หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 25
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 25
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 25
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 16 มีนาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน สามเณร..สามเณรบวชใหม่ ดูดีๆ นะ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง กะประมาณในการขบฉันของเรา ถ้าใจเกิดความอยากก็ไม่เอา ห้ามเอา ให้ผ่านเลยไป ผ่านเลยไปแล้วก็ยังเสียดายอาลัยอาวรณ์อยู่หรือเปล่า เราก็ต้องดู ฝึกทีละเล็กละน้อยวันละเล็กละน้อย โตขึ้นไปก็จะได้เก่งๆ ทั้งพระทั้งชีนั่นแหละ ฝึกทุกคนนั่นแหละ ไม่ใช่เฉพาะสามเณร อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่เช้า ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ เราได้เจริญสติอบรมใจของเราแล้วหรือยัง รู้จักวิธีการเจริญสติ รู้จักลักษณะของการสร้างสติ รู้จักควบคุมใจ รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย ยิ่งเวลาขบฉันนี่แหละสำคัญ กายก็หิวใจก็เกิดความอยากปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย อันนั้นก็ของชอบอันนี้ก็ของชอบ ใจมันบอกว่าเอาเยอะๆ กลัวไม่อิ่ม เอาเยอะๆ แล้วเวลาทานจริงๆ ก็ทานได้นิดเดียว กิเลสมันเล่นงาน จะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักแก้ไขตั้งแต่ต้นเหตุมันก็ไม่ได้ธรรม ใจเกิดความอยากเมื่อไหร่ก็ให้ดับ ให้ดับมันอยากไม่เอาให้มัน ให้มันผ่านเลยไป
มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา เราก็จะได้วิเคราะห์พิจารณาอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรม เจริญสติเป็นเพื่อนใจ อบรมใจ แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า เรามีความเสียสละ ผ่านการผ่านเวลา รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักสร้างขึ้นมา ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต ชีวิตของคนเรานี้มีอะไรบ้าง ประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง ที่ท่านบอกว่าธาตุสี่ ธาตุสี่ ขันธ์ห้าก็ร่างกายของเรานี่แหละ ธาตุสี่ ขันธ์ห้า มีวิญญาณก็ตัวใจของเรานี่แหละมาครอบครอง ทำไมใจถึงเกิดทำไมใจถึงหลง ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปลงที่กาย แล้วก็ให้ลึกลงไปถึงต้นเหตุของใจ
ใจเกิดตรงไหน ความคิดก่อตัวตรงไหนเราดับตรงนั้นก็ถึงตัวใจ แต่ว่าใจไม่มีตัวมีตน ทำอย่างไรล่ะเราถึงจะรู้ ความรู้สึกรับรู้มีอยู่เหมือนกับในศาลาหลังนี้ ในศาลาหลังนี้แต่มีอากาศอยู่ ในกายของเราก็มีใจอยู่เหมือนกัน แต่เราไม่มองเห็นอากาศแต่รู้ว่าอากาศมีอยู่ ในกายของเราก็มีใจมีวิญญาณเหมือนกัน แต่เรามองไม่เห็น แต่เราต้องเจริญสติ สร้างความรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็ลึกลงไปก็จะรู้ใจ เพราะว่าการเกิดการดับของใจมีตลอดเวลา การเกิดการดับของขันธ์ห้ามีตลอดเวลา
เราไปมั่นหมายเอาใจเอาขันธ์ห้าเป็นปัญญา อันนั้นก็เป็นปัญญาอยู่แต่เป็นปัญญาโลกีย์ ไม่ใช่ปัญญาโลกุตระที่จะเข้าไปละทุกข์ละกิเลสได้ ต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากส่วนสมองที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนบนหรือว่าเจริญสติ ส่วนสมองจนปัญญาเจริญสติให้ต่อเนื่อง กำลังสติของเราก็จะไปคลายไปแยกรูปแยกนาม เห็นใจคลายออกแยกรูปแยกนามได้ก็จะกลายเป็นปัญญา ปัญญาแล้วก็ตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่องก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จนเป็นปัญญารอบรู้ในวิญญาณในกองสังขารในร่างกายของตัวของเรา เรายังเดินปัญญาไม่ถึงจุดโน้นเราก็พยายามสร้างตบะสร้างความเพียร
