หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 119

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 119
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 119
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติพวกเราก็วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่แต่ก่อน ซึ่งมีอยู่เดิม ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกมองเข้าไปดู รู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เสียงก็สักแต่ว่าเสียง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่งลมหายใจ ถ้าเราเอาใจไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจนี้ หน้าอกจะแน่นทันทีเลย หายใจก็อึดอัด ถ้าเราเอาสติส่วนบนไปเพ่ง สมองก็จะตึงทันทีเลย

เพียงแค่เราพยายามฝึกการหายใจเข้าหายใจออกให้เป็นธรรมชาติ มีความรู้สึกรับรู้ว่าขณะลมหายใจเข้าก็รับรู้อยู่ หายใจออกก็รับรู้อยู่ ไม่เข้าใจ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน หายใจยาวเป็นอย่างนี้นะ หายใจออกยาวเป็นอย่างนี้ หายใจเข้าสั้นเป็นอย่างนี้ ออกสั้นเป็นอย่างนี้ มีความรู้สึกกระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกนั้นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ หายใจเข้าเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ หายใจออกเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ พอเราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง จาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง นาที 2 นาทีเป็น 4 เป็น 5 เป็น 10 นาทีขึ้นไปเรื่อยๆ

ขณะที่เรามีความรู้ตัวอยู่นี้แหละ บางครั้งใจก็จะก่อตัวเกิดปรุงแต่งส่งออกไป บางครั้งก็มีอาการของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ความคิดจากใจเกิดจากขันธ์ห้า ตรงนี้มีอยู่เดิม ถ้าความคิดก่อตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ ถ้าเกิดจากใจแล้วเราก็รู้จักหยุดจักดับ ใช้สมถะกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจยาวๆ ความนึกคิดก็จะดับไป ใจก็จะกลับมาอยู่ที่กายของเรา

ส่วนอาการของความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดมันผุดขึ้นมาเมื่อไหร่ ขณะที่เรารู้ลมหายใจอยู่ เราก็พยายามวางลมหายใจ รู้อาการของความคิดนั้นว่าเขาก่อตัวอย่างไร ขณะที่เรารู้ทัน ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง บางครั้งเขาก็เข้าไปรวม บางครั้งเขาก็ไม่เข้าไปรวม ขณะที่เขาเข้าไปรวมถ้าเรารู้ทันปุ๊บใจจะดีดออกจากความคิด ออกจากอาการของขันธ์ห้าทันที เหมือนกับเราตัดหนังยางตึงๆ แล้วก็ดีดออกจากกัน แล้วก็จะหงายขึ้นมา เขาจะแยกของเขาเอง เราไม่ต้องไปว่าเราจะแยกอย่างไร ไปจับอย่างไรเพียงแค่เรารู้ให้ทัน เรารู้ทันแล้วเขาก็จะแยกออกของเขาเอง ใจก็จะโล่ง ว่าง กายก็จะเบา

ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เป็นเรื่องอะไรบ้าง เรื่องอดีตเขาเรียกว่า ‘กองของสัญญา’ เรื่องความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ของสังขาร ส่วนใจเป็นกองวิญญาณ กองรู้ บางทีก็เป็นเฉยๆ บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นกุศลบ้าง เราพยายามดูรู้เห็นให้ชัดเจน

ทีนี้เราก็มาละกิเลสที่ใจ ใจเกิดกิเลสเราก็มาละกิเลสที่ใจ สร้างความเสียสละ สร้างความอดทนสร้างตบะ หมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา หมั่นสังเกต ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ตามดูตามรู้ ตามเห็น ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน กิเลสหยาย หรือว่ากิเลสละเอียดกิเลสเกิดขึ้นที่กายใจส่งเสริมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือว่าเกิดจากภายใน เราต้องพยายาม

ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในวิญญาณในกายของเรา และก็รอบรู้ในโลกธรรม ที่ใจคลายออกจากขันธ์ห้านั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก เราพยายามหัดสังเกตให้รู้ต้นเหตุเสียก่อน ให้แยกให้คลายได้เสียก่อน ความรู้ต่างๆ ก็จะ กำลังสติของเราก็จะค้นคว้า รู้ด้วย เห็นด้วย ตามดูได้ด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ค่อยละออกไปทีละเล็กทีละน้อย กิเลสก็จะเหือดแห้งไปๆๆ จนในที่สุดก็หมดจด ดับความเกิดที่ใจ

การพูดง่าย แต่การลงมือจริงๆ ต้องสร้างตบะ สร้างบารมีทุกลมหายใจเข้าออกเป็นเรื่องของตัวเราเองทุกคนไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เรารู้จักวิธีการแล้ว เรารู้จักแนวทางแล้ว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้กายเป็นอย่างไรบ้าง ใจเป็นอย่างไรบ้าง หมั่นสำรวจสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร พลั้งเผลอเมื่อไหร่เริ่มใหม่ นิวรณธรรมที่เข้ามาครอบงำเป็นอย่างไร เรามีความเกียจคร้านเราก็ละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร เรามีความโกรธเราก็ดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี เรามีความโลภ เราก็พยายามขัดเกลาออก ออกด้วยการให้ด้วยการช่วยเหลือ ด้วยการอนุเคราะห์ ด้วยการให้อภัย อภัยทาน อโหสิกรรม ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลสที่เกิดขึ้นกับใจของเรา ไม่ต้องไปกลัวว่าจะอดจะอยากหรอก ขัดเกลาเอาออกให้มันหมด เรายิ่งได้ทรัพย์ภายใน ใจที่ปราศจากกิเลส เขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง ใจที่ไม่หลงยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า เขาก็ปล่อยวางอัตตาตัวตนได้

นี้แหละเราต้องเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เข้าใจคำว่า ‘รูป นาม’ เป็นอย่างไร การละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด การทำความเข้าใจ การสร้างบารมี ในแต่ละวันเรามีความขยันเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ถ้าเราเข้าใจ เราก็อยู่กับบุญทันที เดินไปเราก็ได้บุญ มองเห็นอะไรไม่ดี ไม่สะอาด เราก็ทำให้มันสะอาด ให้น่าดู น่าอยู่เสีย เข้าห้องส้วม ห้องน้ำ เราก็ได้บุญ ตรงไหนไม่ดี ไม่สะอาดเราก็เข้าห้องนั้น เลือกเข้าห้อง ห้องไหนสะอาดเราก็ไม่เข้า เข้าห้องที่มันสกปรกเราจะได้ทำความสะอาดด้วย เราก็ถ้าไม่มีความเสียสละ เราก็ทำไม่ได้ นั้นแหละเราก็ได้บุญ พยายามสร้างบุญให้เกิดขึ้น ความเสียสละให้เกิดขึ้น ทีนี้เราจะเอาจะมีจะเป็นความรับผิดชอบของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ พรหมวิหารของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ อุเบกขาของเรามีหรือไม่ ต้องเป็นอุเบกขาที่ใจคลายออกจากขันธ์ห้า อุเบกขาด้วยปัญญา

หลายสิ่งหลายอย่างที่พูดให้ฟังนี้ก็เป็นแค่เพียงปลีกย่อย เราก็ต้องพยายามดำเนินให้รู้ฐานเสียก่อน ให้แยกแยะให้ได้ ตามดูให้ได้ ความรู้ก็จะมากขึ้นๆ คลายออกจากใจของเราให้หมด สติปัญญาของเราก็จะล้นออกไปสู่สมมติ ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร การแยกรูป รส กลิ่นเสียง ออกจากใจเป็นอย่างไร ทวารทั้งหก หู ตา จมูก ลิ้น กายเขาทำหน้าที่อย่างไร นี้แหละเราจะมีความสุข มีความสุขในการดูในการรู้ มีความสุขขยันหมั่นเพียรด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา

ทุกสิ่งทุกอย่างเราก็จะมองเห็นหนทางเดิน ไม่ต้องไปแวะเล่นที่โน้นบ้าง แวะเล่นที่นี่บ้าง เดินตรงให้ถึงจุดหมายปลายทาง หมดความสงสัย หมดความลังเล ที่จะไปติดขัดในสิ่งต่างๆ มีได้แต่จะเดินให้ถึงจุดหมาย พอมองเห็นชัดเจน การเป็นทาสของกิเลส มันก็เป็นทุกข์ การเกิดก็เป็นทุกข์เป็นทาสขันธ์ห้าก็เป็นทุกข์

ความเกิดนั้นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความเกิดของวิญญาณ หรือว่าความเกิดของใจ หรือความคิดที่เกิดจากใจ คนเราถ้าละความเกิดดับความเกิดไม่ให้คิด นี่แหละท่านให้เอาปัญญาทำหน้าที่แทน คิดด้วยปัญญา ทำด้วยปัญญา ถ้าจะคิด คิดแต่เฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด ใจนี้ไม่ให้คิดเลย ไม่ให้เกิดเลย คลายความหลงละกิเลส แล้วก็ดับความเกิด ถ้าใจเกิดเมื่อไหร่ ก็จะเข้าสู่หลักของอริยสัจ ใจส่งออกไปภายนอกเฉพาะตัวใจ ทั้งส่งออกไป ทั้งหลงขันธ์ห้า ทั้งเป็นทาสกิเลส ถึงขนาดนั้นเราก็ยังรู้ว่า เราก็ยังบอกตัวเองว่าเราไม่หลง

ตราบใดที่เรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ว่าแต่ก่อนนั้น เราอาจจะมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่ความสืบต่อ ความต่อเนื่อง กำลังของสติก็เลยมีไม่เพียงพอ ถ้าเราพยายามสร้างขึ้นมาทำความเข้าใจให้ชัดเจน อันนี้คือสติที่เราสร้างขึ้นมานะ อันนี้คือใจนะ ส่วนมากความตั้งใจ ความเกิดของใจนี้ก็ไปด้วยแรงบุญแรงกุศล แต่ความเกิดนั้นแหละปิดกั้นตัวใจเอาไว้เสียแล้วในระดับชั้นละเอียด ทีนี้ก็ขันธ์ห้าก็มาปิดกั้นตัวใจอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดก็มาปิดกั้นตัวใจอีก นิวรณธรรมก็มาปิดกั้นตัวใจอีก สมมติก็มาปิดกั้นตัวใจอีก หลงทั้งสมมติ หลงทั้งวิมุตติถ้าเราไม่เข้าใจ

ถ้าเราเข้าใจแล้วก็มันจะมองเห็นหนทางทะลุปรุโปร่งจะขัดเกลาออกจากจิตจากใจของเราให้หมดจด จนถึงจุดหมายปลายทาง จนไม่มีอะไรที่จะค้นคว้า จนไม่มีอะไรที่จะเหลือ ก็มีตั้งแต่ความเพียร เพียรจนที่สิ้นสุด จนไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็มีได้แต่สติปัญญากาย สติปัญญา สติสมาธิ เขาก็จะรักษาเราเองถึงเวลานั้น

การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน เป็นแค่เพียงรูปแบบ เป็นแค่เพียงการเล่าสู่กันฟัง สื่อความหมายสื่อภาษาเท่านั้นเอง เราต้องพยายามไปฝึก อย่าไปคิดว่าไม่ฝึก อย่าไปคิดว่าเรามีปัญญาแล้วปัญญาเราเยอะแล้ว อันนั้นเป็นปัญญาโลกีย์ ปัญญาโลก ไม่ใช่ปัญญาธรรมที่จะเข้าไปขัดเกลากิเลสได้ ไม่ใช่ปัญญาธรรมที่จะทำให้ใจสะอาดบริสุทธิ์ได้ เราต้องพลิกปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม เอาไปใช้ จะคิดพิจารณาก็เรื่องของปัญญา ก็ต้องพยายามนะ

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็พากันไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ นี่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ จะเอาแต่ตัวใหญ่ๆ มันก็เลยไม่ได้ ต้องพยายาม

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันสักพักหนึ่ง ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อ ให้รู้เท่าทันทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง