หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 110

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 110
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 110
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 110
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 ตุลาคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ นั่งอดทนสร้างตบะต่ออีกสักนิดหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง หรือว่าได้เจริญสติตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย เราอย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา

เอาตั้งแต่ตื่นขึ้น ลักษณะของความรู้ตัว ถ้าความรู้สึกไม่ชัดเจนก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แรงๆ อย่าไปบังคับอย่าไปบีบ การสูดลมหายใจยาวผ่อนลมหายใจยาวๆ ก็รู้สึกว่าสบายใจขึ้น ใจของเราก็จะหยุด สงบตั้งมั่นขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน เราพยายามหัดสังเกต สังเกตอยู่บ่อยๆ หัดสังเกตอยู่ให้เกิดติดเป็นนิสัยตั้งแต่ตื่นขึ้น เราก็จะได้รู้ชัดเจนว่า ตัวสติที่เราได้สร้างขึ้นมานี้แต่ก่อนนั้นอาจจะมีอยู่บ้างกะปริดกะปรอยไม่ต่อเนื่อง เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ความคิดที่เกิดจากใจบ้างเกิดจากขันธ์ห้าบ้าง เราก็รู้อยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่

การเกิดการดับ ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แต่เราไม่รู้ว่าเราหลงนะ นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ ท่านให้มาค้นลงที่กายของเรา มาเจริญมาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ ใจเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งเป็นทาสกิเลส เขาหลงมานาน ท่านถึงให้เจริญสติตัวใหม่ให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็เอาไปควบคุมใจแล้วก็ไปอบรมใจ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า นั่นแหละ ‘สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นถูก’ ในหลักธรรมถึงจะเปิดทางให้ เพียงแค่ใจหงายใจคลาย สัมมาทิฏฐิเปิดทางให้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม

ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผล ล้วนแต่มีเหตุมีผล ในทางธรรมก็มีเหตุมีผล ส่วนนามธรรม ส่วนรูปธรรมก็มีเหตุมีผล เขาถึงว่าเหตุผลระดับของโลกีย์ เหตุผลของโลกุตระ รู้ด้วยเห็นด้วย อะไรคืออัตตาอนัตตา อะไรคือสมมติวิมุตติ อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตาในกายของเรา ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมเป็นอย่างไร เราอาจจะมองเห็นตั้งแต่วัตถุด้วยตาเนื้อ ถูกผิดก็เห็นอยู่ในระดับของตาเนื้อ ตาโลกีย์ ตาปัญญา แต่ในหลักธรรมแล้วเรายังแยกไม่ได้คลายไม่ได้ ใจยังไม่ได้หงายออกรับรู้ เห็นลักษณะหน้าตาอาการของกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ อาการของความคิดเป็นอย่างนี้ ที่ท่านบอกว่ามันเป็นทุกข์ มันไม่เที่ยง มันเป็นอนัตตา มันเป็นได้ยังไง เราก็มองเห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่

ถ้าเราปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ให้ปรากฏขึ้นที่กายที่ใจของเรา ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแบบงมงาย เราเข้ามาน้อมนำเอาพระรัตนตรัยเข้ามาเป็นที่พึ่ง เราก็ต้องพยายามเข้าให้ถึงคำสอนของท่าน สอนว่าอย่างไร

การดับทุกข์ คำว่า 'ทุกข์' อะไรคือทุกข์ ความไม่เที่ยงนั่นแหละทุกข์ ความคิดของเรามันไม่เที่ยง เกิดๆ ดับๆ ถึงเป็นฝ่ายนามธรรมท่านก็ว่าเป็นทุกข์ กายของเราก็เป็นก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็มีการเกิด การเสื่อม ความชราคร่ำคร่าก็เข้ามา ธาตุสี่ขันธ์ห้าก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

ถ้าเรามาพิจารณาวิเคราะห์ดูอยู่บ่อยๆ เราก็จะเริ่มเห็นอะไรดีๆ เยอะในร่างกายของเรา คำว่า ‘วิญญาณในกาย’ เป็นอย่างไร ตัวใจนั่นแหละมันเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ปกติเป็นอย่างไร คำว่า ‘ศีล-สมาธิ-ปัญญา’ ศีลสมมติเป็นอย่างไร ศีลวิมุตติเป็นอย่างไร อะไรคือโลก อะไรคือธรรม เราจะไปทิ้งอะไรไม่ได้เลย เราต้องทำความเข้าใจให้ได้หมดแล้วก็คลายใจออกให้รับรู้ ก็อยู่กับสมมติอย่างมีความสุข เพราะว่ากายก็เป็นก้อนสมมติ เราจะไปหนีสมมติไปอยู่ที่ไหนเราก็แบกสมมติไปด้วย เราก็ต้องทำความเข้าใจเสีย อันนี้คือใจ

