หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 13

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 13
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 13
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 13
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มกราคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราให้ชัดเจนนั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ต้องพนมมือนั่งตามสบาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย


หลวงพ่อก็เพียงแค่บอกแค่กล่าว ชี้แนะวิธีการแนวทางเท่านั้นเอง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ หายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ พยายามสังเกต สร้างความรู้ตัวให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ อันนี้เป็นแค่เพียงมีสติเจริญสติให้รู้กาย

ถ้ากำลังสติของเราต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลึกลงไปอีก รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ใจที่เกิดส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดเกิดขึ้นมา ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวกัน ไปด้วยกันได้อย่างไร นี่แหละ เราไม่มีสติเพียงพอที่จะรู้เท่าทันตรงนั้น เพราะว่าขาดการเจริญที่ต่อเนื่อง จงพยายามหัด


เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ขาดการทำความเข้าใจกันมากเลยทีเดียว เวลาจะดูจะรู้ทีก็อึดอัด บางทีก็สมองก็ตึง บางทีใจก็เครียด เราพยายามเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปแก้ไขใจของเรา อะไรติดขัด ทั้งโลกทั้งธรรม ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา ให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว

อย่าพากันปล่อยปละละเลย พยายามหัดวิเคราะห์ หัดสังเกต งานสมมติเราก็พยายามแก้ไขให้ลงตัว ส่วนมากก็มีตั้งแต่เอามาทับถมดวงใจของตัวเรา เอาเรื่องภายนอก เอาเรื่องคนโน้นคนนี้มาทับถม แล้วก็ภายในก็แก้ไขไม่ได้ ความคิดอารมณ์เป็นอย่างไร การเกิดของใจเป็นอย่างไรการปรุงแต่งของใจ การปรุงแต่งของขันธ์ห้า เรารู้อยู่ เพียงแค่ว่าเราคิด เรารู้อยู่ เพียงแค่ว่าเราทำ เราหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง ถ้าเราแยกแยะไม่ได้ เราก็จะบอกตัวเองว่าเราไม่หลง ทั้งที่เราหลงอยู่ เราก็จะบอกว่าเราไม่หลง เราอาจจะว่าไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้ว..หลง เพราะว่าการเกิดของใจ เกิดอยู่ตลอดเวลา
ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ทำอย่างไรเราถึงจะดับความเกิดได้ ในเมื่อเขามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ อันนี้สมมติคือร่างกาย สมมติเข้าครอบงำอยู่ ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ อบรมใจ แก้ไขใจของเรา จนใจของเราคลายออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนาม ตามหลักธรรม ถ้าแยกรูปแยกนามนี้ที่ท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก อันนี้เพียงแค่เริ่มต้น ความเห็นถูก ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เขาก็รวมเข้าสู่สภาพเดิม

ส่วนบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนก็สร้างกันมาดี ศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม ฝักใฝ่ในการทำบุญ ฝักใฝ่ในการให้ทาน ตรงนี้มีกันอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีกันอยู่ แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ปรับสภาพใจของเรา ใจของเรามีความแข็งกร้าว เราก็พยายามละความแข็งกร้าว ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจของเราเกิดความโลภความโกรธ เราก็พยายามขัดเกลา ใช้อุบายวิธีการต่างๆ ใจเกิดความโกรธก็พยายามดับความโกรธ ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี พยายามแก้ไขตัวเรา ชนะตัวเรา แล้วเราก็จะชนะหมดทุกอย่าง

แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่หากิเลสมาทับถมดวงใจของตัวเรา กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีมากมายยิ่งเจริญสติเข้าไปเท่าไหร่ กำลังสติมีมากเท่าไร ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำความเข้าใจ แล้วก็ค่อยละ ค่อยละทีละเล็กทีละน้อย ใจของเราก็จะเบาบางจากกิเลสไปเรื่อยๆ

ก็อย่าพากันปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจก็ต้องมีเวลาในการวิเคราะห์ ก็ต้องแก้ไขตัวเรา แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคล บางคนก็มีความพร้อมทั้งสมมติ บางคนก็มีความพร้อมทั้งสติปัญญา บางคนก็ไม่ได้ลำบากทั้งโลกทั้งธรรมแต่การเดินปัญญามองเห็นหนทางเดิน เราก็ต้องพยายามขัดเกลาเอาออกจนมองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ

สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โลกสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าขณะนี้มีลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ให้ชัดเจนสักนิดหนึ่งก็ยังดี

พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง