2561 ลำดับที่ 51
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร(หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พวกท่านได้พากันได้เจริญสติหรือว่าสร้างความรู้ตัว เข้าไปอบรมใจ เข้าไปรู้ใจของตัวเราเองแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่นี่แหละที่ท่านเรียกว่า สติ สติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้ตัวอยู่ทุกขณะปัจจุบัน ทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม ความคิดเก่าที่เกิดจากใจ เกิดจากอาการของใจ อันนี้มีกันทุกคนเขาเรียกว่า ขันธ์ห้า ความรู้ตัวตัวใหม่ที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเขาเรียกว่า สติ ถ้าเรารู้เท่ารู้ทัน รู้จักอบรมใจของเรา จำแนกแจกแจง ใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไรเราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์คำว่า อัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลักษณะอย่างนี้ การเจริญสติเราต้องให้รู้ชัดเจน แล้วก็ให้รู้ให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
การเจริญสติก็เพื่อที่จะไปอบรมใจของเรา ถ้าเราจำแนกแจกแจงใจออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ การรู้แจ้งเห็นจริงก็จะไม่ปรากฏขึ้น เราถึงได้มาทำความเข้าใจ มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา แล้วก็น้อมใจเข้ามาปฏิบัติทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การวิเคราะห์ การสังเกต การจำแนกแจกแจงให้รู้ชัดเจนแต่ละชิ้นแต่ละส่วน ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่มีทิฏฐิมานะ ใจที่มีกิเลสเราก็รู้จักละ รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักควบคุม รู้จักวิเคราะห์ รู้จักพิจารณา
แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีน้อย เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องก็ยังลำบากอยู่ ส่วนที่จะเอาไปใช้การใช้งานนั้นก็เลยไม่ทันเพราะว่าความคิดเก่าปัญญาเก่า เขาไปก่อน ซึ่งเรียกว่า ปัญญาโลกีย์ ถ้าเราเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าได้ หรือว่าแยกรูปแยกนามได้นั่นแหละที่ท่านว่าเห็นถูก สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกในข้อแรก ในการเดินทางเรียกว่า อริยมรรคในองค์แปด ก็เห็นถูกตั้งแต่ข้อแรก เราตามทำความเข้าใจเราก็จะรู้เรื่อง รู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้าของเรา ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกันทุกคน
ใจของเราทุกคนเขาหลงมาเกิด ทำไมถึงว่าหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความเกิดนั่นแหละ คือ ความหลงอันละเอียด เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มาเป็นทาสกิเลสอีก กิเลสก็มีหลายชนิด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด นิวรณธรรม มลทินต่างๆ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปขัดไปเกลา แล้วก็พยายามทำหน้าที่ของเราด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ใจของเรามีความแข็งกระด้างแล้วก็ละความแข็งกระด้าง ใจของเรามีกิเลสแล้วก็ละกิเลส ใจของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจของเราส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ
เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน อันนี้สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ วิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม นามธรรมเป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณ กองรูป กองนาม กองกุศล กองอกุศล เรื่องอดีตเรื่องอนาคต
เราก็ต้องพยายามศึกษาในกายของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ที่ท่านบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ ตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมา เอาไปอบรมใจของเรา เอาไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจยอมรับความเป็นจริงเขาก็จะปล่อยวางได้ เป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
ส่วนพันธะภาระหน้าที่ทางสมมุติเราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ตื่นขึ้นมาอะไรยังขาดตกบกพร่อง ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน เราก็ต้องพยายามทำหน้าที่ของเราไม่ให้ทางสมมติของเราลำบาก ส่วนด้านวิมุตทางด้านจิตใจเราก็แก้ไขไปด้วย แก้ไขใจของเราไปด้วย แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่เรื่อง ใจของเราส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราละได้หรือไม่ เราละได้ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ถ้าเรารู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ เราก็จะเข้าใจในชีวิต มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไรมาอย่างไร
คนเราเกิดมาหมดลมหายใจก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ในหลักธรรมท่านให้ละบาป สร้างบุญ แล้วก็ไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาป อยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม ทำความเข้าใจด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ปล่อยวางด้วยสติด้วยปัญญา เราไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข เราพยายามยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้ถึงจุดหมาย
อันนี้ก็ใกล้จะเข้าจะถึง จะเข้าพรรษาก็คงจะเป็นวันพรุ่งนี้เป็นวันที่อาสาฬหบูชา เป็นวันปวารณาเข้าพรรษาของทุกของพระสงฆ์องค์เจ้า มีโอกาสก็ขอเชิญมาร่วมบุญมาทำบุญมาไหว้พระสวดมนต์เวียนเทียนที่องค์หลวงปู่ใหญ่ปางลีลา
ถ้าใครมีความขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียรนี้ต้องพยายามเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รู้กายรู้ใจ แยกรูปแยกนาม เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในชีวิตของเรา ท่านก็สอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละไม่ได้สอนเรื่องอะไร ท่านก็ชี้เหตุชี้ผลให้เห็นเหตุเห็นผล ให้เข้าถึงความหมายนั้นๆ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ก็ต้องพยายามกันนะ
ทั้งพระใหม่พระเก่า เราต้องเป็นผู้ใหม่ ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน อยู่ตลอดเวลา หมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไปที่ไหนเราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนหรือว่า เจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าหายใจออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร(หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พวกท่านได้พากันได้เจริญสติหรือว่าสร้างความรู้ตัว เข้าไปอบรมใจ เข้าไปรู้ใจของตัวเราเองแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่นี่แหละที่ท่านเรียกว่า สติ สติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้ตัวอยู่ทุกขณะปัจจุบัน ทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม ความคิดเก่าที่เกิดจากใจ เกิดจากอาการของใจ อันนี้มีกันทุกคนเขาเรียกว่า ขันธ์ห้า ความรู้ตัวตัวใหม่ที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเขาเรียกว่า สติ ถ้าเรารู้เท่ารู้ทัน รู้จักอบรมใจของเรา จำแนกแจกแจง ใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไรเราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์คำว่า อัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลักษณะอย่างนี้ การเจริญสติเราต้องให้รู้ชัดเจน แล้วก็ให้รู้ให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
การเจริญสติก็เพื่อที่จะไปอบรมใจของเรา ถ้าเราจำแนกแจกแจงใจออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ การรู้แจ้งเห็นจริงก็จะไม่ปรากฏขึ้น เราถึงได้มาทำความเข้าใจ มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา แล้วก็น้อมใจเข้ามาปฏิบัติทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การวิเคราะห์ การสังเกต การจำแนกแจกแจงให้รู้ชัดเจนแต่ละชิ้นแต่ละส่วน ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่มีทิฏฐิมานะ ใจที่มีกิเลสเราก็รู้จักละ รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักควบคุม รู้จักวิเคราะห์ รู้จักพิจารณา
แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีน้อย เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องก็ยังลำบากอยู่ ส่วนที่จะเอาไปใช้การใช้งานนั้นก็เลยไม่ทันเพราะว่าความคิดเก่าปัญญาเก่า เขาไปก่อน ซึ่งเรียกว่า ปัญญาโลกีย์ ถ้าเราเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าได้ หรือว่าแยกรูปแยกนามได้นั่นแหละที่ท่านว่าเห็นถูก สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกในข้อแรก ในการเดินทางเรียกว่า อริยมรรคในองค์แปด ก็เห็นถูกตั้งแต่ข้อแรก เราตามทำความเข้าใจเราก็จะรู้เรื่อง รู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้าของเรา ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกันทุกคน
ใจของเราทุกคนเขาหลงมาเกิด ทำไมถึงว่าหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความเกิดนั่นแหละ คือ ความหลงอันละเอียด เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มาเป็นทาสกิเลสอีก กิเลสก็มีหลายชนิด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด นิวรณธรรม มลทินต่างๆ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปขัดไปเกลา แล้วก็พยายามทำหน้าที่ของเราด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ใจของเรามีความแข็งกระด้างแล้วก็ละความแข็งกระด้าง ใจของเรามีกิเลสแล้วก็ละกิเลส ใจของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจของเราส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ
เราต้องจำแนกแจกแจงให้ชัดเจน อันนี้สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ วิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม นามธรรมเป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณ กองรูป กองนาม กองกุศล กองอกุศล เรื่องอดีตเรื่องอนาคต
เราก็ต้องพยายามศึกษาในกายของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ที่ท่านบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ ตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมา เอาไปอบรมใจของเรา เอาไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจยอมรับความเป็นจริงเขาก็จะปล่อยวางได้ เป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
ส่วนพันธะภาระหน้าที่ทางสมมุติเราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี ตื่นขึ้นมาอะไรยังขาดตกบกพร่อง ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน เราก็ต้องพยายามทำหน้าที่ของเราไม่ให้ทางสมมติของเราลำบาก ส่วนด้านวิมุตทางด้านจิตใจเราก็แก้ไขไปด้วย แก้ไขใจของเราไปด้วย แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่เรื่อง ใจของเราส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราละได้หรือไม่ เราละได้ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ถ้าเรารู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ เราก็จะเข้าใจในชีวิต มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไรมาอย่างไร
คนเราเกิดมาหมดลมหายใจก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ในหลักธรรมท่านให้ละบาป สร้างบุญ แล้วก็ไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาป อยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม ทำความเข้าใจด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ปล่อยวางด้วยสติด้วยปัญญา เราไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข เราพยายามยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้ถึงจุดหมาย
อันนี้ก็ใกล้จะเข้าจะถึง จะเข้าพรรษาก็คงจะเป็นวันพรุ่งนี้เป็นวันที่อาสาฬหบูชา เป็นวันปวารณาเข้าพรรษาของทุกของพระสงฆ์องค์เจ้า มีโอกาสก็ขอเชิญมาร่วมบุญมาทำบุญมาไหว้พระสวดมนต์เวียนเทียนที่องค์หลวงปู่ใหญ่ปางลีลา
ถ้าใครมีความขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียรนี้ต้องพยายามเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รู้กายรู้ใจ แยกรูปแยกนาม เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในชีวิตของเรา ท่านก็สอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละไม่ได้สอนเรื่องอะไร ท่านก็ชี้เหตุชี้ผลให้เห็นเหตุเห็นผล ให้เข้าถึงความหมายนั้นๆ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ก็ต้องพยายามกันนะ
ทั้งพระใหม่พระเก่า เราต้องเป็นผู้ใหม่ ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน อยู่ตลอดเวลา หมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไปที่ไหนเราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนหรือว่า เจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าหายใจออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