หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 34 วันที่ 3 มิถุนายน 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 34 วันที่ 3 มิถุนายน 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 34
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 มิถุนายน 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย พวกเราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ลักษณะของความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ แล้วก็พยายามหัดรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดอาการของใจเป็นลักษณะอย่างนี้ อาการของความคิด ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด ผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่ต่อเนื่องเราก็จะเห็น ถ้าความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่องเราก็ไม่เห็น เราก็จะไปมั่นหมายเอาความคิดที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า คิดก็รู้ทำก็รู้ นั่นแหละเขาหลง ใจของเราหลงเกิดเข้าไปร่วมกับขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่ในกายของเรา
เราจงพยายามสร้างความรู้ตัวตัวใหม่หรือว่าเจริญสติให้ต่อเนื่อง เอาไปอบรมใจของเรา แต่เวลานี้ความรู้ตัว สติที่เราสร้างขึ้นมาบางครั้งก็มีกำลังนิดหน่อย บางครั้งก็ไม่มีกำลังก็เลยสู้ความคิดเก่าไม่ได้ เราพยายามอดทนอดกลั้น สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น รู้จักแก้ไขใจของเรา รู้จักแก้ไขกายวาจาใจของเราให้อยู่ในความปกติ ใจของเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาเกิดมาสร้างภพมนุษย์ ซึ่งนั่งอยู่นี่แหละ มีขันธ์ห้า เรียกว่า ขันธ์ห้า แล้วก็มาหลงมายึดเข้ามาส่งต่อ
ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กาย วิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ จนละกิเลสได้หมดจด ดับความเกิดของใจได้ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่าน อันนี้เป็นแค่เพียงสื่อภาษาสมมติ เราจงพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้น จนปรากฏขึ้นแก่กายแก่ใจของเรา
ท่านถึงบอกให้เชื่อ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การสังเกต การวิเคราะห์ ใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากความคิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ กายทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมะซึ่งเรียกว่า สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง
ทุกคนก็มีอานิสงส์ ทุกคนก็มีบุญ สร้างบุญกันมาอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การเจริญสติเอาสติปัญญาไปใช้ ตรงนี้มีไม่เพียงพอ มีกระท่อนกระแท่น บางครั้งก็น้อยบ้าง บางครั้งก็มากบ้าง เหมือนกับขึ้นบันได ขึ้นได้ทีละ 2-3 ขั้น ก็ถอยกลับลงมา ไม่ยอมขึ้นให้ถึงขั้นสุดท้ายก้าวเข้าถึงตัวเรือน การสังเกตใจคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละ เราก้าวขึ้นบันไดขึ้นถึงตัวเรือน เพียงแค่เริ่มต้นความเห็นถูก ทีนี้เราก็ต้องปัดกวาดบ้านเรือนของเรา หรือปัดกวาดกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจากใจของเราให้มันหมดจด จนกว่าใจของเราสะอาดบริสุทธิ์
แม้แต่การเกิดของใจเราก็ต้องดับ การได้ยินได้ฟัง การพูดการจานั้นง่ายอยู่ แต่การลงมือทำจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ มองเห็นความเกิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ปล่อยปละละเลย ความเกิดของใจนั่นแหละคือความหลงอันลุ่มลึก ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่เวลานี้เขาหลงมาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองไว้มิด แล้วก็เป็นทาสกิเลส แล้วก็ส่งต่อออกไปภายนอกอีก เราก็ต้องพยายามกัน
วันนี้เห็นว่าจะได้มีการบวชนาคอีก 5 ท่าน 5 คน ขอเชิญญาติโยม เรามีโอกาสก็ไปร่วมบวชนาคด้วยกัน ประมาณบ่ายโมง บ่ายโมงก็จะได้ทำพิธีบวช เช้านี้พ่อนาคแม่นาคก็จะได้พากันปลงผม เรามาบวชเพื่อแสวงหาจิตใจของเรา เพื่อที่จะมาอบรมใจของเราตามแนวทางของพระพุทธองค์ ว่าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิต คำสอนของท่านเป็นลักษณะอย่างไร คำว่าอัตตา อนัตตา เป็นลักษณะอย่างไร สมมติ วิมุตติ เป็นลักษณะอย่างไร หลักของอริยสัจ การแยกรูปแยกนาม การตามดูรู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเราเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย แล้วก็ทำความเข้าใจได้ด้วย ถึงจะน้อมนำคำสอนของท่านมาที่ใจของเรา ซึ่งเรียกว่า น้อมนำพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พุทธะก็คือผู้รู้ รู้อะไร สติปัญญารู้ใจนั่นแหละเขาเรียกว่ารู้ ใจเป็นธาตุรู้ สติเป็นผู้รู้ เราพยายามดำเนินเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเราให้ได้ ทุกขณะ ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก จนกว่าจะหมดลมหายใจ