เรามีความเสียสละ จิตใจของเราเบาบางจากกิเลสหรือไม่ จิตใจของเราละความตระหนี่เหนียวแน่น มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป มีความกล้าหาญอาจหาญ กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญมีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีสัจจะความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง มีความกตัญญูกตเวทีสิ่งพวกนี้ก็จะเป็นบารมี เป็นตบะเป็นบารมีคอยส่งเสริมใจของเราให้เบาบางจากกิเลส จากน้อยๆ จนเต็มเปี่ยม
อานิสงส์บุญบารมีศรัทธาทุกคนมี การฝักใฝ่สนใจมีอานิสงส์บุญกันอยู่ แต่เป็นบุญระดับของสมมติ บุญระดับของวิมุตติของด้านจิตใจเราก็ต้องเจริญสติด้วย เจริญสติทำความเข้าใจ เห็นเหตุเห็นผล เห็นการแยกการคลาย แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเรา
กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีหมด มีเยอะแยะ ถ้าเราไม่ฝึก เราไม่เจริญสติเราก็ไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ เราก็นึกว่าเราไม่มี มันไม่ใช่ ความเกิดของใจนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุดที่ปิดบังอำพรางตัวใจเอาไว้ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความหลงทำให้ใจเกิด เกิดแล้วก็ยังมาเพาะไม่พอก็เป็นทาสกิเลสอีก ทั้งดีทั้งไม่ดี กุศลอกุศลก็เป็นกิเลส ทั้งอยากทั้งไม่อยากก็เป็นกิเลส เพราะว่าใจยังไม่ได้อยู่ในความเป็นกลาง ความว่างไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่นแต่กิเลสฝ่ายอกุศลนำไปในสถานที่ลำบาก ถ้าเป็นกิเลสฝ่ายกุศลก็นำไปในสู่สถานที่มีความสุข
ในหลักธรรมแล้วท่านก็ให้ละบาปสร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาป ไม่เข้าไปหลงเข้าไปยึด แต่เราก็อยู่กับบุญเพราะว่าใจของเราเป็นบุญ เราไม่อยากจะได้บุญเราก็ได้บุญเพราะว่าใจของเรามีความสุข ความสุขนั่นแหละคือตัวบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็ทำประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันนี้ให้ดี
วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี แต่เวลานี้เราอยู่ในภพมนุษย์ เราต้องมาค้นคว้าให้กระจ่างเสียก่อน ก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมดไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ถ้าไม่ถึงเวลาก็ไม่ตาย ถ้าถึงเวลาแล้วอะไรมาฉุดมารั้งเอาไว้ก็ไม่อยู่
มาขอโลงศพทุกวัน บางทีก็ตีสอง ตีสาม ตีห้า ก็ตีสี่มา..มารับเอาวันละ 2 โลง 3 โลงอยู่อย่างเนี้ย แต่ละวันแต่ละคืน หมดไปตั้ง 1,600-1,700 กว่าโลงแล้ว จับมานั่งในศาลาคงล้นเนอะ คงไม่พอนั่งกัน เก็บสะสมวันละเล็กวันละน้อยได้ตั้ง 1,000 กว่า ญาติโยมก็มาร่วมกันมาช่วยกัน ญาติโยมบางท่านก็นำโลงมาบริจาคก็มี บางคนบางท่านก็นำทุนทรัพย์มาช่วย มาช่วยอนุเคราะห์ให้เพราะว่าหลวงพ่อก็อนุเคราะห์ให้ศพละ 5,000 ทั้งผ้าไตรจีวร ดอกไม้ ธูปเทียน ผ้าขาวอนุเคราะห์ให้ตรงนี้ ช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องของเรา เป็นบุญ เป็นบุญที่ตั้งรอเอาไว้ เป็นบุญล้น ล้นตั้งรอเอาไว้ ไปอยู่ที่ไหนเราก็ได้ทำบุญ จะเดินเล่น นั่งเล่น จะไปเที่ยวที่ไหนเราก็ได้ทำบุญ เพราะว่าเราได้ตั้งกองบุญรอเอาไว้ เขาเรียกว่า ‘บุญล้น’ ให้พี่ให้น้อง ให้เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันนี่แหละ มีโอกาสก็ขอเชิญพี่น้องเรามาร่วมกัน
อยากจะดับทุกข์ได้ก็ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน คำสอนของท่านก็บ่งบอกเอาไว้หมดแล้ว ละบาปสร้างบุญ ทำใจให้สะอาดทำใจให้บริสุทธิ์ แนวทางตามอริยมรรคในองค์แปด ข้อแรกก็คือความเห็นถูก ทำอย่างไรเราถึงจะเจริญสติให้รู้ถูกเห็นถูกเสียก่อน ก่อนที่จะเดินขั้นสูงขึ้นไป จนทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์
มีแนวทางหมด ครูบาอาจารย์ตำรามีพร้อม การได้ยินได้ฟังได้อ่านมีกันทุกคน อย่าเพิ่งเอาความคิดทิฏฐิมานะของเราเข้ามาโต้แย้ง เราจะปฏิบัติตามให้รู้ ให้เห็น ให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ใจที่ไม่มีกิเลสก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดก็นิ่ง แต่เวลานี้ใจทั้งเกิด ทั้งวิ่ง ทั้งหลง ภายใน 5 นาที 10 นาที ไม่รู้ไปสักกี่เรื่อง
ความเกิด ความเกิดนี้แหละคือความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่จนกระทั่งมาอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างภพมนุษย์ แล้วก็หลงต่อคือเกิดต่ออีก กายเนื้อแตกดับเขาก็จะไปตามวิบากของกรรม ถ้าเป็นกรรมดีก็ไปสู่สถานที่มีสุข ถ้ากรรมไม่ดีก็ไปสู่สถานที่ไม่สุข เราก็พยายามหลีกเลี่ยงอกุศลเจริญกุศล ไล่เรียงลงไปตั้งแต่ความคิด ต้นเหตุความคิดเกิดอย่างไรการกระทำเป็นอย่างไร ทางกายความคิดแล้วก็ออกมาทางวาจา วาจาแล้วก็ออกมาทางกายท่านถึงบอกว่ามโนกรรมแล้วก็วจีกรรมแล้วก็กายกรรม เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรม มองเห็นแนวทางให้รู้ทุกอย่างถึงจะดำเนินชีวิตของเราได้ถูกต้อง
ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพิจารณา พิจารณาด้วยปัญญา เจริญสติเข้าไปพิจารณาอบรมใจของเรา ไม่ใช่ว่าปัญญาทางโลกจะสูงมากมายถึงขนาดไหนก็อย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง เรามาเจริญสติ จนกว่ากำลังสติของเราจะไปใช้การใช้งานได้ รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้ละกิเลส จนเอาสติปัญญาไปใช้ทำการทำงานได้นั่นแหละเขาถึงจะเรียกว่า ‘ปัญญาโลกุตระ’ คลายใจออกจากความหลง คลายใจออกจากความยึดมั่นถือมั่น ละกิเลสออกจากใจได้
จะมองจะคิดทางโลกก็คิด ทางธรรมให้ใจของเราคลายออกได้เมื่อไหร่นั้นเราเรียกว่า ‘ปัญญาธรรม’ ไม่ใช่ปัญญาโลกีย์ จะคิดเรื่องภาระหน้าที่การงาน คิดเรื่องอะไรสารพัดเรื่องก็เป็นปัญญาโลกีย์ ปัญญาโลกุตระ ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าดับความเกิดของใจให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นไม่ใช่ว่าแต่ละวันไปนึกเอาคิดเอา คนเราก็เป็นทุกข์เพราะความคิด กายก็ก้อนทุกข์ ความคิดอีกทั้งที่รู้ๆ อยู่ แต่การดับ การละ การทำความเข้าใจไม่มี มันก็เลยดับทุกข์ไม่ได้ ก็พากันมาฝึก
สามเณรก็เหมือนกัน พระใหม่ พระเก่า เราต้องเป็นผู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา เป็นผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากในรูปรสกลิ่นเสียง เขาเรียกว่า ‘อยาก’ ความทะเยอทะยานอยาก กายของเราเกี่ยวเนื่องด้วยอาหาร เราก็ต้องดู ใจเกิดความอยากเราก็ดับความอยาก ดับได้เมื่อไหร่เราก็ค่อยทาน ค่อยเอา รู้จักพิจารณา
คนทั่วไปก็เอาด้วยความอยาก อยากมั่งอยากมี อยากร่ำอยากรวย สารพัดอยาก ถ้าอยากมั่งอยากมี อยากร่ำอยากรวย ท่านก็ให้ละความอยากเสีย ให้เป็นความขยันหมั่นเพียรของสติปัญญาทำหน้าที่แทน อยากรวยเราก็ขยันทำให้มันถูกต้อง ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อยความรับผิดชอบด้วยสติ ด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล ก็ให้มี
แต่เวลานี้กำลังสติไม่ค่อยจะมี แต่ละวันก็มีแต่ความขัดแย้ง กูดีมึงดี จับกันเป็นก๊กเป็นเหล่า เอาตั้งแต่ห้ำหั่นเข้าหากัน จากคนหนึ่งสองคนก็กลายเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วก็สู่ระดับหมู่บ้านตำบลบ้านเมือง เดี๋ยวนี้กำลังจะตีกันอยู่ คัดเลือกเมื่อไหร่ตีกันมันจะจบหรือเปล่า ได้ยินได้ฟังแต่ละวันหาเสียงแล้วก็ทะเลาะกัน กูไม่ดี มึงไม่ดี อันนั้นไม่ดีโทษกันอยู่งั้น ไม่เคยโทษตัวเองสักที ไม่เคยแก้ตัวเองสักที
นี่แหละพุทธะองค์ท่านถึงชี้ลงที่เหตุ ตั้งแต่ความคิด ตั้งแต่ความเกิด จุดต้นเหตุ เราดับความเกิดแล้วไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ไม่ต้องไปทุกข์อีก เราดับความเกิดได้ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละคือเกิดทางด้านจิตวิญญาณ กายเนื้อแตกดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ แต่เวลานี้มันกิเลสหุ้มห่อไว้เยอะ เราต้องมาขัดเกลากิเลสให้เบาบางลงไป เรามาละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน สร้างความหมั่นเพียร ให้มีให้เกิดขึ้น ก็ต้องพยายามเอา
ยิ่งพระเราพระเราชีเราอยู่ด้วยกัน หลายคนหลายที่มาอยู่ร่วมกัน ก็ให้มีความรักสมัครสมาน ให้มีความสามัคคีให้มีความขยัน อย่าสร้างสะสมตั้งแต่ความเกียจคร้าน เป็นบุคคลที่ประหยัดมัธยัสถ์ สร้างตัวเองให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ให้ติดตามตัวเราไป ถ้าเรามีแต่ความเกียจคร้าน วันหนึ่ง 2 วัน สะสมไปเรื่อยๆ หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่
เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นอย่างไร ความเสียสละเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไรใจวิเวกเป็นอย่างไร กายวิเวกจากภาระหน้าที่ทางบ้าน ใจวิเวกจากความคิดจากอารมณ์จากกิเลสแล้วหรือยัง เราก็ต้องดูรู้ ค่อยฝึกฝนไปเรื่อยๆ
วันนี้เราทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ ถึงมันไม่หมดจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้า เพราะว่าตราบใดวิญญาณใจยังเกิดอยู่มันก็ต้องไปเกิด ก็ขอให้เกิดสู่สถานที่มันดีๆ พยายามหมั่นสร้างกุศลอะไรที่จะเป็นบุญเป็นประโยชน์เราก็ทำ
แต่ละวันๆ ญาติโยมมา มาทำบุญกันเยอะ ลูกหลานก็มาเยอะ มาเที่ยวมาชมมาศึกษา เห็นแล้วก็ภูมิใจมีความสุข ใครเข้ามาแล้วก็จิตใจมีความสุข เรามีโอกาสได้สร้างได้ทำ ฝากทรัพย์ภายในเอาไว้ให้เป็นสมบัติของเรา เป็นสมบัติของส่วนกลาง เป็นสมบัติของส่วนรวม พวกเราจากไปรุ่นหลังก็จะได้สานต่อไม่ได้ลำบาก ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ตกอับเพราะว่าอานิสงส์บุญบารมีเราสร้างเราทำเอาไว้ เราไม่อยากจะได้ก็ต้องได้ เพราะว่าการกระทำของเรามี การลงมือของเรามี คนรุ่นหลังก็จะได้สานต่อเป็นบุญกองใหญ่ขึ้นไปไม่จบไม่สิ้น แต่ว่ามันไม่เหมือนบุญอันอื่น อย่างเช่นเราสร้างองค์หลวงปู่ใหญ่ ใครไปใครมาก็ได้มากราบมาไหว้ อยากปฏิบัติอยากดับทุกข์ได้ ก็คำสอนของท่านก็มีอยู่ ใครเข้ามาแล้วก็มีแต่ความร่มรื่นร่มเย็น เราทำหลังคาคลอบคลุมเอาไว้ ถ้าไม่มีหลังคาอากาศก็ร้อนๆ เดินเข้าไปก็แทบจะไม่ไหว เท้าจะพอง เรามีโอกาสได้สร้างร่มเงาขึ้นมา คนก็ได้มากราบมาไหว้มานั่ง มาพัก มาอาศัย ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ลำบาก ใครมาทันก็ทันไม่ทันก็อาจจะเสร็จก่อน เพราะว่าทำไปอยู่ตลอดเวลาทุกวัน
ก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกคน ทั้งเหล่ามนุษย์ที่มีกายเนื้อ และก็เทวดาที่มีกายทิพย์ที่มาคอยช่วยเหลือ หลวงพ่อก็ขอขอบคุณทุกคน
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 16 มีนาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน สามเณร..สามเณรบวชใหม่ ดูดีๆ นะ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง กะประมาณในการขบฉันของเรา ถ้าใจเกิดความอยากก็ไม่เอา ห้ามเอา ให้ผ่านเลยไป ผ่านเลยไปแล้วก็ยังเสียดายอาลัยอาวรณ์อยู่หรือเปล่า เราก็ต้องดู ฝึกทีละเล็กละน้อยวันละเล็กละน้อย โตขึ้นไปก็จะได้เก่งๆ ทั้งพระทั้งชีนั่นแหละ ฝึกทุกคนนั่นแหละ ไม่ใช่เฉพาะสามเณร อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่เช้า ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ เราได้เจริญสติอบรมใจของเราแล้วหรือยัง รู้จักวิธีการเจริญสติ รู้จักลักษณะของการสร้างสติ รู้จักควบคุมใจ รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย ยิ่งเวลาขบฉันนี่แหละสำคัญ กายก็หิวใจก็เกิดความอยากปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย อันนั้นก็ของชอบอันนี้ก็ของชอบ ใจมันบอกว่าเอาเยอะๆ กลัวไม่อิ่ม เอาเยอะๆ แล้วเวลาทานจริงๆ ก็ทานได้นิดเดียว กิเลสมันเล่นงาน จะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักแก้ไขตั้งแต่ต้นเหตุมันก็ไม่ได้ธรรม ใจเกิดความอยากเมื่อไหร่ก็ให้ดับ ให้ดับมันอยากไม่เอาให้มัน ให้มันผ่านเลยไป
มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา เราก็จะได้วิเคราะห์พิจารณาอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรม เจริญสติเป็นเพื่อนใจ อบรมใจ แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า เรามีความเสียสละ ผ่านการผ่านเวลา รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักสร้างขึ้นมา ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต ชีวิตของคนเรานี้มีอะไรบ้าง ประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง ที่ท่านบอกว่าธาตุสี่ ธาตุสี่ ขันธ์ห้าก็ร่างกายของเรานี่แหละ ธาตุสี่ ขันธ์ห้า มีวิญญาณก็ตัวใจของเรานี่แหละมาครอบครอง ทำไมใจถึงเกิดทำไมใจถึงหลง ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปลงที่กาย แล้วก็ให้ลึกลงไปถึงต้นเหตุของใจ
ใจเกิดตรงไหน ความคิดก่อตัวตรงไหนเราดับตรงนั้นก็ถึงตัวใจ แต่ว่าใจไม่มีตัวมีตน ทำอย่างไรล่ะเราถึงจะรู้ ความรู้สึกรับรู้มีอยู่เหมือนกับในศาลาหลังนี้ ในศาลาหลังนี้แต่มีอากาศอยู่ ในกายของเราก็มีใจอยู่เหมือนกัน แต่เราไม่มองเห็นอากาศแต่รู้ว่าอากาศมีอยู่ ในกายของเราก็มีใจมีวิญญาณเหมือนกัน แต่เรามองไม่เห็น แต่เราต้องเจริญสติ สร้างความรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็ลึกลงไปก็จะรู้ใจ เพราะว่าการเกิดการดับของใจมีตลอดเวลา การเกิดการดับของขันธ์ห้ามีตลอดเวลา
เราไปมั่นหมายเอาใจเอาขันธ์ห้าเป็นปัญญา อันนั้นก็เป็นปัญญาอยู่แต่เป็นปัญญาโลกีย์ ไม่ใช่ปัญญาโลกุตระที่จะเข้าไปละทุกข์ละกิเลสได้ ต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากส่วนสมองที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนบนหรือว่าเจริญสติ ส่วนสมองจนปัญญาเจริญสติให้ต่อเนื่อง กำลังสติของเราก็จะไปคลายไปแยกรูปแยกนาม เห็นใจคลายออกแยกรูปแยกนามได้ก็จะกลายเป็นปัญญา ปัญญาแล้วก็ตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่องก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จนเป็นปัญญารอบรู้ในวิญญาณในกองสังขารในร่างกายของตัวของเรา เรายังเดินปัญญาไม่ถึงจุดโน้นเราก็พยายามสร้างตบะสร้างความเพียร
เรามีความเสียสละ จิตใจของเราเบาบางจากกิเลสหรือไม่ จิตใจของเราละความตระหนี่เหนียวแน่น มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป มีความกล้าหาญอาจหาญ กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญมีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีสัจจะความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง มีความกตัญญูกตเวทีสิ่งพวกนี้ก็จะเป็นบารมี เป็นตบะเป็นบารมีคอยส่งเสริมใจของเราให้เบาบางจากกิเลส จากน้อยๆ จนเต็มเปี่ยม
อานิสงส์บุญบารมีศรัทธาทุกคนมี การฝักใฝ่สนใจมีอานิสงส์บุญกันอยู่ แต่เป็นบุญระดับของสมมติ บุญระดับของวิมุตติของด้านจิตใจเราก็ต้องเจริญสติด้วย เจริญสติทำความเข้าใจ เห็นเหตุเห็นผล เห็นการแยกการคลาย แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเรา
กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีหมด มีเยอะแยะ ถ้าเราไม่ฝึก เราไม่เจริญสติเราก็ไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ เราก็นึกว่าเราไม่มี มันไม่ใช่ ความเกิดของใจนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุดที่ปิดบังอำพรางตัวใจเอาไว้ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความหลงทำให้ใจเกิด เกิดแล้วก็ยังมาเพาะไม่พอก็เป็นทาสกิเลสอีก ทั้งดีทั้งไม่ดี กุศลอกุศลก็เป็นกิเลส ทั้งอยากทั้งไม่อยากก็เป็นกิเลส เพราะว่าใจยังไม่ได้อยู่ในความเป็นกลาง ความว่างไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่นแต่กิเลสฝ่ายอกุศลนำไปในสถานที่ลำบาก ถ้าเป็นกิเลสฝ่ายกุศลก็นำไปในสู่สถานที่มีความสุข
ในหลักธรรมแล้วท่านก็ให้ละบาปสร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาป ไม่เข้าไปหลงเข้าไปยึด แต่เราก็อยู่กับบุญเพราะว่าใจของเราเป็นบุญ เราไม่อยากจะได้บุญเราก็ได้บุญเพราะว่าใจของเรามีความสุข ความสุขนั่นแหละคือตัวบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็ทำประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันนี้ให้ดี
วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี แต่เวลานี้เราอยู่ในภพมนุษย์ เราต้องมาค้นคว้าให้กระจ่างเสียก่อน ก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมดไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ถ้าไม่ถึงเวลาก็ไม่ตาย ถ้าถึงเวลาแล้วอะไรมาฉุดมารั้งเอาไว้ก็ไม่อยู่
มาขอโลงศพทุกวัน บางทีก็ตีสอง ตีสาม ตีห้า ก็ตีสี่มา..มารับเอาวันละ 2 โลง 3 โลงอยู่อย่างเนี้ย แต่ละวันแต่ละคืน หมดไปตั้ง 1,600-1,700 กว่าโลงแล้ว จับมานั่งในศาลาคงล้นเนอะ คงไม่พอนั่งกัน เก็บสะสมวันละเล็กวันละน้อยได้ตั้ง 1,000 กว่า ญาติโยมก็มาร่วมกันมาช่วยกัน ญาติโยมบางท่านก็นำโลงมาบริจาคก็มี บางคนบางท่านก็นำทุนทรัพย์มาช่วย มาช่วยอนุเคราะห์ให้เพราะว่าหลวงพ่อก็อนุเคราะห์ให้ศพละ 5,000 ทั้งผ้าไตรจีวร ดอกไม้ ธูปเทียน ผ้าขาวอนุเคราะห์ให้ตรงนี้ ช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องของเรา เป็นบุญ เป็นบุญที่ตั้งรอเอาไว้ เป็นบุญล้น ล้นตั้งรอเอาไว้ ไปอยู่ที่ไหนเราก็ได้ทำบุญ จะเดินเล่น นั่งเล่น จะไปเที่ยวที่ไหนเราก็ได้ทำบุญ เพราะว่าเราได้ตั้งกองบุญรอเอาไว้ เขาเรียกว่า ‘บุญล้น’ ให้พี่ให้น้อง ให้เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันนี่แหละ มีโอกาสก็ขอเชิญพี่น้องเรามาร่วมกัน