แต่เวลานี้ใจของเรามันมีตั้งแต่กิเลส ถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปดูไปรู้เราก็จะว่ามันไม่มี ถ้ากำลังสติของเรารู้เท่ารู้ทันรู้กันรู้แก้ เห็นชัดเจนทุกอย่าง นี่...มันมีมากมายมหาศาลจริงๆ เพราะว่าความหลงปิดกั้นเอาไว้ ปิดกั้นเอาไว้ไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ชาติอัดอั้นกันมา แค่ในภพของมนุษย์นี่ก็เหมือนกับดินพอกหางหมูเลยทีเดียว เราต้องพยายามขัดเกลาเอาออก เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เรามีความเสียสละ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ

คำว่า 'เดิน' ต้องเดินให้มันถึงจุดหมาย ชี้เหตุชี้ผลให้ใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ รู้จักจุดปล่อยจุดวางได้นั่นแหละเขาถึงจะปล่อยจะวาง อยากจะวางแต่ไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวาง จุดปล่อยจุดวางก็คือใจที่คลายจากขันธ์ห้า แยกจากกันห้า ความเห็นถูกก็ปรากฏขึ้น เราก็ตามสำรวจทำความเข้าใจต่อว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ

หลวงพ่อก็พูดของเก่าอยู่ทุกวันนี้แหละ พวกท่านก็พากันไปทำให้ปรากฏให้เห็นเถอะหลวงพ่อก็จะย้ำให้เข้าถึงต้นเหตุให้ได้เสียก่อน ถ้ารู้ต้นเหตุ ปลายเหตุมันก็จะค่อยตามมาเอง เราต้องพยายามเข้าไปถึงต้นเหตุ หาเหตุ แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่หาเหตุมาทับถมดวงใจของตัวเอง ไม่หาเหตุที่จะคลายกิเลสออก

แต่ละวันๆ ใจของเรามันเบาบางหรือไม่ ใจของเราเกิดความโลภ เราละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก ให้ทั้งทางด้านวัตถุทาน ให้อภัยทานอโหสิกรรม ใจของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ให้อภัยอโหสิกรรม ใจของเรามีอคติเพ่งโทษ เราก็พยายามมองโลกในทางที่ดี เลือกเอาเฉพาะส่วนที่มันดีๆ อะไรไม่ดีเราก็กำจัดออกไปเสีย ในกายของเรานี่แหละ ไม่ต้องไปเอาของคนอื่น เอาของเรานี่แหละ เป็นเรื่องของเรา

ใจยึดขันธ์ห้า คำว่า ‘ขันธ์ห้า’ มันมีอะไรบ้างก็ต้องตรวจดูให้มันหมด ใจเกิดกิเลส กิเลสตัวไหนบ้างก็ต้องละออกให้มันหมด นอกนั้นก็มีตั้งแต่เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ความเสียสละเข้าไปทดแทน จิตใจของเราก็เบาบาง มองเห็นทะลุปรุโปร่ง

อย่าไปปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีโอกาสไม่มีวาสนา ทุกคนมีโอกาสวาสนาหมดนั่นแหละ บางคนก็สร้างมาดีเพียบพร้อมทั้งสมมติเพียบพร้อมทั้งวิมุตติ บางคนก็มีแต่สมมติส่วนวิมุตติทางด้านจิตใจก็เถลไถลออกนอกลู่นอกทาง บางคนก็พร้อมทั้งสองอย่าง

เราก็ต้องมาศึกษาทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราให้มันอยู่ในความบริสุทธิ์สะอาด ให้อยู่ในความเป็นกลาง ให้อยู่ในความว่าง บริหารสมมติด้วยปัญญาจนกว่าจะหมดลมหายใจ อานิสงส์เกิดขึ้นตลอดเวลา ถ้าเรารู้จักเอาบุญ บุญก็อยู่ที่กายวาจาใจ ล้นออกไปสู่สมมตินั่นแหละ ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง