
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 62
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 62
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 62
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 มิถุนายน 2562
วันนี้..วันนี้เป็นวัน วันที่ 5 วันที่ 5 เดือนมิถุนายน เดือนหน้าก็เข้าพรรษาแล้ว เผลอแพล็บเดียว ปีหนึ่งๆๆ ผ่านไปเร็วไว เราก็ได้เสื่อมลงไปหนึ่งปี ความชราคร่ำคร่าก็เข้ามาปรากฏ ความเกิดความแก่ความเจ็บมาปรากฏกันทุกคน แต่ส่วนมากจะมองข้ามไป ขาดการวิเคราะห์พิจารณา
ความเสื่อมนี้มาตั้งแต่วันเกิด มีการเกิดก็มีการเสื่อม มีความเกิดก็มีความตาย ขณะที่ยังไม่ถึงเวลานี่แหละ มีการพัฒนาขึ้นพัฒนาลง เสื่อมขึ้นเสื่อมลง ร่างกายของคนเราเกิดมาก็ค่อยพัฒนาเป็นเด็กโต รับการศึกษาเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ได้รับอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้เจริญเติบโตขึ้น
ในภาษาธรรมท่านว่า ‘เสื่อม’ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เจริญเติบโตถึงจุดๆ หนึ่ง แล้วก็เสื่อมลง ความชราคร่ำคร่าก็เข้ามาปรากฏ เจ็บปวด ป่วยโน่นป่วยนี่ เป็นโรคโน้นเป็นโรคนี้ ผมดำก็กลับหงอก ตามองเห็นดีๆ ก็กลับฝ้าฟาง การลุกการเดินการก้าวสมัยก่อนเหมือนกำลังจะไม่หมด ทุกวันนี้ก็ลุกก็ยากนั่งก็ยาก ลุกก็โอยนั่งก็โอย ทว่าสังขารร่างกายมันเป็นก้อนทุกข์ ถึงวาระเวลามันก็ต้องเสื่อมไปตามกาลตามเวลา
พวกเรามีโอกาสก็ได้มาศึกษาค้นคว้า มาทำความเข้าใจกับร่างกายก้อนนี้ อะไรที่จะเป็นบุญเป็นประโยชน์ เราก็รีบทำ เราช่วยกันดูแลช่วยกันรักษา ช่วยกันทำให้เกิดประโยชน์ มาช่วยกันปรับปรุงธรรมชาติให้เป็นธรรมชาติ ทำสมมติให้น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ เดี๋ยวนี้ก็น่าอยู่น่าอาศัยแล้วแหละเดินไปจุดไหนก็มีตั้งแต่ความร่มรื่นร่มเย็น ต่อไปข้างหน้าก็ยิ่งจะเย็นมากกว่านี้อีก พวกเราจากไปรุ่นลูกรุ่นหลานเขาก็จะได้ไม่ลำบาก ก็มีตั้งแต่ความสุข เป็นอานิสงส์บุญกองใหญ่มหึมา ฝากเอาไว้กับสมมติ
ส่วนทางด้านวัตถุ เราก็ช่วยกันทำ ทำเจดีย์ ทำวิหารหลวงปู่ใหญ่ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นร่มเงา โลกของเราก็ร้อนเราก็พยายามแก้ไข ทุกวันนี้สถานที่ธรรมชาติมันหายากแล้ว นอกจากคนเราจะทำจะสร้างขึ้นมา จะให้เป็นธรรมชาติแบบของเดิมๆ มันก็ไม่ค่อยจะมี เพราะว่าคนเรามันเยอะ เยอะขึ้นมาก็ธรรมชาติก็หดหายไปเรื่อยๆ นอกจากเราจะทำจะสร้างขึ้นมา
ก็ช่วยกัน ไม่ว่าพระว่าโยม อยู่ในสถานที่แห่งนี้เป็นสมบัติของส่วนกลาง เป็นสมบัติของทุกคนไม่เป็นของคนใดคนหนึ่ง เรามาอาศัยสถานที่อยู่ ทำอย่างไรเราถึงจะทำประโยชน์ให้กับสถานที่ให้เป็นบุญเป็นอานิสงส์ หลวงพ่อก็จะพาทำ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนถ้ายังมีลมหายใจ หมดลมหายใจแล้วก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ละบาปสร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ ถ้าสูงขึ้นไปเจริญสติสร้างบารมี ละกิเลสออกจากใจของเราให้หมด ดับความเกิดไม่ต้องกลับมาเกิดให้เป็นทุกข์ เกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว เกิดทางด้านจิตวิญญาณนี่เราพยายาม พยายามดับควบคุม หนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น จากภายในล้นสู่ภายนอก จากข้างในทำให้จบ ล้นออกไปสู่ข้างนอกให้เกิดประโยชน์มากมาย … ตั้งใจรับพรกัน
………………………………
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่ง ดีกว่าไม่ได้ทำ ขอให้ทำให้ต่อเนื่อง ขอให้สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก จะลำบากถึงขนาดไหน จะกังวลคิดมากถึงขนาดไหน ก็ให้หยุดเอาไว้เสียก่อน หยุดความคิด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน หัดสังเกตดูตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ถ้าความรู้สึกไม่เด่นชัดเราก็พยายามสูดลมหายใจยาวๆ อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อ อย่าไปบังคับ เพียงแค่ให้เป็นการหายใจแบบธรรมชาติ ถ้าเราสังเกตมันอึดอัด เราก็พยายามหัดสังเกตบ่อยๆ หายใจปกติ หายใจธรรมชาติเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจเข้าหายใจออกความรู้สึกไม่ชัดเจน เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ
ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ เวลาหายใจเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ มีความรู้กาย เวลาหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราไม่ต้องตาม ความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าหายใจออกถ้ารู้ให้ต่อเนื่องภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่อง จาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที 10 นาที ความสืบต่อความต่อเนื่องนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราก็จะมองเห็นว่าตั้งแต่ผ่านมานั้น ความรู้ตัวตรงนี้ของเราอาจจะมีเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ เพราะว่ากำลังสติของเรามีไม่เพียงพอที่จะไปอบรมใจของเราส่วนศรัทธาความเชื่อ ฝักใฝ่ในการทำบุญให้ทาน เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรมตรงนี้มีกันทุกคน แต่ความรู้ที่จะเข้าไปสู่การอบรมใจแยกรูปแยกนามจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า เดินปัญญาทำความเข้าใจ รู้เรื่องการเกิดการดับของจิตวิญญาณในกายของเรา รู้เรื่องสมมติวิมุตติ เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ตรงนี้แหละกำลังสติยังค้นคว้าไม่ทัน
เพียงแค่การสร้างการเจริญก็ยังลำบากอยู่ ก็เลยขาดกำลังสติที่จะเข้าไปค้นคว้า เข้าไปทำความเข้าใจ ว่าอะไรควรละอะไรควรเจริญ อันนั้นมันจะตามมา แต่เวลานี้กำลังสติอบรมใจ ควบคุมใจเอาใจของเราให้อยู่เสียก่อน ส่วนมากก็ใจพุ่งไป ขาดความคิดผุดขึ้นมากับใจรวมกันไป บางทีก็รวมกันไปทั้งปัญญา เขาเรียกว่า ‘รวมกันไปทั้งก้อน’ ‘หลงกันทั้งก้อน’
ท่านถึงให้มาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติ ใจของคนเรานั้นเป็นทาสรู้ เขาเรียกว่า ‘ผู้รู้’ ‘ธาตุรู้’ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง เราก็อาจจะว่าเราไม่หลง เพราะว่าอยู่ระดับของสมมติ เราก็ว่าเราถูกต้อง แต่ในหลักธรรมแล้วความเกิดนี่คือความหลงอันความละเอียดที่สุด แล้วก็หลงมายึดในกายแล้วก็ยึดในทุกสิ่งทุกอย่าง
ตราบใดบุคคลที่มาเจริญสติ จำแนกแจกแจงได้ ถึงจะมองเห็นว่าตัวเราหลง หลงในส่วนละเอียดท่านถึงบอกให้เจริญสติ เข้าไปคลายความหลง แล้วก็พยายามสร้างตบะบารมี ด้วยการดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการละเป็นอย่างนี้ การสร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน สร้างพรหมวิหาร สร้างความเมตตา มองโลกในทางที่ดี มีความจริงมีสัจจะกับตัวเรา เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องศึกษาที่จะต้องทำ ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้เรื่อง เราต้องเจริญสติ เอาสติปัญญาไปใช้
ความหมายของการเจริญสติ จุดมุ่งหมายที่จะต้องดำเนินให้มันถึง ใหม่ๆ เขาก็เรียกว่าทวนกระแสกิเลส เพราะว่าใจของคนเราชอบวิ่งตามกระแสกิเลส กิเลสตัวเราเองก็ยังไม่พอ กิเลสคนโน้นคนนี้ เหตุจากภายนอกภายใน เราพยายามย้อนเข้าไปดู น้อมเข้าไปดูฐานของใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ทีนี้จะเอาจะมีก็เป็นเรื่องปัญญา