อยากจะดับทุกข์ได้ก็ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน คำสอนของท่านก็บ่งบอกเอาไว้หมดแล้ว ละบาปสร้างบุญ ทำใจให้สะอาดทำใจให้บริสุทธิ์ แนวทางตามอริยมรรคในองค์แปด ข้อแรกก็คือความเห็นถูก ทำอย่างไรเราถึงจะเจริญสติให้รู้ถูกเห็นถูกเสียก่อน ก่อนที่จะเดินขั้นสูงขึ้นไป จนทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์
มีแนวทางหมด ครูบาอาจารย์ตำรามีพร้อม การได้ยินได้ฟังได้อ่านมีกันทุกคน อย่าเพิ่งเอาความคิดทิฏฐิมานะของเราเข้ามาโต้แย้ง เราจะปฏิบัติตามให้รู้ ให้เห็น ให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ใจที่ไม่มีกิเลสก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดก็นิ่ง แต่เวลานี้ใจทั้งเกิด ทั้งวิ่ง ทั้งหลง ภายใน 5 นาที 10 นาที ไม่รู้ไปสักกี่เรื่อง
ความเกิด ความเกิดนี้แหละคือความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่จนกระทั่งมาอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างภพมนุษย์ แล้วก็หลงต่อคือเกิดต่ออีก กายเนื้อแตกดับเขาก็จะไปตามวิบากของกรรม ถ้าเป็นกรรมดีก็ไปสู่สถานที่มีสุข ถ้ากรรมไม่ดีก็ไปสู่สถานที่ไม่สุข เราก็พยายามหลีกเลี่ยงอกุศลเจริญกุศล ไล่เรียงลงไปตั้งแต่ความคิด ต้นเหตุความคิดเกิดอย่างไรการกระทำเป็นอย่างไร ทางกายความคิดแล้วก็ออกมาทางวาจา วาจาแล้วก็ออกมาทางกายท่านถึงบอกว่ามโนกรรมแล้วก็วจีกรรมแล้วก็กายกรรม เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรม มองเห็นแนวทางให้รู้ทุกอย่างถึงจะดำเนินชีวิตของเราได้ถูกต้อง
ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพิจารณา พิจารณาด้วยปัญญา เจริญสติเข้าไปพิจารณาอบรมใจของเรา ไม่ใช่ว่าปัญญาทางโลกจะสูงมากมายถึงขนาดไหนก็อย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง เรามาเจริญสติ จนกว่ากำลังสติของเราจะไปใช้การใช้งานได้ รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้ละกิเลส จนเอาสติปัญญาไปใช้ทำการทำงานได้นั่นแหละเขาถึงจะเรียกว่า ‘ปัญญาโลกุตระ’ คลายใจออกจากความหลง คลายใจออกจากความยึดมั่นถือมั่น ละกิเลสออกจากใจได้
จะมองจะคิดทางโลกก็คิด ทางธรรมให้ใจของเราคลายออกได้เมื่อไหร่นั้นเราเรียกว่า ‘ปัญญาธรรม’ ไม่ใช่ปัญญาโลกีย์ จะคิดเรื่องภาระหน้าที่การงาน คิดเรื่องอะไรสารพัดเรื่องก็เป็นปัญญาโลกีย์ ปัญญาโลกุตระ ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าดับความเกิดของใจให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นไม่ใช่ว่าแต่ละวันไปนึกเอาคิดเอา คนเราก็เป็นทุกข์เพราะความคิด กายก็ก้อนทุกข์ ความคิดอีกทั้งที่รู้ๆ อยู่ แต่การดับ การละ การทำความเข้าใจไม่มี มันก็เลยดับทุกข์ไม่ได้ ก็พากันมาฝึก
สามเณรก็เหมือนกัน พระใหม่ พระเก่า เราต้องเป็นผู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา เป็นผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากในรูปรสกลิ่นเสียง เขาเรียกว่า ‘อยาก’ ความทะเยอทะยานอยาก กายของเราเกี่ยวเนื่องด้วยอาหาร เราก็ต้องดู ใจเกิดความอยากเราก็ดับความอยาก ดับได้เมื่อไหร่เราก็ค่อยทาน ค่อยเอา รู้จักพิจารณา
คนทั่วไปก็เอาด้วยความอยาก อยากมั่งอยากมี อยากร่ำอยากรวย สารพัดอยาก ถ้าอยากมั่งอยากมี อยากร่ำอยากรวย ท่านก็ให้ละความอยากเสีย ให้เป็นความขยันหมั่นเพียรของสติปัญญาทำหน้าที่แทน อยากรวยเราก็ขยันทำให้มันถูกต้อง ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อยความรับผิดชอบด้วยสติ ด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล ก็ให้มี
แต่เวลานี้กำลังสติไม่ค่อยจะมี แต่ละวันก็มีแต่ความขัดแย้ง กูดีมึงดี จับกันเป็นก๊กเป็นเหล่า เอาตั้งแต่ห้ำหั่นเข้าหากัน จากคนหนึ่งสองคนก็กลายเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วก็สู่ระดับหมู่บ้านตำบลบ้านเมือง เดี๋ยวนี้กำลังจะตีกันอยู่ คัดเลือกเมื่อไหร่ตีกันมันจะจบหรือเปล่า ได้ยินได้ฟังแต่ละวันหาเสียงแล้วก็ทะเลาะกัน กูไม่ดี มึงไม่ดี อันนั้นไม่ดีโทษกันอยู่งั้น ไม่เคยโทษตัวเองสักที ไม่เคยแก้ตัวเองสักที
นี่แหละพุทธะองค์ท่านถึงชี้ลงที่เหตุ ตั้งแต่ความคิด ตั้งแต่ความเกิด จุดต้นเหตุ เราดับความเกิดแล้วไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ไม่ต้องไปทุกข์อีก เราดับความเกิดได้ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละคือเกิดทางด้านจิตวิญญาณ กายเนื้อแตกดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ แต่เวลานี้มันกิเลสหุ้มห่อไว้เยอะ เราต้องมาขัดเกลากิเลสให้เบาบางลงไป เรามาละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน สร้างความหมั่นเพียร ให้มีให้เกิดขึ้น ก็ต้องพยายามเอา
ยิ่งพระเราพระเราชีเราอยู่ด้วยกัน หลายคนหลายที่มาอยู่ร่วมกัน ก็ให้มีความรักสมัครสมาน ให้มีความสามัคคีให้มีความขยัน อย่าสร้างสะสมตั้งแต่ความเกียจคร้าน เป็นบุคคลที่ประหยัดมัธยัสถ์ สร้างตัวเองให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ให้ติดตามตัวเราไป ถ้าเรามีแต่ความเกียจคร้าน วันหนึ่ง 2 วัน สะสมไปเรื่อยๆ หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่
เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นอย่างไร ความเสียสละเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไรใจวิเวกเป็นอย่างไร กายวิเวกจากภาระหน้าที่ทางบ้าน ใจวิเวกจากความคิดจากอารมณ์จากกิเลสแล้วหรือยัง เราก็ต้องดูรู้ ค่อยฝึกฝนไปเรื่อยๆ
วันนี้เราทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ ถึงมันไม่หมดจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้า เพราะว่าตราบใดวิญญาณใจยังเกิดอยู่มันก็ต้องไปเกิด ก็ขอให้เกิดสู่สถานที่มันดีๆ พยายามหมั่นสร้างกุศลอะไรที่จะเป็นบุญเป็นประโยชน์เราก็ทำ
แต่ละวันๆ ญาติโยมมา มาทำบุญกันเยอะ ลูกหลานก็มาเยอะ มาเที่ยวมาชมมาศึกษา เห็นแล้วก็ภูมิใจมีความสุข ใครเข้ามาแล้วก็จิตใจมีความสุข เรามีโอกาสได้สร้างได้ทำ ฝากทรัพย์ภายในเอาไว้ให้เป็นสมบัติของเรา เป็นสมบัติของส่วนกลาง เป็นสมบัติของส่วนรวม พวกเราจากไปรุ่นหลังก็จะได้สานต่อไม่ได้ลำบาก ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ตกอับเพราะว่าอานิสงส์บุญบารมีเราสร้างเราทำเอาไว้ เราไม่อยากจะได้ก็ต้องได้ เพราะว่าการกระทำของเรามี การลงมือของเรามี คนรุ่นหลังก็จะได้สานต่อเป็นบุญกองใหญ่ขึ้นไปไม่จบไม่สิ้น แต่ว่ามันไม่เหมือนบุญอันอื่น อย่างเช่นเราสร้างองค์หลวงปู่ใหญ่ ใครไปใครมาก็ได้มากราบมาไหว้ อยากปฏิบัติอยากดับทุกข์ได้ ก็คำสอนของท่านก็มีอยู่ ใครเข้ามาแล้วก็มีแต่ความร่มรื่นร่มเย็น เราทำหลังคาคลอบคลุมเอาไว้ ถ้าไม่มีหลังคาอากาศก็ร้อนๆ เดินเข้าไปก็แทบจะไม่ไหว เท้าจะพอง เรามีโอกาสได้สร้างร่มเงาขึ้นมา คนก็ได้มากราบมาไหว้มานั่ง มาพัก มาอาศัย ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ลำบาก ใครมาทันก็ทันไม่ทันก็อาจจะเสร็จก่อน เพราะว่าทำไปอยู่ตลอดเวลาทุกวัน
ก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกคน ทั้งเหล่ามนุษย์ที่มีกายเนื้อ และก็เทวดาที่มีกายทิพย์ที่มาคอยช่วยเหลือ หลวงพ่อก็ขอขอบคุณทุกคน
ตั้งใจรับพรกัน