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่งสบาย สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปทำ ไปศึกษาให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 มิถุนายน 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย พวกเราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ลักษณะของความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ แล้วก็พยายามหัดรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดอาการของใจเป็นลักษณะอย่างนี้ อาการของความคิด ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด ผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันที่ต่อเนื่องเราก็จะเห็น ถ้าความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่องเราก็ไม่เห็น เราก็จะไปมั่นหมายเอาความคิดที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า คิดก็รู้ทำก็รู้ นั่นแหละเขาหลง ใจของเราหลงเกิดเข้าไปร่วมกับขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่ในกายของเรา
เราจงพยายามสร้างความรู้ตัวตัวใหม่หรือว่าเจริญสติให้ต่อเนื่อง เอาไปอบรมใจของเรา แต่เวลานี้ความรู้ตัว สติที่เราสร้างขึ้นมาบางครั้งก็มีกำลังนิดหน่อย บางครั้งก็ไม่มีกำลังก็เลยสู้ความคิดเก่าไม่ได้ เราพยายามอดทนอดกลั้น สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น รู้จักแก้ไขใจของเรา รู้จักแก้ไขกายวาจาใจของเราให้อยู่ในความปกติ ใจของเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาเกิดมาสร้างภพมนุษย์ ซึ่งนั่งอยู่นี่แหละ มีขันธ์ห้า เรียกว่า ขันธ์ห้า แล้วก็มาหลงมายึดเข้ามาส่งต่อ
ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กาย วิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ จนละกิเลสได้หมดจด ดับความเกิดของใจได้ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่าน อันนี้เป็นแค่เพียงสื่อภาษาสมมติ เราจงพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้น จนปรากฏขึ้นแก่กายแก่ใจของเรา
ท่านถึงบอกให้เชื่อ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การสังเกต การวิเคราะห์ ใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากความคิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ กายทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมะซึ่งเรียกว่า สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง
ทุกคนก็มีอานิสงส์ ทุกคนก็มีบุญ สร้างบุญกันมาอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การเจริญสติเอาสติปัญญาไปใช้ ตรงนี้มีไม่เพียงพอ มีกระท่อนกระแท่น บางครั้งก็น้อยบ้าง บางครั้งก็มากบ้าง เหมือนกับขึ้นบันได ขึ้นได้ทีละ 2-3 ขั้น ก็ถอยกลับลงมา ไม่ยอมขึ้นให้ถึงขั้นสุดท้ายก้าวเข้าถึงตัวเรือน การสังเกตใจคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละ เราก้าวขึ้นบันไดขึ้นถึงตัวเรือน เพียงแค่เริ่มต้นความเห็นถูก ทีนี้เราก็ต้องปัดกวาดบ้านเรือนของเรา หรือปัดกวาดกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจากใจของเราให้มันหมดจด จนกว่าใจของเราสะอาดบริสุทธิ์
แม้แต่การเกิดของใจเราก็ต้องดับ การได้ยินได้ฟัง การพูดการจานั้นง่ายอยู่ แต่การลงมือทำจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ มองเห็นความเกิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ปล่อยปละละเลย ความเกิดของใจนั่นแหละคือความหลงอันลุ่มลึก ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่เวลานี้เขาหลงมาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองไว้มิด แล้วก็เป็นทาสกิเลส แล้วก็ส่งต่อออกไปภายนอกอีก เราก็ต้องพยายามกัน
วันนี้เห็นว่าจะได้มีการบวชนาคอีก 5 ท่าน 5 คน ขอเชิญญาติโยม เรามีโอกาสก็ไปร่วมบวชนาคด้วยกัน ประมาณบ่ายโมง บ่ายโมงก็จะได้ทำพิธีบวช เช้านี้พ่อนาคแม่นาคก็จะได้พากันปลงผม เรามาบวชเพื่อแสวงหาจิตใจของเรา เพื่อที่จะมาอบรมใจของเราตามแนวทางของพระพุทธองค์ ว่าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิต คำสอนของท่านเป็นลักษณะอย่างไร คำว่าอัตตา อนัตตา เป็นลักษณะอย่างไร สมมติ วิมุตติ เป็นลักษณะอย่างไร หลักของอริยสัจ การแยกรูปแยกนาม การตามดูรู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเราเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย แล้วก็ทำความเข้าใจได้ด้วย ถึงจะน้อมนำคำสอนของท่านมาที่ใจของเรา ซึ่งเรียกว่า น้อมนำพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พุทธะก็คือผู้รู้ รู้อะไร สติปัญญารู้ใจนั่นแหละเขาเรียกว่ารู้ ใจเป็นธาตุรู้ สติเป็นผู้รู้ เราพยายามดำเนินเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของเราให้ได้ ทุกขณะ ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก จนกว่าจะหมดลมหายใจ
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่งสบาย สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปทำ ไปศึกษาให้รู้ทุกอิริยาบถ