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เป็นโอกาสของพวกเราที่จะมาสร้างบุญ สร้างกุศล สร้างตบะ บารมี อะไรที่จะเป็นอกุศลก็ละเสีย อะไรที่จะเป็นกุศลก็ให้เจริญ ตั้งแต่ตื่นขึ้น สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 มิถุนายน 2562
วันนี้..วันนี้เป็นวัน วันที่ 5 วันที่ 5 เดือนมิถุนายน เดือนหน้าก็เข้าพรรษาแล้ว เผลอแพล็บเดียว ปีหนึ่งๆๆ ผ่านไปเร็วไว เราก็ได้เสื่อมลงไปหนึ่งปี ความชราคร่ำคร่าก็เข้ามาปรากฏ ความเกิดความแก่ความเจ็บมาปรากฏกันทุกคน แต่ส่วนมากจะมองข้ามไป ขาดการวิเคราะห์พิจารณา
ความเสื่อมนี้มาตั้งแต่วันเกิด มีการเกิดก็มีการเสื่อม มีความเกิดก็มีความตาย ขณะที่ยังไม่ถึงเวลานี่แหละ มีการพัฒนาขึ้นพัฒนาลง เสื่อมขึ้นเสื่อมลง ร่างกายของคนเราเกิดมาก็ค่อยพัฒนาเป็นเด็กโต รับการศึกษาเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ได้รับอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้เจริญเติบโตขึ้น
ในภาษาธรรมท่านว่า ‘เสื่อม’ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เจริญเติบโตถึงจุดๆ หนึ่ง แล้วก็เสื่อมลง ความชราคร่ำคร่าก็เข้ามาปรากฏ เจ็บปวด ป่วยโน่นป่วยนี่ เป็นโรคโน้นเป็นโรคนี้ ผมดำก็กลับหงอก ตามองเห็นดีๆ ก็กลับฝ้าฟาง การลุกการเดินการก้าวสมัยก่อนเหมือนกำลังจะไม่หมด ทุกวันนี้ก็ลุกก็ยากนั่งก็ยาก ลุกก็โอยนั่งก็โอย ทว่าสังขารร่างกายมันเป็นก้อนทุกข์ ถึงวาระเวลามันก็ต้องเสื่อมไปตามกาลตามเวลา
พวกเรามีโอกาสก็ได้มาศึกษาค้นคว้า มาทำความเข้าใจกับร่างกายก้อนนี้ อะไรที่จะเป็นบุญเป็นประโยชน์ เราก็รีบทำ เราช่วยกันดูแลช่วยกันรักษา ช่วยกันทำให้เกิดประโยชน์ มาช่วยกันปรับปรุงธรรมชาติให้เป็นธรรมชาติ ทำสมมติให้น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ เดี๋ยวนี้ก็น่าอยู่น่าอาศัยแล้วแหละเดินไปจุดไหนก็มีตั้งแต่ความร่มรื่นร่มเย็น ต่อไปข้างหน้าก็ยิ่งจะเย็นมากกว่านี้อีก พวกเราจากไปรุ่นลูกรุ่นหลานเขาก็จะได้ไม่ลำบาก ก็มีตั้งแต่ความสุข เป็นอานิสงส์บุญกองใหญ่มหึมา ฝากเอาไว้กับสมมติ
ส่วนทางด้านวัตถุ เราก็ช่วยกันทำ ทำเจดีย์ ทำวิหารหลวงปู่ใหญ่ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นร่มเงา โลกของเราก็ร้อนเราก็พยายามแก้ไข ทุกวันนี้สถานที่ธรรมชาติมันหายากแล้ว นอกจากคนเราจะทำจะสร้างขึ้นมา จะให้เป็นธรรมชาติแบบของเดิมๆ มันก็ไม่ค่อยจะมี เพราะว่าคนเรามันเยอะ เยอะขึ้นมาก็ธรรมชาติก็หดหายไปเรื่อยๆ นอกจากเราจะทำจะสร้างขึ้นมา
ก็ช่วยกัน ไม่ว่าพระว่าโยม อยู่ในสถานที่แห่งนี้เป็นสมบัติของส่วนกลาง เป็นสมบัติของทุกคนไม่เป็นของคนใดคนหนึ่ง เรามาอาศัยสถานที่อยู่ ทำอย่างไรเราถึงจะทำประโยชน์ให้กับสถานที่ให้เป็นบุญเป็นอานิสงส์ หลวงพ่อก็จะพาทำ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนถ้ายังมีลมหายใจ หมดลมหายใจแล้วก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ละบาปสร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ ถ้าสูงขึ้นไปเจริญสติสร้างบารมี ละกิเลสออกจากใจของเราให้หมด ดับความเกิดไม่ต้องกลับมาเกิดให้เป็นทุกข์ เกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว เกิดทางด้านจิตวิญญาณนี่เราพยายาม พยายามดับควบคุม หนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น จากภายในล้นสู่ภายนอก จากข้างในทำให้จบ ล้นออกไปสู่ข้างนอกให้เกิดประโยชน์มากมาย … ตั้งใจรับพรกัน
………………………………
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่ง ดีกว่าไม่ได้ทำ ขอให้ทำให้ต่อเนื่อง ขอให้สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก จะลำบากถึงขนาดไหน จะกังวลคิดมากถึงขนาดไหน ก็ให้หยุดเอาไว้เสียก่อน หยุดความคิด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน หัดสังเกตดูตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ถ้าความรู้สึกไม่เด่นชัดเราก็พยายามสูดลมหายใจยาวๆ อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อ อย่าไปบังคับ เพียงแค่ให้เป็นการหายใจแบบธรรมชาติ ถ้าเราสังเกตมันอึดอัด เราก็พยายามหัดสังเกตบ่อยๆ หายใจปกติ หายใจธรรมชาติเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจเข้าหายใจออกความรู้สึกไม่ชัดเจน เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ
ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ เวลาหายใจเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ มีความรู้กาย เวลาหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราไม่ต้องตาม ความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าหายใจออกถ้ารู้ให้ต่อเนื่องภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่อง จาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที 10 นาที ความสืบต่อความต่อเนื่องนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราก็จะมองเห็นว่าตั้งแต่ผ่านมานั้น ความรู้ตัวตรงนี้ของเราอาจจะมีเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ เพราะว่ากำลังสติของเรามีไม่เพียงพอที่จะไปอบรมใจของเราส่วนศรัทธาความเชื่อ ฝักใฝ่ในการทำบุญให้ทาน เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรมตรงนี้มีกันทุกคน แต่ความรู้ที่จะเข้าไปสู่การอบรมใจแยกรูปแยกนามจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า เดินปัญญาทำความเข้าใจ รู้เรื่องการเกิดการดับของจิตวิญญาณในกายของเรา รู้เรื่องสมมติวิมุตติ เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ตรงนี้แหละกำลังสติยังค้นคว้าไม่ทัน
เพียงแค่การสร้างการเจริญก็ยังลำบากอยู่ ก็เลยขาดกำลังสติที่จะเข้าไปค้นคว้า เข้าไปทำความเข้าใจ ว่าอะไรควรละอะไรควรเจริญ อันนั้นมันจะตามมา แต่เวลานี้กำลังสติอบรมใจ ควบคุมใจเอาใจของเราให้อยู่เสียก่อน ส่วนมากก็ใจพุ่งไป ขาดความคิดผุดขึ้นมากับใจรวมกันไป บางทีก็รวมกันไปทั้งปัญญา เขาเรียกว่า ‘รวมกันไปทั้งก้อน’ ‘หลงกันทั้งก้อน’
ท่านถึงให้มาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติ ใจของคนเรานั้นเป็นทาสรู้ เขาเรียกว่า ‘ผู้รู้’ ‘ธาตุรู้’ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง เราก็อาจจะว่าเราไม่หลง เพราะว่าอยู่ระดับของสมมติ เราก็ว่าเราถูกต้อง แต่ในหลักธรรมแล้วความเกิดนี่คือความหลงอันความละเอียดที่สุด แล้วก็หลงมายึดในกายแล้วก็ยึดในทุกสิ่งทุกอย่าง
ตราบใดบุคคลที่มาเจริญสติ จำแนกแจกแจงได้ ถึงจะมองเห็นว่าตัวเราหลง หลงในส่วนละเอียดท่านถึงบอกให้เจริญสติ เข้าไปคลายความหลง แล้วก็พยายามสร้างตบะบารมี ด้วยการดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการละเป็นอย่างนี้ การสร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน สร้างพรหมวิหาร สร้างความเมตตา มองโลกในทางที่ดี มีความจริงมีสัจจะกับตัวเรา เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องศึกษาที่จะต้องทำ ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้เรื่อง เราต้องเจริญสติ เอาสติปัญญาไปใช้
ความหมายของการเจริญสติ จุดมุ่งหมายที่จะต้องดำเนินให้มันถึง ใหม่ๆ เขาก็เรียกว่าทวนกระแสกิเลส เพราะว่าใจของคนเราชอบวิ่งตามกระแสกิเลส กิเลสตัวเราเองก็ยังไม่พอ กิเลสคนโน้นคนนี้ เหตุจากภายนอกภายใน เราพยายามย้อนเข้าไปดู น้อมเข้าไปดูฐานของใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ทีนี้จะเอาจะมีก็เป็นเรื่องปัญญา
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เป็นโอกาสของพวกเราที่จะมาสร้างบุญ สร้างกุศล สร้างตบะ บารมี อะไรที่จะเป็นอกุศลก็ละเสีย อะไรที่จะเป็นกุศลก็ให้เจริญ ตั้งแต่ตื่นขึ้น สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